ความคิดเห็นที่ 1 ปัญหาของการเปิดตำราหรือ guideline ตัดสินจะเป็นแบบนี้ คือใช้ในประเทศกำลังพัฒนาแล้วมีปัญหา (แต่ตำราเขียนมาจากไม่สหรัฐก็ยุโรป) เช่น หากใครเคยเห็นห้องคลอด รพ.จังหวัดจะเห็นว่าบางวัน มีคนรอคลอด 20+ เตียง หากว่า 1 ใน 4 คือ 5 คนนั้นอยากทำบล๊อคหลังเพื่อลดอาการปวด แปลว่าต้องมีวิสัญญีแพทย์ 5 คนนั่งเฝ้าประจำแต่ละเตียง ??? จะไปหามาจากไหน 5 คนนี่คงเป็นหมอดมยาเกือบหมดรพ.แล้วมั๊ง ผมเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยว่าอาจจะพอ make sense กับ รพ.เอกชน แต่ปัญหาคือ ในอนาคต หากต้องเอามา apply กับ รพ. รัฐ คงอ๊วก แต่พอเป็น กีฎา แล้วก็ต้องถือตามนั้น ... เพราะคงบอกไม่ได้ว่าคำตัดสินนี้ใช้เฉพาะ รพ. เอกชนเท่านั้น รพ.รัฐไม่ต้องถือตามนี้ ก็คงต้องเหมารวมไปหมด จากคุณ : ผมอยากที่จะเชื่อ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:16:16

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นคนหนึ่งเหมือนกันที่เห็นเคสสมิติเวชแล้วไม่คิดจะทำคลอดที่โรงพยาบาลอำเภออีกเลย จะส่งไป รพ จังหวัดทุกเคสแล้วครับ เพราะไม่กล้าเสี่ยง ไม่มีเงินมาจ่ายเขา ถ้าซวยได้คนไข้เป็น amniotic fluid ขึ้นมา ไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายครับ จากคุณ : ThePalm เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:44:33

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าถือตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้นแล้วละก็ ถึงทำตามคำสั่งของรพ.นั้น แล้ว ถ้าผู้ป่วยเกิดตายหรืออะไรขึ้นนมาก็ไม่รอดหรอก เพราะประเด็นที่ศาลฎีกาตัดสินให้ผิดก็คือ ขณะที่เกิดเหตุวิกฤติขึ้นนั้น หมอดมยาและหมอสูติไม่ได้อยู่กับผู้ป่วย ได้อ่านคำพิพากษาแล้ว สลดใจกับอาชีพของเรามาก เราถูกตรวจสอบจากองค์กรโดยรอบ แบบ 360 องศาเลย แต่อำนาจตุลาการไม่มีการถูกตรวจสอบ อ้างว่าทำภายใต้พระปรมาภิไธย แต่พวกเขาสำนึกกันบ้างหรือเปล่า รู้สึกว่าพวกเขาเอาแต่ความเห็นของคนเพียง2-3คนเป็นที่ตั้งมากกว่าข้อเท็จจริง เขาเลือกที่จะใช้ข้อเท็จจริงตามที่เขาชอบ ในการอุทรณ์และฎีกาไม่มีการซักพยานใหม่ เอาคำให้การของพยานในขั้นต้นที่ตัดสินยกฟ้อง แล้วมาพิจารณาใหม่ กลายเป็นฝ่ายแพทย์ผิดทั้ง 2 ศาล อุแม่เจ้า กรรมมีจริงนะ จะคอยดู กลุ่มบุคคลที่ทำร้ายวงการแพทย์โดยใช้อำนาจของตน เศร้ามากขอบอก ในคำคำพิพากษานั้น สูติแพทย์เจาะน้ำคร่ำเวลา 08.30 ก่อนเจาะก็ได้อธิบายให้ผป.และสามีรับทราบ น้ำคร่ำใสดี อยู่ดูอาการผป.และเขียนรายงาน ออกจากห้องคลอดไปเวลา 08.45 เพื่อตรวจ OPD. หมอดมยาบล็อคหลังเวลา 08.10 โดยก่อนทำก็ได้เช็คผป. ทำการเปิดเส้นอย่างครบถ้วนถูกต้องหลังทำเสร็จอยู่เช็คต่อ จนถึงเวลา 08.50 จึงออกไปดมยาผป.ทำผ่าตัดในห้องผ่าตัดที่อยู่ใกล้ๆกัน พยาบาลเฝ้าระวังคนไข้ต่อไป หมอดมยาสมารถมาห้องคลอดได้ในเวลาอันรวดเร็วเมื่อถูกตาม สูติแพทย์เจาะน้ำคร่ำเวลา 08.30 ก่อนเจาะก็ได้อธิบายให้ผป.และสามีรับทราบ น้ำคร่ำใสดี อยู่ดูอาการผป.และเขียนรายงาน ออกจากห้องคลอดไปเวลา 08.45 เพื่อตรวจ OPD. ในห้องคลอดมีพยาบาลเฝ้าดูผป. ตลอดเวลา 10 นาทีหลังจากนั้น ผป.เริ่มกระวนกระวาย(ตามคำให้การของสามีผป.) พยาบาลช่วยปฐมพยาบาลและตามหมอ หมอสูติหมอดมยาและหมออีกคนหนึ่ง มาถึงห้องคลอดเวลา 09.30 ในคำพิพากษาบรรยายว่า แพทย์ละทิ้งผป.ไป ตั้งแต่ 09.05-09.25 น. (20 นาที) ผิดตรงนี้แหละ อ่านแล้วคิดว่าอย่างไร ถ้าจะไม่ให้ผิดตามคำพิพากษาของศาล หมอต้องอยู่ตลอดเวลาเจ้าค่ะ เพราะภาวะวิกฤติ อย่าง amniotic fluid embolism ถ้ามันจะเกิด มันจะเกิดเมื่อไร ไม่อาจคาดเดาได้ การเจาะน้ำคร่ำเพื่อเร่งคลอดคือ amniotomy ไม่ใช่ premature rupture of membranes อันนั้นคือน้ำคร่ำแตกเองโดยที่ยังไม่เจ็บครรภ์ แสดงว่ารพ.ที่ออกคำสั่งนี้มาไม่มีสูติแพทย์ใช่หรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย รับฝากท้องอย่างเดียว แล้วส่งต่อทุกรายที่มาคลอดด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม อย่าเสี่ยง อย่าเสี่ยง พี่น้อง เขาจะได้รับฟังเสียงสะท้อนบ้างไหมนะ ว่าเขาทำให้เกิดอะไรกับวงการแพทย์ คนที่ได้รับผลกระทบนอกจากแพทย์แล้วยังมีผป.อีกด้วย รพ.ที่มีสูติแพทย์ก็เตรียมรับเละก็แล้วกัน หมอดมยาจะไม่ทำ painless ให้ผู้เจ็บท้องคลอดอีกต่อไป อัตราการผ่าตัดคลอดจะเพิ่มขึ้นแน่นอน ดีไม่ดียุบห้องคลอดไปเลย ไปเพิ่มห้องผ่าตัด เพราะเป็นวิธีเดียวที่หมอดมยาและหมอสูติจะได้อยู่กับผป.ตลอดเวลา หมอสูติมาเจาะถุงน้ำเพื่อเร่งคลอด เวลาท จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:36:01 A:171.99.152.108 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 4 ความเห็นข้างบน ไม่ได้ลบบันทัดล่าง เนื่องจากมองไม่เห็น เพราะใช้ iPad พิมพ์ ลืมบอกไปว่า ตอนบล็อคหลัง และเจาะน้ำนั้น ปากมดลูกเปิด2-3 ซม อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะคลอด หมอสูติถึงออกไปทำงานอื่นก่อน และในคำพิพากษาข้อความสับสน หลายแห่งบรรยายไว้ว่า เมื่อพยาบาลตาม หมอสูติและหมอดมยามาถึงในเวลา 4 นาที มาเร็วนะนั่นน่ะ จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:50:43 A:171.99.152.108 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 5 อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด คนเขาจะฟ้อง ก็ฟ้อง กว่าศาลจะตัดสินมาสามศาล ก็เชื่อว่าน่าจะสืบพยานมาไม่น้อยเหมือนกัน มันอยู่ที่ว่า ใครจะหาพยานมาได้ดีกว่ากัน และก็คงมีสูติแพทย์จำนวนไม่น้อยที่ไปเป็นพยานด้วย คงต้องไปไล่เรียงกันเองแล้วละมัง ว่า ทำไมผลถึงออกมาเป็นแบบนั้น จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 16:04:52

ความคิดเห็นที่ 6 อยากให้กระทู้นี้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ เพราะคนทั่วไปจะได้รู้ว่า แพทย์ไม่ได้อยู่กับคนไข้แค่ 20-25 นาที แต่ระหว่างนั้นมีพยาบาลอยู่  และสามารถตามแพทย์ได้ในเวลา แค่ 4-5 นาทีซึ่งถือว่าเร็วมาก จากคุณ : Sono เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 16:10:45

ความคิดเห็นที่ 7 ดีออกศาลพิพากษามาแบบนี้ หมอ รพ ชุมชนจะได้งานเบาขึ้นไปอีก. หมอสูติ ที่รพ จังหวัดไม่ไหวเดี๋ยวก็ลาออกหมดเอง ก็ให้ชาวบ้านประชาชนคลอดกับหมอตำแย ถ้าแม่ตายคลอดลากหมอตำแยติดคุกเลย จากคุณ : เอื้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 16:31:50 A:27.55.2.65 X: TicketID:342109

ความคิดเห็นที่ 8 Painless labor หายไปจากประเทศไทยเพราะคดีนี้แน่ๆล่ะครับ สิ่งต่อไปที่จะหายไปจากประเทศเพราะคดีนี้ก็คือการทำ Amniotomy เหมือนกับการผ่าตัดใส้ติ่งที่หายไปจากโรงพยาบาลชุมชนเพราะคดีที่ร่อนพิบลูย์ แต่มันต่างกันตรงที่ คดีผ่าตัดไส้ติ่ง โรงพยาบาลชุมชนแก้ไขโดยการส่งผู้ป่วยไปนอนรอคิวผ่าตัดกันอย่างยาวนานที่โรงพยาบาลจังหวัด ส่วนคดีนี้ มันเกิดขึ้นในที่ๆมีความพร้อมด้านบุคลากรครบครับ แต่ไม่ได้เฝ้าตลอดเวลา (ซึ่งแพทย์ทั้ง 2 ท่านที่ไม่ได้เฝ้าก็ไปทำงานตามหน้าที่ที่ต้องดูแล) ซึ่งในประเทศไทย คงจะมีแต่โรงเรียนแพทย์ล่ะมั้งครับ ที่อาจจะ(ขนาดโรงเรียนแพทย์ยังแค่อาจจะ) สามารถจัดแจงให้แพทย์เฝ้าผู้ป่วยได้ตลอดเวลาเลยครับ ฉะนั้น ประเทศไทยสามารถบอกลา painless labor และ amniotomy ได้เลยครับ ได้ผ่าคลอดกันสนุกสนานแน่ๆล่ะครับ เนื่องจากว่าหากปากมดลูกเปิดช้า สิ่งที่หมอสูติทำได้มี 3 ทาง 1.ให้ยาเร่งคลอด 2.เจาะถุงน้ำ 3.เอาไปผ่าคลอดซะ ซึ่งทางแก้ของหมอสูติถูกตัดไปแล้ว 1 อย่าง ฉะนั้น อย่าแปลกใจหากการผ่าตัดคลอดบุตรจะสูงขึ้นเป็นประวัติการ จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 18:23:39

ความคิดเห็นที่ 9 ผ่าตัดเกิด complication. ก็โดนฟ้องได้นะ หมออาจจะแพ้คดีด้วย เพราะศาลเรายุติธรมม๊ากกกก จากคุณ : เอื้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 18:32:08 A:27.55.2.65 X: TicketID:342109

ความคิดเห็นที่ 10 คำพิพากษาของศาลคงไม่สามารถถูกใจใครไปได้ทั้งหมด รึแม้แต่จะให้ถูกใจใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กฏหมายเป็นสิ่งที่คนไทยต้องยอมรับถึงกระบวนการของมันอย่างเท่าเทียมทุกคน คนอาชีพอื่นๆเขาก็ต้องทำตามกระบวนการทางกฏหมายไทย  ถึงจะเป็นคุณเป็นโทษกับเขา เขาก็ไม่ได้ออกมาฟูมฟาย  แต่ต้องทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับกฏหมาย ไม่งั้นกฏหมายไทยคงวุ่นวายสับสนสิ้นดี ถ้าต้องคอยตามกลุ่มวิชาชีพโน้นนี้นั้นทั้งหมด เพราะแต่ละกลุ่มก็จะเอาให้สะดวกทางตัวเองไว้ก่อนทั้งนั้น ส่วนเรื่องคำตัดสิน(ตามข่าว) ผมก็เห็นว่าศาลอ้างถึงความเป็นโรงพยาบาลเอกชนอยู่นะ ไม่งั้นจะเขียนมาในคำพิพากษาทำไม  นั่นแสดงว่าศาลมองว่าในความเป็นโรงพยาบาลเอกชน การที่แพทย์เฝ้าผู้ป่วยอยู่ตลอด(ตามตำรา)  ต้องทำให้ได้ เพราะไปเก็บค่ารักษาในราคาสูง  ความรับผิดชอบต้องสูงตามไปด้วย ส่วนโรงพยาบาลรัฐ ถ้ามีคดี แล้วนำสืบกันว่ามีบุคลากรเท่าใหร่ ต้องดูแลกี่เคส ขณะนั้นแพทย์ดูแลเคสอื่นอยู่รึเปล่า  ศาลน่าจะรับฟัง เพราะถ้ามีเคสมากจริงๆ ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยรายนึงๆได้ตลอด นอกจากจะแยกร่างได้  ศาลไม่มองว่าประมาทหรอก จากคุณ : omeg เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:27:57

ความคิดเห็นที่ 11 จะว่าศาลก็ไม่ค่อยถูกนะครับ ผมว่าต้องคุยกันเพราะดูเหมือนศาลไม่เข้าใจธรรมชาติของวิชาแพทย์และไม่เข้าใจกระบวนการปกติทางการแพทย์ ถ้าศาลได้รับการอธิบายมีความเข้าใจในกระบวนการทางการแพทย์ ผมคิดว่าจะไม่ออกมาในรูปการเช่นนี้ หวังว่าจะมีตัวกลางให้เกิดการคุยกันระหว่างนักกฏหมายกับองค์กรแพทย์โดยเร็ว ถ้าไม่อย่างนั้น โรงพยาบาลชุมชนไม่ทำคลอดจริงๆ นี้ ประเทศไทยได้มีคนรอคลอดตายเป็นเบือที่ รพ. จังหวัดแน่ๆ สงสารประเทศไทย --' จากคุณ : megacure (SET50.com) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:29:20

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ omeg ครับ เรื่องรัฐ หรือ เอกชนนั้น ไม่มีความหมาย เพราะหลักของกฏหมายคือ ต้องบังคับใช้ได้ทั่วถึงและเท่าเทียม ไม่มีแยกว่าถ้าเป็น รพ. รัฐ ทำอย่างเดียวกันจะไม่ผิดแน่นอน คดีนี้จะต้องมีการคุยระหว่างนักกฏหมายกับองค์กรแพทย์เกิดขึ้นเพื่อทำความเข้าใจ และแก้ไขความผิดพลาด เพื่อยับยั้งมหันตภัย มิเช่นนั้น คนรอคลอดตายที่ รพ. จังหวัด เป็นเบือแน่ๆ เพราะโรงพยาบาลชุมชนจะไม่กล้ารับคนมาคลอด พยาบาลก็ไม่กล้าทำคลอด ต้องแก้ไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อประชาชนเองนั้นแหละครับ จากคุณ : megacure (SET50.com) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:34:59

ความคิดเห็นที่ 13 เลิกทำคลอดที่โรงพยาบาลชุมชนก็ดีครับ ผมเกลียดเคสสูติ จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:35:33

ความคิดเห็นที่ 14 แต่ผมว่าศาลไม่รู้ก็ควรศึกษาให้รู้ถ่องแท้ทุกกรณีนะครับไม่งั้นต่อไปตัดสินไรจะเชื่อได้มั้ยครับ ถ้าว่าความไปเหตุและปัจจัยขณะนั้นไม่ได้ดูข้อมูลความจริงให้มากที่สุด มาตรฐานมันไม่มีเหรอครับ จากคุณ : เขียนบน iPad (Pondjaks) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:01:44

ความคิดเห็นที่ 15 จริงครับที่กฏหมายบังคับใช้อย่างเท่าเทียม แต่ผมก็มองว่าสภาพการทำงานของโรงพยาบาลในคดีก็เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลให้ความสนใจเหมือนกัน เพรามีหลายจุดเลยที่เขียนมา(ที่ลงในข่าว) แล้วในความเป็นจริงเนี่ยก็อย่างนั้นจริงครับ สัดส่วนของเคส/บุคลากร  ของโรงพยาบาลเอกชนน้อยกว่าโรงพยาบาลของรัฐมาก หากข้อเท็จจริงนำสืบได้ว่า ในรพ.รัฐ แพทย์ดูแลเคสAที่สำคัญมาก ไม่สามารถปลีกตัวได้ หากเคสB ฟ้องขึ้นมาเพราะไม่ดูแล  ศาลจะตัดสินว่าประมาทเหรอครับ เพราะไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่อยู่เฝ้าทั้ง 2 เคสพร้อมกัน แต่ในโรงพยาบาลเอกชน จำนวนเคสน้อยกว่ามากอยู่แล้ว สมมุติว่า มีแค่เคสเดียว(มีโอกาสสุงนะครับถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชน) แล้วไม่อยู่เฝ้า รับรองโดนแน่นอน ผมยังไม่ได้อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มนะ  แต่คิดว่าข้อเท็จจริงที่นำสืบมีโอกาสสูงที่ 1.ไม่มีเคสอื่น 2. มีแต่เป็นเคสที่ไม่สำคัญเท่าเคสนี้ จากคุณ : omeg เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:01:46

ความคิดเห็นที่ 16 ทำไมผมแอบรู้สึกสะใจนิดๆ นะ นิสัยไม่ดี ๆ จากคุณ : Lirica เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:13:52

ความคิดเห็นที่ 17 เชิญคนที่สะใจ สะใจให้พอนะไม่ต้องกลัวหรอกคุณได้สะใจสมใจ ที่โรงพยบาลชุมชนจะปฏิเสธการทำคลอด หมอสูติในระบบรัฐจะยิ่งลาออกมากขึ้น ดีมีคนรอคลอดจนตายมากขึ้นคงต้องฟ้อง ผู้พิพากษา รายนี้ที่ทำให้เกิดกลียุคทางสาธารณสุข จากคุณ : เอื้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:28:50 A:27.55.1.234 X: TicketID:342109

ความคิดเห็นที่ 18 ขอไว้อาลัยล่วงหน้าแก่วงการแพทย์ไทย อนาคตหมอทั่วไปคงมีหน้าที่แค่ส่งต่อให้หมอผู้เชี่ยวชาญตามรพศูนย์ใหญ่ๆ และคนที่ลำบากก็คือคนไข้เอง อ่านแล้วเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ จากคุณ : JEEP -- [ee] เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:32:26

ความคิดเห็นที่ 19 ขออภัยหากทำให้เข้าใจผิดครับ ผมเองก็คิดเช่นเดียวกันกับคุณครับ คุณ เอื้องเวียงดอย โดยเฉพาะ "โรงพยาบาลชุมชนจะปฏิเสธการทำคลอด หมอสูติในระบบรัฐจะยิ่งลาออกมากขึ้น คดีมีคนรอคลอดจนตายมากขึ้น" เพราะเหตุนั้นเอง  สิ่งที่ตามมาก็น่าจะเป็น "การเปลี่ยนแปลง" อะไรบางอย่างที่ทำให้สิ่งที่เป็นอยู่มันดีขึ้นนะครับ  เพราะผมคิดว่าคนที่อยู่ในวงการแพทย์คงจะไม่รอให้วันนั้นมาถึง ผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงครับ ขออภัยหากถ้อยคำที่ผมใช้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 20:34:36 จากคุณ : Lirica เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:33:51

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ Pondjaks ผู้พิพากษาก็เป็นมนุษย์ จะให้รู้ไปทุกเรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าผู้เชี่ยวชาญ เช่น ตัวแทนจากราชวิทยาลัยสูติแพทย์ ไปอธิบายให้ท่านฟัง น่าจะทำให้เข้าใจได้ จากคุณ : megacure (SET50.com) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:34:57

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ  ปฏิบัติไปเหมือนเดิมตามตำรา เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เทรนพยาบาลให้ดี เรื่องนี้เกิดจากกรรมของคนไข้ และความซวยของแพทย์ที่มาเจอเคสคนไข้มีกรรม คาดว่าสิ่งที่จะรุ่งเรืองจากการตัดสินครั้งนี้ คือ ประกันวิชาชีพแพทย์ จากคุณ : superkoy เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 21:12:32

ความคิดเห็นที่ 22 กรรมเกิดจากการกระทำ ไม่กระทำ ย่อมไม่เกิดกรรม ทุกอย่างมีเหตุ จึงมีผล แก้ที่เหตุ ย่อมดับผลได้ นิ่งเฉย ไม่แก้เหตุ ย่อมต้องทนกับกรรมนั้นต่อไป จากคุณ : megacure (SET50.com) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 21:22:06

ความคิดเห็นที่ 23 น่าเบื่อหน่าย ฎีกาตัดสินไปแล้วใครจะไปอธิบายคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วแหละครับ ก็ดีนะ ช่วงนี้มีหมอไปเรียนนิติกันเยอะ จะได้ช่วยแปลภาษาหมอให้บรรดาผู้พิพากษาเข้าใจหน่อย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ไปเป็นพยานศาลบ่นกันแย่แล้ว ว่าคุยกับผู้พิพากษาไม่รู้เรื่อง เหมือนพูดกันคนละภาษา จากคุณ : Fallen Joker เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 22:15:01

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ ^ ฉะนั้นจึงไม่มีการ Block หลังให้คนไข้ ไม่มีการเจาะถุงน้ำคร่ำให้คนไข้ ด้วยประการฉะนี้นี่แล เนื่องจากกรรมเกิดจากการกระทำ ฉะนั้น การไม่กระทำอะไรเลยย่ิมไม่ทำให้เกิดกรรมต่อตัวหมอ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ก็จะถือว่าเป็นเพียงกรรมของคนไข้แต่เพียงผู้เดียว ต้องการจะสื่อแบบนี้ใช่มั้ยครับ จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 22:16:03

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาอ่านแล้วอยากให้ผู้ที่อยู่ในวงการแพทย์ใจเย็นๆกันกว่านี้ค่ะ อย่าเพิ่งประชดประชันกันเลย สิ่งที่อยากเรียนแจ้งคือ อยากให้เข้าใจถึงข้อจำกัดในกระบวนการพิจารณา และเ้หตุผลของคำพิพากษามากกว่า   คำพิพากษานั้นตัดสินตามข้อเท็จจริง ข้ออ้าง และข้อสนับสนุนที่อยู่ในสำนวนเท่านั้น ปัจจัยสำคัญที่สุด คือการนำสืบพยาน และหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้ของทนายแต่ละฝั่งต่างหากที่สำคัญ ในส่วนนี้จะเห็นว่าทนายโจทก์ทำได้ค่อนข้างดี มีทั้งตำรา ผู้เชี่ยวชาญนำสืบ ทั้งพยานที่บอกว่าเครื่องวัดชีพจรไม่มีจอแสดงผล การลงโทษของคณะกรรมการแพทยสภา การไม่บันทึกอาการผู้ป่วย การที่โจทก์ต้องเป็นฝ่ายตามแพทย์และพยาบาลเองยามที่ผู้ตายร้องเจ็บปวด เพราะไม่มีพยาบาลหรือแพทย์อยู่ดูอาการทั้งที่อยู่ในรพ.เอกชน ทั้งหมดนี้เป็นข้อสนับสนุนข้อกล่าวหาของโจทก์ทั้งหมด แต่ฝั่งจำเลยได้นำสืบหรือไม่ว่า กรณีน้ำคร่ำไหลเข้ากระแสเลือด เป็นกรณีเหตุสุดวิสัย แม้แพทย์จะอยู่กับผู้ตาย ผู้ตายก็ยังคงต้องเสียชีวิตอยู่ดี หรือมีการนำสืบกรณีอื่นหรือไม่ ว่าไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้า เพราะอะไรก็ว่าไป และเชื่อว่าถ้าเป็นรพ.รัฐ จะทำให้คำพิพากษาออกมาอีกแบบหนึ่ง จริงๆยังไม่ได้เห็นคำิพิพากษาตัวเต็ม เห็นคุณ OG ลงรายละเอียดเรื่องเวลาได้ด้วย คงได้อ่านแล้วใช่มั้ยคะ อยากให้แชร์กันหน่อยได้มั้ยคะ กรณีมีคนติงว่า ทำไมศาลพิจารณาแต่ข้อเท็จจริงที่สืบกันในศาลชั้นต้น ไม่สืบพยานใหม่ ก็เพราะกฎหมายกำหนดให้ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีการับฟังแต่ข้อเท็จจริงที่นำสืบกันแล้วในศาลชั้นต้นเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการตัด ไม่ให้คู่ความอีกฝ่าย ที่ีเห็นประเด็นที่ตนเสียเปรียบ แล้วยกข้อเท็จจริงอื่นมานำสืบเพิ่มน้ำหนักของฝ่ายตนเอง และเป็นการลดระยะเวลา ไม่ต้องเสียไปกับการนำสืบใหม่ด้วย นี่ 3 ศาลไม่ต้องสืบใหม่ ยังใช้เวลาถึง 16 ปี ถ้าสืบกันใหม่ คงต้องนานจนไม่มีใครอยากเรียกร้องหาความยุติธรรมแน่ เพราะมันเยียวยาไม่ทัน กรณีศาลต้องรู้เรื่องการแพทย์หรือไม่ ถึงจะมาตัดสินคดีนี้ ตอบได้เลยว่าไม่จำเป็นค่ะ เพราะคู่ความมีหน้าที่นำสืบ อันนี้ก็เป็นข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ว่าคู่ความมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงที่ไม่ได้รู้กันโดยทั่วไป ถ้าไม่นำสืบ แสดงว่าไม่ติดใจยกประเด็นนั้นขึ้นสู้ และศาลจะไม่ลงไปสืบค้นด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นจะมีข้อทักท้วงได้ว่าศาลวางตัวไม่เป็นกลาง ทำไมถึงสืบแต่เรื่องทางการแพทย์ อย่างนี้เข้าข้างจำเลยนี่ บลา บลา บลา ไม่อยากให้แพทย์เกิดความไม่เข้าใจ และใช้อารมณ์ค่ะ  การมีคำพิพากษา ไม่ได้เป็นบรรทัดฐาน และไม่ได้หมายความว่า เกิดกรณีเช่นนี้คราวหน้า แล้วศาลจะต้องตัดสินแบบเดิม อย่างที่บอก ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่นำมาเสนอศาล เห็นประกาศโรงพยาบาลข้างต้น แล้วรู้สึกสะทกสะท้อนใจ ไม่เข้าใจในคำพิพากษาแล้ว ยังไม่คิดหามาตรการอื่น ในการแก้ไข แต่กลับแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแทน จากคุณ : หมูหยี+หมูอ้วน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 22:35:36

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดหลักการแพทย์ แล้วจะปรับตัวตามคำพิพากษาทำไมล่ะคะ amiotic embolism เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รับทราบดีว่าไม่รู้สาเหตุ ในเมื่อศาลไม่รู้เป็นภาวะอะไร แต่แพทย์รู้ แล้วแพทย์ใช้วิธีแบบนี้ คือ ส่งต่อบ้าง งดมีแพทย์เฉพาะทางบ้าง เพื่อต่อต้าน เพื่อหลีกเลี่ยง หรือเพื่อต้องการการเปลี่ยนแปลง หรืออะไรก็แล้วแต่ เราว่าไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาแบบยั่งยืน จะเอาชนะกันวิธีนี้ มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ในทางรักษา การให้ยา มันมีคำนึงที่บอกว่า  benefit outweighs contraindication ไม่ได้มีหมอทุกคนที่ทำเคสแบบนี้แล้วโดยฟ้องหมดนี่คะ พอโดนมาสักเคส หมอๆ ก็ตื่นตัวกัน ต่อต้าน ใจเย็นๆ กันไม่ได้ ต้องเรียนร้องสิทธิ์ไว้ก่อน ผลเสียไม่ได้ตกที่คนไข้หรอกค่ะ ผลเสียตกกับ พวกเราทุกคนนี่แหละ ทุกคนเป็นคนไข้ได้เสมอค่ะ ตัวหมอด้วยเช่นกัน มันอาจจะมีอะไรมากกว่าในข่าวก็ได้หรือเปล่าคะ เห็นคดียืดยื้อมาตั้งหลายปีนะคะ อย่าวัดอะไรจากบทสรุปในข่าว ข่าวก็เขียนมาจากคน แถมนักข่าวเก่งสู้หมดไม่ได้ด้วยนะ อย่าไปเชื่อข่าวมากค่ะ พวกเราทุกคนไม่ได้ไปนั่งฟังสืบพยานทุกนัดเมื่อไร ผู้พิพากษา หมอ คนไข้ นักข่าว เราๆ ที่เสพกระทู้ ทุกอาชีพมันก็พลาดหมดนั่นแหละ   ถ้าสิ่งที่พลาดไปแล้ว เรายังพออยู่ได้ ก็อย่าไปทำอะไรให้มันวุ่นวายมากกว่านี้เลยค่ะ จากคุณ : ม่องเท่ง เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 22:36:32

ความคิดเห็นที่ 27 คุณม่องเท่งคะ  คห 26 คะ แล้วถ้าคุณปฎิบัติตามหลักวิชาทุกอย่างแล้ว แต่คุณโดนฟ้องจะแพ้คดี โดนโทษปรับสิบล้าน .. คุณจะพูดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิมรึป่าวล่ะค่ะ ถ้าไม่ปรับตัว แล้วจะอยู่รอดได้อย่างไร  ก็คงได้สูญพันธ์กันไปเหมือนไดโนเสาร์ ในเมื่อมันมี Case study เห็นอยู่โต้งๆแบบนี้ ใครยังไปทำก็คือขาสองข้าง (แต่ก่อน ปกติวิชาชีพนี้ขาข้างเดียวอยู่ในคุก) ไปอยู่ในคุกแล้วตั้งแต่ยังไม่เริ่มเคส ไม่มีใครอยากจะประชดประชัน แต่มันจะเป็นความเป็นจริง เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะคงไม่มีใครอยากทำอะไรที่เสี่ยงต่อชีวิตตัวเอง แม้ว่ามันจะเป็นการทำเพื่อชีวิตคนอื่น(ที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา)ก็ตาม ทุกอาชีพมันก็พลาดกันได้ทั้งนั้นแหละค่ะ แต่แพทย์เนี่ย อย่าพลาดนะ สังคมพร้อมเหยียบซ้ำและกลบทับเลย จากคุณ : clip_pee เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 23:45:49

ความคิดเห็นที่ 28 จะเอาศาลการแพทย์มั้ยละ ให้แพทย์มาเป็นผู้พิพากษาสมทบเหมือนระบบศาลเยาวชนกับแรงงาน มีคนพูดอยู่เหมือนกัน คราวนี้จะได้ลดข้อกังขาว่าพวกเรียนนิติศาสตร์ฟังภาษาหมอไม่รู้เรื่อง ป.ล.พวกเรียนนิติศาสตร์ในฐานะคนฟังก็คนธรรมดา ถ้าหมออธิบายให้คนธรรมดาฟังเข้าใจก็จะลดปัญหา แต่ก็เข้าใจเหมือนกัน นักกฏหมายเวลาอยู่ในฐานะคนพูดก็ชักจะไม่ธรรมดาเหมือนกัน จากคุณ : พิมพ์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ (คนโง่ว์) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 23:54:51

ความคิดเห็นที่ 29 เราเคยแอดมิทที่ รพ.สมิติเวช เวลากดเรียกหมอ หมอเค้ามาเร็วมากเลยนะ>< เราค่อนข้างเชื่อในบริการสมิติเวชนะ จากประสบการณ์ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 00:32:31 จากคุณ : คานเหล็กกล้าทาแล็กเกอร์ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 00:32:18

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าได้อ่านคำพิพากษาแล้ว จะเห็นว่าจำเลยที่เป็นหมอดมยา และสูติแพทย์ ไม่ได้ทำอะไรผิดไปจากตำราเลย แต่ถูกตัดสินว่าผิด มีความเห็นหนึ่งพูดเรื่องเวรกรรม น่าคิดนะ โอกาสที่จะเกิด amniotic fluid embolism ประมาณ 1:20,000 การคลอด สาเหตุยังไม่ทราบกัน ไม่มีสิ่งบอกเหตุ ไม่มีทางป้องกัน เป็นแล้วโอกาสตายสูง แล้วทำไมผู้เสียชีวิตจึงเป็น 1ในนั้น น่าคิดนะ หมอทั้งสองที่ถูกตัดสินให้แพ้คดี ทำไมต้องมาร่วมชตากรรม ผู้พิพากษาก็ด้วย เอิ่ม ท่านมีลูกสาวไหมคะ จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 00:32:25 A:171.99.152.108 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อตั้งป้อม  ไม่บล็อก   ไม่เจาะถุงน้ำ  ปล่อยให้เป็นชะตากรรมของ ผป. ถ้าต้องการจะสื่ออย่างนี้   ภาพที่เราคลางแคลงใจในแพทย์มานาน ก็แจ่มชัดยิ่งขึ้น จะตั้งป้อมขุดสนามเพลาะ  ใส่เสื้อเกราะอะไรก็ทำไปเถิด ทุกอย่างก็กระจ่างอยู่ในใจแล้วว่า   พวกคุณคิดอยู่แต่กับตัวเอง ทำอะไรก็เพื่อตัวเองมาตั้งแต่ต้น   ดังนั้นก็จะเลือกทำอะไรอย่างนี้ต่อไป ประชาชนทำอะไรกับพวกท่านไม่ได้หรอก สิ่งที่เราอยากเห็นแต่ไม่มีโอกาสได้เห็นก็คือ ความพยายามของท่านที่จะรับมือในทางที่สร้างสรรค์ มากกว่าการกระโจนลงหลุมเพลาะ หรือกระโดดใส่เสื้อเเกราะ   ก็เพราะความที่ปราศจากภูมิธรรมดั้งเดิมอยู่น่ะซิ ดังนั้นจะไปคาดหวังอะไรได้จากที่ไม่มีอยู่เล่า   แน่นอนการบีบเค้นของเคสนี้ต่อสังคม  สำหรับผู้ติดตามกรณีนี้ มันร้าวราน มันจะกระตุ้นให้สังคม  "ทำคลอด"   มาตรการใหม่ๆที่ปกป้องตัวเองของชุมชน ของราษฎร  ที่ได้รับผลกระทบจากการปกป้องตัวเองของพวกคุณ แม้ว่ามันจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ข้างหน้า   แต่ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ทำโน้น  ไม่ทำนี่  ในการรับมือในการปฏิบัติ ต่อวิชาชีพของคุณอยู่ล่ะก็   เราคงจะได้เห็นอะไรใหม่ๆขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่จะถึงวันนั้นหรอก เพียงวันนี้เท่านั้น  ความรู้สึกที่เราเคยคลางแคลงใจอยู่ก็เริ่มชัดเจนขึ้นทุกวัน จากคุณ : นักรบสายรุ้ง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:17:12

ความคิดเห็นที่ 32 ผมเห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลฎีกาครับ ผมไม่โต้แย้งครับ เพราะเป็นกฏหมาย ซึ่งประชาชนทุกคนก็ต้องปฏิบัติตาม แพทย์ก็ไม่เว้น และในเมื่อศาลตัดสินเป็นข้อชี้ขาด ออกมาแล้ว การจะกลับไปแก้ไขอะไรก็คงเป็นไปได้ยาก ดังนั้น ถ้าไม่สามารถกลับไป แก้ไขอะไรได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องป้องกันตัวเองและลดความเสี่ยงของตัวเอง ที่จะตกเป็นจำเลย การเลือกใช้วิธีลดความเสี่ยงก็ทำได้หลายวิธี หนึ่งในวิธีที่เข้าใจง่าย และปฏิบัติตามได้ง่ายคือ การไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงเลยจะดีกว่า ซึ่งก็ออกมาในรูปแบบ ตามที่ประกาศนี้แหละ ถามว่าแบบนี้คือการประชดประชันไหม คือการตอบโต้ไหม ตอบได้เลยว่าเปล่าครับ แต่เป็นการป้องกันตัว ซึ่งคงต้องปฏิบัติตามทุกเคสที่รักษา ส่วนเคสที่พร้อมรับความเสี่ยง จะให้แพทย์กลับไปปฏิบัิติตามเดิมก็ได้ แต่คนไข้ก็ต้องรู้และยอมรับเอง ถึงตรงนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดี ที่คนไข้จะมีสิทธิ์เลือกด้วยตัวเองในการรับการรักษาครับ จากคุณ : nightdoc เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:29:48

ความคิดเห็นที่ 33 #32 ถามถึงการรับมือในทางสร้างสรรค์เหรอครับ ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ถ้าทำงานในภาวะเสี่ยงชนิดเหมือนยืนรอในคุกอยู่แล้วนี่ ยังจะมีใครคิดสร้างสรรค์หรือมองเห็นโลกสวยงามอีกไหม ผมว่าหลายๆอาชีพก็คงคิดไม่ต่างกันหรอกที่ ยังไงก็ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน แต่ถ้าต้องการการรับมือในทางสร้างสรรค์หลังปฏิกิริยาลูกโซ่จากคดีนี้ ผมเริ่มมองเห็นอะไรลางๆแล้วละครับ กับค่าประกันสุขภาพค่าประกันการรักษาที่คนไข้ต้องจ่ายเพื่อรับการรักษาจากรพ. ที่จะต้องเพิ่มมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง รพ. คงต้องเก็บไว้เป็นค่าประกันในกรณีที่การรักษานั้นเกิดเป็นคดีความขึ้น และเมื่อค่าใช้จ่ายตรงนี้สูงมาก ถามว่าหน่วยงานไหนจะมาช่วยประชาชนให้ไม่ต้องจ่ายหรือจ่ายน้อย ก้คงไม่พ้นรัฐ แล้วคิดว่ารัฐจะมีเงินทุนสำรองเพียงพอต่อค่าประกันสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศเหรอครับ แล้วคิดว่าระบบตรงนี้จะเผื่อแผ่ไปถึงประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดหรืออยุ่ชนบท หรือเรียกง่ายๆว่าครอบคลุมประชากรไทยทั้งประเทศได้จริงหรือครับ จากคุณ : nightdoc เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:44:35

ความคิดเห็นที่ 34 ในทางปฏิบัติ บุคลากรที่ทำงานด้านสาธารณสุขที่ทำงานกันทั่วประเทศ ไม่เฉพาะแพทย์ ส่วนใหญ่เราก็ยังยึดมั่นในจรรยาบรรณที่จะพยายามรักษาคนไข้ในความรับผิดชอบให้รอด ให้ไม่ตาย ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงทั้งต่อความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สิน สุขภาพของตัวเองหรือส่งผลต่อครอบครัวและคนรอบข้าง โดยที่ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะมีโอกาสเป็นคดีความกี่มากน้อย พยาบาลเวรบ่ายเวรดึก ก็ยังต้องมาขึ้นเวรกลางคืนไม่ได้อยู่กับสามี อยู่กับลูก จนท. รพสต. ก็ยังต้องออกมาปฏิบัติงาน แ้ม้บางทีจะเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ พยาบาลห้องผ่าตัด จนท.เวรเปล จนท.ห้องแล็ป ก็ยังต้องทำงานตลอดเวลา แม้จะเป็นวันหยุดเทศกาล แทนที่จะได้ฉลองพร้อมหน้าพร้อมตา แพทย์ที่อยู่เวรก็ยังต้องดูแลคนไข้ในความรับผิดชอบ แม้ในเวลาที่ไม่ได้ขึ้นเวรก็ยังต้องตามมาดุคนไข้ต่อ ถ้าคนไข้อาการไม่ดี จากคุณ : nightdoc เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:54:16

ความคิดเห็นที่ 35 การรับมือในทางสร้างสรรค์คงเกิดขึ้นแน่ แต่วิเคราะห์ดีๆละกันครับ ว่าผลลัพธ์สุดท้ายแล้ว ใครจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ถ้าไม่ใช่คนไข้ที่มารับการรักษา จากคุณ : nightdoc เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:56:22

ความคิดเห็นที่ 36 ผู้ป่วยที่รอนานอยู่แล้ว ก็ต้องรอนานขึ้นอีก ญาติผู้ป่วยคงจะบ่นกับใครไม่ได้ นอกจากคนต้นเหตุเรื่องนี้ จากคุณ : สินธรณี เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 02:11:36

ความคิดเห็นที่ 37 Painless Labour สูญพันธ์แน่นอน เจาะถุงน้ำไม่ได้ แล้วการให้ยาเร่งคลอดจะยังกล้าให้กันมั้ยเพราะต้องประเมินผู้ป่วยตลอดเหมือนกัน ถ้ายึดแนวทางเดียวกันหมอก็ต้องเฝ้าตลอด ต่อไปคนไข้ท้องก็นอนปวดท้องไปเรื่อยๆให้คลอดเองตามธรรมชาติ จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 05:42:21

ความคิดเห็นที่ 38 ก็ปล่อยให้เจ็บท้องคลอดเอง ต่อไปคงมีรายงานมดลูกแตกตายเพราะคลอดไม่ออกเองตามธรรมชาติมากขึ้น คงได้เห็น Bandl's Ring กันของจริง ขอบคุณศาลมากๆเลยที่พัฒนาชีิวิตคนไทย จากคุณ : เอื้ื้ื้้้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 06:36:51 A:110.169.148.95 X: TicketID:342109

ความคิดเห็นที่ 39 จม.นั้นจาก รพ.ไหนคะ จากคุณ : Around We Go เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 08:55:58

ความคิดเห็นที่ 40 น่าจะมีคดีผ่า C/S ตาย หมอโดนฟ้อง แพ้อีกซักคดีนะ ทีนี้แหละ  อย่างฮา จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 09:13:35

ความคิดเห็นที่ 41 เดี๋ยวมาตรการนี้คงเริ่มๆ ทยอยออกทุก รพ คงเริ่มจากเอกชนให้เห็นชัดก่อน ตอนนี้ รพ เราก็เริ่มๆแล้วล่ะ จากที่มีแบบคลอดแบบไม่เจ็บโดยการฉีดยาบล็อคหลังด้วย คงไม่มี แต่ถ้ามี ราคาคงต้องแพงมากขึ้น เพราะ หมอดมยาต้องเฝ้าคนไข้ตลอด  ทำให้ case อื่นที่ต้องผ่าตัด เสียโอกาส จากคุณ : เพิ่งเป็นแม่ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 09:25:20

ความคิดเห็นที่ 42 ...เอ่อ ก็ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดค่ะ คดีที่เกิดเรื่อง เขาคลอดโดยวิธีธรรมชาติหรอคะ ไม่ได้ผ่าตัดคลอดถูกต้องไหมคะ และภาวะ amniotic fluid embolism นั่น..ถึงแม้โอกาสจะเกิดจะยากก็ตาม แต่.. ถ้าเกิดแล้ว มันจะไม่มีวิธีแก้ไขเลยหรอคะ หาวิธีแก้ไข มันพอจะหาวิธีแก้ไขได้ไหมคะ.. ...หรือ ถ้าเราเลือกผ่าตัดคลอดซะตั่งแต่แรก ก็จะไม่เกิด amniotic fluid embolism ใช่หรือไม่คะ เพราะตัวเราหรือญาติของเรา ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ก็ต้องมีการคลอดลูกด้วยกันทั้งนั้น ไม่วันใดก็วันหนึ่งนะคะ.. ...และเห็นด้วยว่า ภาษากฎหมายต้องมีการตีความ (เพราะใช้ภาษาแปลกๆ ) และภาษาทางการแพทย์ก็ต้องตีความเหมือนกันค่ะ เพราะมีแต่ศัพท์เทคนิกค่ะ... จากคุณ : อยู่ข้างความถูกต้อง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 09:36:12 A:27.130.50.36 X: TicketID:340334

ความคิดเห็นที่ 43 ไม่่มีีใครเข้้าใจเรื่่องทางการแพทย์์เท่่าบุุคลากรทางการแพทย์์เองหรอกค่่ะ แม้้ผู้ทีี่มีีความรู้ทางกฎหมายจะมัั่แล้้วว่่ามีีการสืืบคดีีหรืือไต่่สวนมูลฟ้้องอย่่างดีีแล้้วก้็ตาม ตามความจริิงคืือ เห้็นคดีีเกีี่ยวกัับแพทย์และผู้ป่่วยทีี่ได้รัับการตััดสิินเหมืือนคนไม่่รู้เรื่่องอยู่่เป้็นประจำ หมอทีี่ไม่่ดีีก็มีค่่ะ แต่่ว่่าจริิงๆแล้้วให้คนนอกตััดสิินไม่่ค่่อยจะได้ จริิงๆอยากให้เราเป้็นผู้ตััดสิินกัันเองดีีกว่่า ไม่่เข้้าใจว่่าการฟ้้องร้้องแพทย์ทำไมถัึงควรเกิิกกขัั้น หมอเอกชนก้็ไม่่ได้นัั่งว่่างทัั้งวัันนะคะ ไม่่ช่่ว่่าควรมานัั่งเฝ้้าเคสน้้เดิินทุุเคสนะคะ จากคุณ : หมอผู้หญิิงตััวเล้็กๆ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 10:27:23 A:206.53.152.166 X: TicketID:347467

ความคิดเห็นที่ 44 ไปโทษว่าแพทย์ใส่เสื้อเกราะไม่ได้หรอก เรื่องอย่างนี้ มันร้ายแรงมากสำหรับชีวิตแพทย์ที่ต้องเดินต่อไป มันไม่มีโอกาสครั้งที่สอง และชีวิตมันไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป อยากเห็นการมาพบกันทางสายกลาง อธิบาย และให้คนไข้เลือกว่า จะยอมรับความเสี่ยงหรือไม่ รวมทั้งญาติที่มีสิทธิตัดสินใจร่วมด้วย การฟ้องร้อง เกิดขึ้นเพราะความไม่เข้าใจเป็นส่วนมาก แต่ก็อีกแหละ complication เกิดขึ้นได้หลายแบบ ใครจะไปอธิบายได้หมดทุกแบบ คนไข้ก็ไม่อยากฟัง (เพราะมันยังไม่เกิด ฟังแล้วจิตตกอีกตะหาก) เฮ้อ... ปล. บังเอิญ case นี้ เป็นเคสที่แพทย์ไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ แพทย์ก็มีสิทธิที่จะรู้สึกว่า ไม่เป็นธรรม แต่ในโลกนี้ มันมีอีกหลายๆๆเคส เป็นร้อยเป็นพันเคส ที่ตายไปเพราะความ..(??).. และเพราะระบบที่มันห่วยเอง http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11650215/L11650215.html คนไข้เป็นคนที่ไม่มีสตังค์ ไม่มีความคิดที่จะฟ้อง แต่หมอก็รู้อยู่แก่ใจ edit: เพิ่ม ปล. เพราะเพิ่งไปเจอกระทู้นี้มา แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 10:52:18 จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 10:45:52

ความคิดเห็นที่ 45 นานาจิตตังค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่าคดีนี้ ไม่ว่ายังไงก็ตามไม่ควรตัดสินแพทย์ผิด เพราะถือว่าทำตามแบบแผนการีักษาทุกอย่าง แต่ภาวะ amniotic fluid embolism นั้นเป็นภาวะที่ unpredictable มากๆ ไม่ส่มารถป้องกันได้ แม้จะนั่งเฝ้าก็ตาม และ ยากที่จะแก้ไข ดีที่สุดที่เคยได้ยินมา คือ ปั๊มหัวใจแม่รอด เด็กไม่รอด แต่แม่ก็รอดแบบเป็นผัก ( ขอโทษที่ไม่สุภาพค่ะ ) นี่เป็นสาเหตุที่แพทย์หลายท่าน "เซ็ง" ค่ะ เพราะถ้าเป็นเคสอื่นที่เป็นความผิดพลาดจากแพทย์จริงๆ สมเหตุสมผลกว่านี้ คงยอมรับได้มากกว่านี้ค่ะ เพราะเกิดคดีนี้คดีเดียว แต่เหมือนแพทย์ท่านนั้นๆ หมดโอกาสในการทำงานเลยค่ะ น่าเสียดายมากที่มีการตัดสินคดีแบบนี้ ทำให้วงการแพทย์ไทยหยุดการพัฒนาไปได้เลยทีเดียวค่ะ ทั้งๆที่ได้ยินจากต่างชาติว่าบ้านเรา การแพทย์ดี มีคนไข้ต่างชาตินั่งเครื่องบินเพื่อมารักษาที่เรา จนเป็นที่น่าภาคภูมิใจ ไม่รู้จากนี้อนาคตการแพทย์ไทยจะเป็นยังไงบ้างนะคะ ปล เราคนนึงที่ไม่ชอบเคสสูติเลย แต่จำเป็นต้องดูแลบ้างบางครั้งตอนอยู่ชุมชน ตอนนี้คงส่งให้สูติแพทย์ดูแน่นอนค่ะ จากคุณ : kiki_kaka เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:44:44

ความคิดเห็นที่ 46 เข้ามาเป็นกำลังใจใหคุณหมอทั้งหลาย เข้าใจว่าคุณหมอทำดีที่สุดแล้ว ... อย่าเพิ่งท้อกันนะคะ ยังมีคนต้องการหมออยู่อีกมากมาย จากคุณ : minty girl เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 12:30:59

ความคิดเห็นที่ 47 Thailand Only ไม่มีที่ไหนในโลกเค้าตัดสินกันแบบนี้หรอกครับ จากคุณ : จำง่าย ลืมยาก คิดมาก คิดไปเอง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 13:05:45

ความคิดเห็นที่ 48 เข้ามารับฟังค่ะว่า ความเปลี่ยนแปลงหลังศาลตัดสิน รพ.นี้ เป็นอย่างไรบ้าง แต่ขอแสดงความเห็นต่อ คห.ที่ 27 บอกว่า "ทุกอาชีพมันก็พลาดกันได้ทั้งนั้นแหละค่ะ แต่แพทย์เนี่ย อย่าพลาดนะ สังคมพร้อมเหยียบซ้ำและกลบทับเลย" ที่เขาฟ้องศาลก็เพื่อ "ความยุติธรรม"   เรายังมองไม่เห็นการเหยียบซ้ำและกลบทับเลยค่ะ ... และก็ไม่เห็นมีการแอนตี้ ว่าจะไม่เข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นอีกเลยนะคะ  ... ภาพลักษณ์โรงพยาบาลอาจเสียไปบ้าง แต่ถ้าโรงพยาบาลชดใช้ค่าเสียหายนั้น ภาพลักษณ์อาจจะดีขึ้นด้วยค่ะ .. เพราะการยอมรับผิด (แม้นี่เป็นคำตัดสินของศาล) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยากในสังคมไทยค่ะ ..โดยเฉพาะการจ่ายค่าชดเชยก็เป็นเรื่องยากมากอีกเช่นกัน ..อย่างกรณีห้วยคลิตี้ จนป่านนี้ยังไม่ได้ค่าชดเชยค่ะ แต่ถ้าสังคมรอบข้างที่คุณเห็นว่ามันกดทับ ซ้ำเติม เราก็ขอยกมือว่า เราเข้าใจหมอมากๆ ค่ะว่า กว่าจะเป็นหมอยากมากกกกกก มีทั้งความเสี่ยง ความกดดัน สารพัด เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ... เรายังเชื่อมั่น ศรัทธาในความเป็นหมอ แต่ก็เข้าใจหมอในฐานะ หมอก็คือคนๆ หนึ่งค่ะ ... ข่าวนี้จะทำให้เรามีการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเล็กๆ ค่ะว่า ถ้าอาชีพในสังคมไทย มีความเป็นวิชาชีพอย่างหมอ ..เราอาจมองเห็นภาพความรับผิดชอบและการพัฒนาในสายอาชีพมากกว่านี้ เช่น คนขับรถตู้สาธารณะ รวมทั้งอาจจะมองเห็นการให้คุณค่าต่อทุกอาชีพ ถ้าเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีเกียรติศักดิ์ศรี มีสวัสดิการที่พึงได้ในอาชีพนั้นๆ ความเป็นวิชาชีพหรือมืออาชีพ ที่รับผิดชอบต่อผลการกระทำของตัวเองอาจมีมากขึ้น .. จนทำให้อาชีพหมอไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าที่หมออาจรู้สึกอยู่ในปัจจุบันค่ะ แต่ถ้า รพ. (เท่าที่อ่านมา) จะเก็บความผิดพลาดนี้ไว้เป็นบทเรียนว่าจะไม่เจาะน้ำคร่ำให้ผู้ป่วย .. ก็ได้ค่ะ เพราะเราทุกคน มีคนที่รัก ญาติพี่น้อง และตัวเองที่สามารถเป็นคนไข้ได้เสมอค่ะ ถ้าจะคิดและทำแบบนั้นก็ได้ค่ะ เป็นสิทธิในขอบเขตของความรับผิดชอบที่ทำได้ นี่พูดจริงๆ ..  หลักคิด คือเราทุกคนควรทำต่อผู้อื่นในสิ่งที่ตัวเองอยากได้รับ .. เรื่องธรรมดาค่ะ ถ้าจะเริ่มต้นจากทำก่อน และดีเสียด้วยที่หมอจะคอยเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนว่า ไม่ต้องเจาะน้ำคร่ำ เพราะหมอเองก็คลอดโดยตัดวิธีเจาะน้ำคร่ำเองเสียด้วย .. เพียงแต่ว่า รพ.ก็ควรแจ้งให้ผู้ป่วยทราบด้วยว่า จะไม่ใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบนี้ค่ะ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกโรงพยาบาลค่ะ จากคุณ : แกงส้มผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 13:45:29

ความคิดเห็นที่ 49 คุณนักรบสายรุ้ง คห 31 comment แบบนี้ บั่นทอนจิตใจแพทย์ได้ดีพอๆกับการตัดสิน Case เลยค่ะ คุณเรียกร้องให้แพทย์รักษาคนไข้ด้วยความเมตตาธรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่คุณคิดกับแพทย์ก็แค่นี้หรือ  ทำอะไรก็ได้ให้คนไข้รอด ทุกอย่างต้องดีที่สุด แต่ตัวแพทย์เองจะเป็นยังไง ถูกฟ้อง โดนปรับ ติดคุก ... ก็ช่างมัน   อย่างว่าแหละค่ะ ตอนนี้แพทย์เป็นแค่ผู้ให้บริการ   "ประชาชนทำอะไรกับพวกท่านไม่ได้หรอก" ... จริงเหรอ แล้วใครเหรอคะ ที่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายสิบล้านกันอยู่เนี่ย "สิ่งที่เราอยากเห็นแต่ไม่มีโอกาสได้เห็นก็คือ ความพยายามของท่านที่จะรับมือในทางที่สร้างสรรค์"   ... สร้างสรรค์ในทางไหนล่ะคะ ในเมื่อไม่ว่าจะไปทางไหนก็หนีเสือปะจระเข้ทั้งนั้น  ทำต่อก็เสี่ยงโดนฟ้อง ไม่ทำก็โดนด่าว่าไม่มีจรรยาบรรณ ... ถ้าไม่มีคำว่าจรรยาบรรณเราว่าหมอส่วนนึงหยุดทำงานประท้วงสำหรับเรื่องนี้แล้วล่ะ (เหมือนหมออินเดียไง) โอย อ่านคห นี้แล้วของขึ้นจริงๆ ขออภัย จริงๆเราควรจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่านี้ แต่บางครั้งก็อยากให้ประชาชนที่เรารักษาอยู่เนี่ยแหละ เข้าใจภาวะของเราบ้าง จากคุณ : clip_pee เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 14:16:37

ความคิดเห็นที่ 50 อ่านแล้วเศร้าใจผมยังไม่มีลูกคิดว่าถ้ามีลูกก็คงฝากท้องที่โรงพยาบาลเอกชน และคิดว่าจะทำpainless labor แต่คงไม่ได้ทำเพราะถ้าจะทำคงสู้ราคาไม่ไหว แล้วคงไม่มีคนยอมทำ สังคมย่อมมีการปรับตัวถ้าทำแบบนี้แล้วถือว่าผิดแล้วใครจะทำ จากคุณ : piggyman เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 14:35:38 A:115.87.195.88 X: TicketID:296269

ความคิดเห็นที่ 51 อนาคตประเทศไทยก็ไม่ต่างจากอเมริกาหรอกครับ เมื่อมีการฟ้องร้องมากขึ้น แพทย์ก็จะทำประกันภัยการฟ้องร้องเพิ่มขึ้น ค่ารักษาก็ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ยิ่งเคสที่มีความเสี่ยงเช่น สูติ ต้องเก็บค่ารักษาเพิ่ม ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยก็จะยิ่งน้อยลง แพทย์ต้องระมัดระวังตัว ห้ามทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป โดยเฉพาะแพทย์ รพช ต้องสำเหนียกตัวเองไว้ ว่าเป็นแค่ GP มีหน้าที่ตรวจแต่โรคง่ายๆ เท่านั้น เคสไหนมีปัญหาก็ส่ง รพ. ศูนย์ให้หมด แพทย์ รพ ศูนย์พองานหนักมาก ก็ลาออกไปอยู่เอกชนกันหมด ดูแล้วคงเป็นวงจรอุบาทว์ไปอีกนานหล่ะครับ แบบนี้ จากคุณ : Top เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 14:42:52 A:122.154.46.117 X: TicketID:346485

ความคิดเห็นที่ 52 ขอแสดงความคิดเห็นในฐานะ แพทย์ ทำงานรพ รัฐบาลมา 9 ปี เพิ่งลาออกมาทำเอกชนได้ 4 เดือน พออ่านความเห็น 31 คุณนักรบสายรุ้ง เห็นแล้วรู้สึกประทับใจจริงๆครับ ทำให้ผมรู้ว่าคิดไม่ผิดที่ลาออกจากโรงพยาบาลรัฐบาล น้องๆ เพื่อนๆ แพทย์ที่ำยังอยู่รพ รัฐบาล ผมขอเป็นกำลังใจให้เสมอนะ ครับ แต่ก็อยากจะบอกว่า อย่าลืมคนใกล้ชิดของพวกท่านโดยเฉพาะบุพการี พี่น้องญาติสนิท ของท่านนะครับ เพราะถ้าพวกท่านทำงานอยู่ห่างไกล ทำงานตามอุดมการณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ท่านไม่มีเวลามาดูแลคนที่ท่านรัก ไม่ได้ใช้เวลากับคนที่ท่านรัก สุดท้ายเมื่อมันเกิดเหตุการณ์กับคนที่ท่านรัก แต่ท่านไม่สามารถมาดูแลได้ ( เนื่องจากเวร+งาน 7/24 ) ท่านจะเสียใจอย่างที่สุด แล้วจะให้เวลาที่เหลืออยู่ มาดูแลคนที่รักของท่านยังไม่จากไปครับ จากคุณ : แพทย์เอกชน (เด่นดวง) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 14:48:59

ความคิดเห็นที่ 53 ผมว่าในรพ.ใหญ่ๆอาจมีผลกระทบไม่มาก แต่ในรพช นี่ผลกระทบรุนแรงแน่นอน เพราะคนที่ทำไม่ใช่หมอสูติ ขนาดหมอสูติทำ มีข้อผิดพลาดที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ ยังถูกตัดสินว่าผิด แล้วหมอทั่วไป ที่ประสบการณ์ก็น้อยก็ยิ่งกังวล ถ้าให้เลือกระหว่างทำกับไม่ทำก็คงเลือกที่จะไม่ทำมากกว่า การกระตุ้นคลอดก็คงลดลงตามความกลัวของแพทย์ที่รพช. (จะไปว่าก็ไม่ได้ เพราะแพทย์ที่นั่นก็ไม่ใช่หมอสูติ) ถ้าคลอดเองไม่ได้ก็คงส่งมาผ่าที่รพ.จังหวัด ทุกคนในประเทศก็ต้องปรับตัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศเรา คิดในทางกลับกัน คนไข้อาจได้รับการรักษาที่ดีขึ้นในการคลอด เพราะอยู่ในการดูแลของสูติแพทย์จริงๆ ไม่ใช่แพทย์ทั่วไป รพเองก็คงต้องปรับตัวหาสูติแพทย์มาปฏิบัติงานมากขึ้น แต่คนที่จะมาเรียนสูติแพทย์นี่สิ คิดหนักแน่นอน เพราะคงหาคนเรียนยากขึ้นเนื่องจากต้องทำงานอยู่กับความคาดหวังอย่างมหาศาล ใครที่รับกับความเครียดตรงนี้ไม่ได้ก็คงไม่เอาแน่นอน จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:02:51

ความคิดเห็นที่ 54 เวลามีข่าวทำนองแบบนี้ เราไม่อยากรับรู้เลยอยากเปิดให้มันผ่านๆไป ใครเป็นเหมือนเรา บ้าง....สงสารเพื่อนร่วมวิชาชีพที่โดนแบบนี้ เราเชื่อว่าหมอทุกคนไม่มีใครอยากให้เกิด เรื่องแบบนี้นะ ทุกวันนี้เราทำงานไปก็คิดไปว่าวันไหนที่มันจะเกิดขึ้นกับเรา ตรวจอะไร บันทึกอะไรก็ For Safe ตัวเองก่อนตลอด จนจะกลายเป็นโรคหวาดระแวงอยู่แล้วอ่ะ เราเข้าใจคนไข้ที่ต้องสูญเสีย เข้าใจผู้พิพากษาที่ว่าไปตามตัวกฏหมาย เข้าใจสังคมที่ มองเข้ามา แต่ทุกวันนี้ถามว่ากฏหมายยุติธรรมกับทุกคนมั๊ย? ถ้าบอกว่ากฏหมายครอบ คลุมทุกอาชีพ ทำไมถึงมีการใช้"กฏหมายอาญา"ตัดสินคดีทางการแพทย์ มันยุติธรรม เหรอ? คุกนะนั่น! ตอนนี้สังคมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เค้ากำลังบีบคั้นวิชาชีพแพทย์ จริงๆแล้วมัน ส่งผลเสียระยะยาวต่อตัวเค้าที่จะมาเป็นคนไข้ในอนาคต...ยังไง? กรณีผ่าไส้ติ่ง รพช. แล้วตาย ตอนนี้รพช.ก็ประกาศเลิกผ่าทั่วทั้งประเทศเพราะไม่มีใครอยากเสี่ยง...ภาระหนักอึ้งไป ตกที่รพ.จังหวัด...ค่าใช้จ่ายในการส่งตัวมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของญาติมาก ขึ้น บางรพ.ไกลมากนะอย่างของเรา 100 กว่ากิโลถึงตัวจังหวัด...เสี่ยงที่จะเกิดใส้ติ่งแตกก่อนอีก รพ.จังหวัดมีคนไข้รอผ่าใส้ติ่งบางคืนเกือบสิบเคส บางคนรอจนไส้ติ่งแตก...ผลเสียมันย้อนเข้าตัวคนไข้เองทั้งนั้น หากพูดไปการรักษาโรคทุกอย่างมีความเสี่ยงทั้งนั้น พวกเราถึงต้องให้คนไข้เซ็นยินยอมรับการรักษาทุกครั้งไงล่ะ แต่บนความ เสี่ยงหมอก็อยากทำเพราะในใจคิดอยากให้คนไข้หายไงล่ะ ... ลองถ้ามีการประกาศงด ทำคลอดที่รพช.จริงๆสิ....ความวุ่นวายตามมาแน่นอน .... คลอดบนรถ!แทนที่จะเป็น แพทย์ทำคลอดและมีพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเคียงข้าง กลับเป็นพยาบาลบนรถทำ คลอดและมีคนขับรถช่วยรับเด็ก!...เราไม่อยากคิดเลยอ่ะ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 15:25:25 จากคุณ : SOBUTE เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:14:09

ความคิดเห็นที่ 55 ไม่อยากให้วิจารณ์เฉพาะกระบวนการทำคำพิพากษาเท่านั้น แต่ควรคำนึงว่าเหตุใดหรือเพราะอะไร ญาติของผู้ตายจึงจำต้องฟ้องแพทย์ ทั้งที่วัฒนธรรมของคนไทยนับถือแพทย์ว่าเป็นอาชีพที่น่ายกย่องเป็นลำดับต้น ๆ อยากให้พิจารณาด้วยว่ากระบวนการไกล่เกลี่ยหรือเจรจามันล้มเหลวอย่างไร ญาติของผู้ตายจึงต้องฟ้องคดีจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต การแก้ไขปัญหาการฟ้องแพทย์ที่น่าจะได้ผลมากที่สุดคือการเจรจา การเยียวยาและการทำความเข้าใจ หากสามารถสร้างระบบให้อยู่ในร่องในรอยแล้ว แพทย์ก็สามารถรักษาคนไข้ได้โดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดปัญหาการฟ้องคดีหรือต้องลาออกหรือทำอย่างไรก็แล้วแต่เพื่อไม่ให้ตนต้องถูกดำเนินคดี (ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน) จากคุณ : tuinui185 เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:32:08 A:125.25.122.84 X: TicketID:347551

ความคิดเห็นที่ 56 ผมเคยอยากเป็นหมอทางด้านสูตินรีเวช เคยถามแม่ที่ตั้งครรภ์หลายคนที่รู้จักกันว่า ถ้าเด็กที่คลอดหรือผ่าคลอดออกมา ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ จะทำอย่างไร ทุกท่านตอบตรงกันหมด.....''ฟ้องค่ะ'' แล้วผมก็ไม่เลือกเรียนทางด้านสูติอีก จากคุณ : happy 1st เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:53:46

ความคิดเห็นที่ 57 ทำไม  อ่านความคิดเห็นในกระทู้นี้แล้ว รู้สึกว่า ภาพของหมอมันไม่ใช่ภาพที่เราเคยคิด เมื่อก่อนคิดว่า คนเป็นหมอ เป็นคนที่เห็นประโยชน์ของคนไข้มากที่สุด เป็นคนที่จะช่วยให้คนที่กำลังทุกข์ กำลังเจ็บปวด คลายทุกข์ คลายเจ็บปวด และสำคัญที่สุด เป็นคนที่จะทำให้คนไข้หลาย ๆ คน ได้มีโอกาสมีชีวิตรอด มีชีวิตยืนยาวต่อไป วันนี้ มันไม่ใช่ จากหลาย ๆ ความคิดเห็นด้านบน มันทำให้รู้สึกว่า ต่อไปนี้คนไข้จะเป็นยังไงไม่รู้ละ  จะเจ็บ จะปวด จะเสี่ยงยังไง ก็ไม่เป็นไร ขอแค่... หมอปกป้องตัวเองไม่ให้คนไข้หรือญาติมีโอกาสฟ้องร้องได้ก็พอแล้ว ขออภัยหากความคิดเห็นของเดี๊ยนจะไปบั่นทอนจิตใจหมอดี ๆ คนไหนเข้า เดี๊ยนเข้าใจว่าหมอดี ๆ ยังมี เพียงแต่ในกระทู้นี้ เดี๊ยนอ่านหลาย ๆ โพสแล้ว รู้สึกแบบนี้จริง ๆ ปล. จะมีหมอคนไหนไล่ไม่ให้เดี๊ยนไปหาหมอเวลาป่วยไม๊นี่ จากคุณ : isiss12 เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 15:54:57

ความคิดเห็นที่ 58 ป่าวหรอกครับ กรรมเกิดจาการกระทำทั้งนั้นแหละครับคุณ isiss12 ทุกวันนี้คนไข้เคยทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้นแหละครับ แต่ก็เข้าใจว่าหมอที่ไม่ดีทำให้คนไข้เสียหายก็มีมาก่อน คนไข้เลยตื่นตัวฟ้องร้อง แต่ตอนนี้มันมากเกินไปแล้ว เรื่องสุดวิสัยที่จะป้องกันได้ก็ชนะคดี จะยังหวังอะไรจากหมอหรอครับ หมอก็คนนะครับ จากคุณ : Dreadnought เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:04:12

ความคิดเห็นที่ 59 ตอนนี้หมอต้องวอนขอความเมตตาจากคนไข้แล้วมั้ง เอ แล้วเราจะมาดักดานอยู่เพื่ออะไร ไปทำอย่างอื่นกันดีกว่า อุดมการณ์มันกินไม่ได้ เงินเดือนก็มีแต่ลดลง ตัดเอา ผลักภาระไปให้เอาเงิน รพ มาจ่ายเบี้ยเลี้ยง ถ้า รพ ไหนไม่มีเงิน หมอก็ไม่ได้เงิน นี่เรามาช่วยเค้าแล้วยังต้องมาวิงวอนขอความเห็นใจอีกหรอ จากคุณ : Dreadnought เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:07:16

ความคิดเห็นที่ 60 เพราะว่าความคาดหวังของคนไข้และญาติเพิ่มขึ้นครับ เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดเรื่องการฟ้องร้องเลย จนกระทั่งมาเกิดกับตัวเอง ถึงได้รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันบั่นทอนความรู้สึกอยากทำงานของเราอย่างมาก ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ตามที่หนังสือบอก แต่คนไข้ไม่เข้าใจ จะเอาเรื่องอย่างเดียวและมีการต่อว่าข่มขู่ตามมาอีกหลายครั้ง ดีที่ตอนนั้นบันทึกทุกอย่างไว้อย่างละเอียด ทำให้มั่นในว่าถึงมีการฟ้องร้องก็ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะมีหลักฐานตามมาตรฐานบันทึกไว้ แต่ความรู้สึกหวาดระแวงคนไข้ที่คาดหวังสูงมันยังคงมีอยู่ ตอนนี้จะผ่าตัดอะไรก็ต้องมองถึงความคาดหวังของคนไข้ นิสัยใจคอ รวมถึงญาติๆด้วยครับ ตอนที่ไม่เคยเจอก็ไม่เคยคิด แต่พอเจอซักครั้งนี่ลืมไม่ลงเลยครับ ปล คนไข้ส่วนใหญ่(เกือบทั้งหมด)ไม่มีปัญหานะครับ พูดคุยกันเข้าใจ แต่คนไข้บางคนก็เกินจะรับจริงๆ จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:09:30

ความคิดเห็นที่ 61 สิ่งที่คุณคิดในความเป็นจริงที่หมอต้องเจอมันไม่ใช่จินตนาการอันสวยหรูที่คุณคิดเอาเองงัย คุณลองถามตัวคุณเองก่อนดีกว่า ถ้างานที่คุณทำขาข้างหนึ่งอยู่ในคุกคุณจะทำไหม ทำไมต้องเอาชีวิตเราไปเสี่ยงพ่อแม่พี่น้องเราก็มี กรณีนี้ก็ยังไม่เห็นว่าประมาทตรงไหน ถามหน่อยเถอะเคสที่ตายนั่นเป็นเคสเดียวในประเทศไทยที่ต้องคลอดใช่ไหมคนอื่นไม่ต้องคลอดเหรอ เคสที่แพลนผ่าตัดล่วงหน้าเขามีทำก็ต้องทำ เคสนี้มันสุดวิสัยใครจะรู้ใครจะคาดได้ แหมแบบว่าจะเอาแบบว่าหมอหายตัวมาปรากฏต่อหน้าทันทีใช่ไหม ถ้าแบบนั้นคุณคงจ้างเหมาหมอคนเดียวละมั้ง วันๆหมอไม่ต้องทำมาหารับประทานต้องนั่งเฝ้าแต่คนของคุณคนเดียวใช่ไม๊ จากคุณ : เอื้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:11:29 A:27.55.1.193 X: TicketID:342109

ความคิดเห็นที่ 62 คห. 57  ครับ เมื่อก่อนคิดว่า คนเป็นหมอ เป็นคนที่เห็นประโยชน์ของคนไข้มากที่สุด เป็นคนที่จะช่วยให้คนที่กำลังทุกข์ กำลังเจ็บปวด คลายทุกข์ คลายเจ็บปวด และสำคัญที่สุด เป็นคนที่จะทำให้คนไข้หลาย ๆ คน ได้มีโอกาสมีชีวิตรอด มีชีวิตยืนยาวต่อไป หมอส่วนใหญ่เป็นแบบนี้จริงๆ ครับ วันนี้ มันไม่ใช่ จากหลาย ๆ ความคิดเห็นด้านบน มันทำให้รู้สึกว่า ต่อไปนี้คนไข้จะเป็นยังไงไม่รู้ละ  จะเจ็บ จะปวด จะเสี่ยงยังไง ก็ไม่เป็นไร ขอแค่... หมอปกป้องตัวเองไม่ให้คนไข้หรือญาติมีโอกาสฟ้องร้องได้ก็พอแล้ว ก็คนไข้และญาตินั่นล่ะครับ ที่ทำให้เป็นแบบนี้ วันหนึ่ง คุณเห็นเด็กกำลังจมน้ำ โดดลงไปช่วย ปรากฎว่าไม่ทัน เด็กตาย พ่อเด็กฟ้องคุณ ข้อหาทำให้เด็กตาย ศาลให้คุณแพ้ เสียเงินสิบล้าน ไม่มีเงินก็ติดคุกไป จะมีใครอยากช่วยคนอยู่อีกไหมครับ ใจเขาใจเราครับ จากคุณ : legion เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:18:29

ความคิดเห็นที่ 63 อยากให้ญาติผู้เสียชีวิตที่ทำการฟ้องแพทย์ในคดีนี้ ได้อ่านกระทู้นี้...ว่าการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมของเค้านั้น... เค้าได้เกินกว่าสิ่งที่เค้าได้เรียกร้องไปมากอยู่...ไม่ใช่แค่หมอหรอกค่ะ ที่เซ็ง ต่อไปนี้ เวลาพาตัวเอง รวมถึงพาบุพการีไปหาหมอ แล้วได้รับ การดูแลรักษาที่เฉยชา ก็พอจะเข้าใจค่ะ ถึง คห.57 เดี้ยนขอแนะนำว่าคุณอย่าป่วยใข้เลยค่ะ ซึ่งจะดีมากทั้งตัวคุณเอง และทางคุณหมอด้วย จากคุณ : - (สมหนิง) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:36:21

ความคิดเห็นที่ 64 ว่าจะไม่ตอบละ. แต่ขอซักหน่อยเถอะครับบบ ผมมีเหตุการณ์เหตุการณ์นึงที่เคยเกิดขึ้นกับผม ที่อยากให้ลองได้อ่านกัน ลองคิดไว้แล้วกันนะครับ ว่าถ้าท่านอยู่ใน situation แบบนั้น แล้วจะทำอย่างไร แบบไหนถึงจะเป็น. Best. Selection แบบของท่า??? คืนวันหนึ่ง ขณะที่ผมอยู่เวร เป็นแพทย์เวรประจำโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง โรงพยาบาลที่ผมอยู่ เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดสามสิบเตียง มีหมอสามคน ซึ่งเป็นแพทย์ใช้ทุน จบวุฒิ แพทย์มาได้สองปี อยู่ห่างจากโรงบาลจังหวัดสามชั่วโมง ระยะทางมีทั้งทางปกติรวมขึ้นเขาด้วย 250 กิโลเมตร เวลาตีสองของคืนหนึ่ง. มีหญิงท้องแก่คนนึงมาหาผมด้วยเรื่องเจ็บท้องคลอด น้ำคร่ำแตก มาสองชั่วโมง ท้องนี้เป็นท้องลูกคนแรก เคยฝากท้องที่คลินิกในเมืองมาก่อน. พบว่าเด็กไม่กลับหัว ตรวจร่างกายเบื้องต้นก็พบว่าเด็กก็ตัวก็ไม่ใหญ่มาก น่าจะประมาณสองโลครึ่ง (กะเอาจากขนาดท้องนะครับ) พอตรวจทางช่องคลอด ผมก็คิดในใจว่า "ซวยแล้วกรู....." ปากมดลูกเปิดประมาณ8เซนติเมตรสวนนำ แทนที่จะเป็นหัวเหมือนเด็กทั่วๆไป ปรากฎว่าเป็นหลัง ที่สำคัญ เด็กมันเอามือออกมาข้างหนึ่งด้วยย (back presentation with hand prolapse) ผมโทไปหาพี่หมอสูติคนนึงที่โรงพยาบาลจังหวัดว่าจะให้ผมทำอย่างไร พี่เค้าบอกว่า. จริงควรทำผ่าท้องคลอด(emergency Caesarian section) แต่ถ้าsituation.แบบสอบถาม พี่แนะนำให้ฉีดยาแก้ปวดให้คนไข้ แล้วดันเด็กเข้าไปพลิกกลับในท้อง แล้วทำคลอดท่าก้น (internal invertion) ตอนนั้นผมก้อลองทำ internal  invertion ตามวิธีที่พี่สูติสอนทางโทรศัพท์ กับเปิดตำราทำเอา (เพราะไม่เคยเห็นหัตถการนี้มาก่อนในชีวิต) ก้อไม่สำเร็จ ตอนนี้นผมมีทา เลือกอยู่สองทาง 1. ส่งคนไข้ไปที่โรงพยาบาลจังหวัด ทั้งอย่างนั้น ลูกน่าจะต้องเสียชีวิตแน่ๆ ส่วนแม่ก้อ ครึ่งต่อครึ่ง ระหว่างงเดดินทางต้องอยู่กับพยาบาลสองคน 2. ทำผ่าคลอดฉุกเฉินมี่โรงพยาบาลชุมชน โดยมีหมอผ่าตัดคือ ผม ที่เคยทำผ่าคลอดตอนเป็นนักศึกษาแพทย์โดยมีอาจารย์เป็นผู้ควบคุมมาสามคน และทำโดยมีพี่สูติที่โรงบาลจังหวัดเข้ามาช่วยดูให้อีกหนึ่งคน และไม่ได้ทำเลยมาปีกว่าๆแล้ว มีเพือ่นผมอีกคนที่เรียนมาด้วยกันเป็นผู้ช่วย กับพยาบาลโรงพยาบาลชุมชนอีกสองคน และดมยา โดยพยาบาลดมยาที่เคยไปเรียนมาคอร์สนึงเมื่อสมัยสาวๆ (โรงบาลผมมีแมชชีนดมยารุ่นโบราน กับยาสลบไว้นิดหน่อยครับ เผื่อฉุกเฉินเนื่องจากอยู่ติดชายแดน) 3 บอกคนไข้ว่า อย่าเพิ่งเป็นอะไร ขอไปแจ้งผู้ใหญ่ในกระทรวง ว่าให้ส่งหมอสูติมาประจำที่โรงพยาบาลชุมชนก่อนนน แล้วค่อยมาคลอดใหม่ ทำแบบไหนถึงจะดีครับ??? .......... .......... ............... ตอนนั้น ผมเลือกที่จะทำตามข้อสองครับ อาจจะเป็นความบ้าส่วนตัว แต่ผมคิดว่า ถ้าจมีอะไร เกิดในมือเรา ก็น่าจะยังพอแก้ไขทัน ดีกว่าไม่ทำอะไรแล้วโยนคนไข้ขึ้นรถปล่อยให้ไปตายกลางทาง ซึ่งในเคสนี้ก้อรอดด้วย ผมอยากจะบอกว่า ไม่มีหมอคนไหน อยากใไ้คนไข้ในมือเรามีอันตรายหรอกครับ หลังผ่าตัด มีหมอผ่าตัดคนไหนนอนหลับสบายมั้ย ถึงคุณไม่ได้เห็นเราที่ข้างเตียง  แต่ก็แทบจะตลอดเวลาที่เราเดินไปดูrecord ที่พยาบาลจดไว้ให้ แทบไม่ได้นอนเช่นกัน หัตถการทุกอย่างที่ทำให้กับคนไข้ล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่ที่เราเลือกจะทำให้ เพราะเราเห็นว่าประโยชน์ มันมีมากกว่าโทษ อย่างเช่นกรณีของ amniotic fluid embolisในกรณีนี้ หัตถการ ถ้าทำแล้วดี ไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทำแล้วก็แค่เสมอตัว แต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นแม้จะทำตามตำราและเตรียมพร้อมอย่างดีแล้ว ยังไงก็ผิด ถึงแม้จะสู้ทางกฎหมายแล้วว่าไม่ผิด แต่ก็เป็นจำเลยของสังคมอยู่ดี ดังนั้นที่บอกว่า ขาข้างนึงอยู่ในคุกอยู่แล้ว ก็คงไม่ผิดนะครับผมว่า จากนี้ไป ผมจะไม่แปลกใจเลยถา 1 painless labor จะหายไปจากเมืองไทย 2 พยาบาลห้องคลอดที่โรงพยาบาลชุมชนจะไม่ยอมทำคลอดให้ในกรณคลอดปกติ ซึ่งก็จัโหลดแพทย์ และในที่สุดก็จะป้องกันคว่มเสี่ยงโดยการส่งไปคลอดกับหมอสูติที่โรงพยาบาลจังหวัด 3. Work load ของหมอสูติจะมากขึ้น จนอยู่ไม่ได้ และค่อยๆลาออกจากระบบของราชการ 4 คนทีที่มาเรียนต่อเฉพาะทางสูติจะยิ่งหายากมากขึ้น จากคุณ : PeaceBREAKER เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:47:05

ความคิดเห็นที่ 65 เดิมทีแต่แรก หมอก็เห็นแก่ประโยชน์ของคนไข้นั่นแหละครับ แล้วเป็นยังไงล่ะ คนไข้ฟ้อง ทั้งๆที่ทุกอย่างทำตามกฎเกณฑ์หมดทุกอย่าง เด๊ะๆ แต่กฎหมายดันบอกว่าผิด แล้วคุณ คห. 57 ยังจะ... เฮ้ออ... จากคุณ : จำง่าย ลืมยาก คิดมาก คิดไปเอง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:50:46

ความคิดเห็นที่ 66 ตอนที่คนไข้ฟ้อง เขาไม่ดูหรอกครับว่า หมอคนนั้น"ช่วยให้คนที่กำลังทุกข์ กำลังเจ็บปวด คลายทุกข์ คลายเจ็บปวด" มาแล้วกี่ราย จากคุณ : Fluorine เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 17:29:52

ความคิดเห็นที่ 67 คห.64 ก่อนอื่นต้องบอกขอชมก่อนว่า เก่งมากค่ะที่คนไข้ปลอดภัย และต้องขอชื่นชมและนับถือในความกล้าจริงๆ (ไม่ได้ประชดนะ) ไม่ทราบเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากี่ปีแล้วเหรอคะ ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน ใครๆก็คงทำแบบนี้ แต่ถ้าในห้าปีที่ผ่านมานี้ ใจกล้ามาก ต้องขอเปรียบเทียบว่าคุณหมอได้เดินเข้าไปอยู่ในคุกแล้วโดยสมบูรณ์ แต่โชคดีที่ประตูคุกยังเปิด คุณหมอเลยออกมาทันค่ะ แต่ต่อไปถ้ามีเคสแบบนี้อีก อยากขอให้คิดหน้าคิดหลังดีๆนะคะ คิดเผื่อคนข้างหลังด้วย (ทั้งตัวคุณพ่อคุณแม่ของคุณหมอเอง เื่พื่อนอินเทิร์นอีกคนที่มาช่วย พยาบาล รวมถึงหมอรุ่นหลังๆ ... พูดถึงในกรณีที่ outcome มันออกมาไม่ดีน่ะค่ะ)  ยังไงก็ตาม ขอชื่นชมจริงๆ ว่าได้เอาประโยชน์ของคนไข้เป็นที่ตั้งจริงๆค่ะ ... ซึ่งถ้าเป็นเรา ไม่แน่ใจเลยว่าจะทำได้ ปล. ขออภัยที่ต้องเรียกว่าคุณหมอ เพราะไม่แน่ใจลำดับอาวุโสค่ะ จากคุณ : clip_pee เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 17:29:59

ความคิดเห็นที่ 68 หมอมีความรู้และทำตามแนวทางที่เค้าทำกันทั้งโลก แต่ศาลมาให้ความเห็นแบบนี้ ... คนไข้ที่อยู่ประเทศไทยก็คงไม่น่าจะได้รับการรักษาตามแนวทางสากลอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 17:35:54 จากคุณ : 1st Date เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 17:30:52

ความคิดเห็นที่ 69 สงสัยต่อไปต้องเอาตำราแพทย์ไปให้ศาลตีความก่อนล่ะครับ แล้วค่อยทำเป็น guideline ร่วมระหว่าง ศาล กับ แพทย์ เพื่อใช้ปฏิบัติกันในประเทศไทยเท่านั้น จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:06:21

ความคิดเห็นที่ 70 เข้าใจดีครับ หมอก็คนเหมือนกัน กลัวเสียเงิน กลัวติดคุกเหมือนกัน แต่ผมก็ยังเชื่อว่าหมอจะพยายามรักษาคนไข้ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่สงสัยอย่างนึงว่า ทางโจทย์ก็มีพยานผู้เชื่ยวชาญเป็นหมอเหมือนกัน ทำไมไม่เข้าใจว่ามันเป็นกรณีเหตุสุดวิสัย ผมว่าคงต้องรอดูฎีกาก่อนล่ะครับ ว่าเนื้อหาในคดี ทางโจทย์กล่าวหาว่ายังไง ทางจำเลยแก้ต่างอย่างไรบ้าง ทำให้ผลการตัดสินออกมาในรูปนี้ได้ ส่วนตัวคิดว่ามันประหลาดมาก ถ้าต้องให้แพทย์มานั่งเฝ้าคนไข้เอง เสียเวลาโดยใช่เหตุ จากคุณ : Michka เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:15:43

ความคิดเห็นที่ 71 ไม่เคยเห็นคนจนๆ ที่เข้า รพ ชุมชน ฟ้องหมอซะที คนที่ฟ้องน่ะเค้ามีตังไง มีเวลาด้วย  ไม่เห็นแปลก 16 ปีเชียวนะ กว่าจะชนะ ไม่ใช่อยู่ๆ เหมือนเด็กทำผิดไปฟ้องครู แล้วครูจับเฆี่ยนตีเดี๋ยวนั้นซะเมื่อไหร่ กว่าจะชนะใช้เวลาถึง 16 ปี เสียเวลา เสียเงินไปตั้งเท่าไหร่ คนจนหาเช้ากินค่ำน่ะ ทำไม่ได้หรอก ไอ้ที่บอกว่า การฟ้องร้องครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงล้าหลัง ไม่พัฒนา ไม่มีหมอสูติอีกต่อไป คุณไม่คิดหรือว่า วันนึง คุณจะต้องมีลูก คุณจะต้องคลอดลูก ญาติโกโหติกาคุณ ก็ต้องมีสักคนล่ะว้าาที่จะต้องคลอดลูกกับหมอสูติ (ที่พวกคุณๆ บอกว่าไม่กล้าทำอะไรแล้ว) ถ้าเป็นพวกคุณๆ หมอๆ ทั้งหลาย ตัวเองคลอดลูกแล้วลูกตาย ญาติพี่น้องคลอดแล้วตายทั้งแม่ทั้งลูก (อันนี้ไม่ได้แช่งนะ) ด้วยสาเหตุที่ป้องกันไม่ได้ ที่คุณๆ บอกว่า เป็นแล้วตายแน่นอน คุณจะทำยังไงคะ ก. ช่างมัน ซวยเองนี่ ดันมาเกิดอาการที่รักษาไม่ได้ ข. ฟ้องหมอที่ทำคลอดเลย ทำคลอดยังไงทำให้ลูกชั้นตาย อ่านหลายๆ ความเห็นแล้วได้แต่ถอนหายใจดังๆ เฮ้ออออออออออออออออออ จากคุณ : ต้นปาล์มจอมซน เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:27:39

ความคิดเห็นที่ 72 อนาคตต่อไปหมอสูติจะมีเฉพาะที่ รพ เอกชน ค่าบริการจะสูงลิบลิ่ว คนจนต้องคลอดกับหมอตำแย คงจะมีแม่นาคเมืองไทยเกิดขึ้นอีกมาก หมอสูติจำนวนหนึ่งอาจจะมากด้วยลาออก เปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไปหรือทำเกี่ยวกับความงามแทน อีกส่วนหนึ่ง เปลี่ยนอาชีพ เกิดแน่ๆไม่ต้องกลัวหรอก จากคุณ : เอื้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:56:43 A:27.55.1.167 X: TicketID:342109

ความคิดเห็นที่ 73 เพื่อนๆครับ ลาออกมาอยู่เอกชนดีกว่าครับ อยู่ไปก็โดนฟ้อง ไหนๆก็เสี่ยงทั้งอยู่เอกชนอยู่รั ฐบาล จะอยู่ รพ.รัฐให้เหนื่อยทำไม ผมคนนึงที่คิดได้ และถอนตัวทันหันมาทำ clinic skin ดีกว่า มีเวลาให้ครอบครัว เมื่อก่อนเป็นโรคปวดหัวเพราะเครียด+ไม่ได้พักผ่อน ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง คุณภาพชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น เราจะไปทนทำไมในเมื่อเค้าไม่เห็นใจเรา amiotic embolism ยังถูกฟ้องว่าผิด ต่อไปคนเราแก่ตายอยู่ในมือหมอคนไหนก็ผิดหมดแหละแล้วแต่ใครซวย โรงพยาบาลของไทยนอกจากหมอไม่พอ เครื่องมือไม่พร้อม ยังบีบบังคับกันอีก เหมือนให้สร้างตึกแต่มีวัสดุให้แค่ไม้กับตะปู ใครมันจะไปทำได้ ทำไม่ได้ก็ด่า ก็ว่า เราจะไปทนทำไม เอาคุณภาพชีวิตตัวเองดีกว่าครับจะทนกันทำไม คิดใหม่ทำใหม่ จากคุณ : capuchino_@chaiyo.com เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 19:10:49 A:161.200.100.2 X: TicketID:259617

ความคิดเห็นที่ 74 อนาคตต่อไปหมอสูติจะมีเฉพาะที่ รพ เอกชน ค่าบริการจะสูงลิบลิ่ว คนจนต้องคลอดกับหมอตำแย คงจะมีแม่นาคเมืองไทยเกิดขึ้นอีกมาก หมอสูติจำนวนหนึ่งอาจจะมากด้วยลาออก เปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไปหรือทำเกี่ยวกับความงามแทน อีกส่วนหนึ่ง เปลี่ยนอาชีพ เกิดแน่ๆไม่ต้องกลัวหรอก จากคุณ : เอื้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:56:43 A:27.55.1.167 X: TicketID:342109 ก็พวกอยู่เอกชนนี่ไงที่จะโดนฟ้อง เพราะคนที่เค้าเข้าไปใช้บริการเค้าก้หวังว่า จ่ายค่าตัวพวกหมอแพงๆ แล้วก็คงจะได้รับการบริการที่ดี ย้ายไปอยู่เอกชนกันเยอะๆ นะคะ จะได้มีหมอให้เลือกเยอะๆ  หมอไหนไม่ดีจะได้ไม่ต้องหา หมอดีๆ มีอยู่เยอะแยะ ------------------------------- คุณ capuchino_@chaiyo.com ทำไมจะไม่เห็นใจคะ  เห็นใจหมอ ว่าเป็นอาชีพที่ต้องทำงานหนัก ความรับผิดชอบสูง เราเห็นใจหมอเสมอ ขนาดหมอที่เราเจอดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็หมอก็คนธรรมดาน่ะ แต่ก็ยังนับถือหมอตลอด แต่ไม่เห็นใจพวกที่มาร้องแรกแหกกระเฌอ เจออะไรนิดหน่อยก็เต้นเป็นเจ้าเข้า แหม ทำเป็นน้อยอกน้อยใจ ไม่มีใครเห็นใจ ลาออกดีกว่า พูดจาประชดประชันงู้นงี้ แล้วจะให้ใครเห็นใจล่ะคะ อ้อ แล้วก็จะบอกว่า ทำคลีนิคสกินแคร์น่ะ ถ้ามีคนแพ้ หรือคุณทำให้เค้าไม่ดี ยังไงเค้าก็ฟ้องคุณได้อยู่ดีแหละค่ะ  มีอยู่ตั้งหลายเคสที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่หมอสูติหรอกที่เค้าฟ้องกันน่ะ จากคุณ : ต้นปาล์มจอมซน เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 19:22:55

ความคิดเห็นที่ 75 ถึงคุณ Michka อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ ต้องยอมรับฮะว่าเงินซื้ออะไรไม่ได้ทุกอย่าง แต่ถ้ามีของ 100 อย่าง เงินซื้อได้ 99 อย่างแล้วล่ะครับ ลองคิดดูว่าทนายทราบดีว่าลูกความฆ่าคนตายจริง หรือข่มขืนจริง ถามว่าทำไมทนายถึงยังว่าความให้ล่ะครับ บางคดีทนายเก่งๆกลับดำเป็นขาวได้เลย ผมว่ากรณีเดียวกันล่ะครับ นี่ก็ความเห็นส่วนตัวนะครับ บางครั้งผมก็อยากให้คนไข้จนๆฟ้องหมอบ้างเหมือนกัน คนที่ผมรู้จัก ปวดท้องไปหาหมอตามบัตรประกันสังคม ไปหาหลายเดือน รวมๆแล้วน่าจะเกินหกเดือนได้มั้ง แต่ไม่บอกกับคนไข้ว่าเป็นอะไร ไปหาก็ให้แต่ยาแก้ปวดท้อง ลดกรดในกระเพาะ ให้ยามากินทีเยอะๆ ไปหาไม่นานก็ต้องไปอีกเพราะว่าปวดท้องไม่หาย หมอก็ให้ยามาอีก จนยาเหลือมากมายก่ายกอง ขอนอนโรงบาลก็ไม่ให้ แกปวดหนักจริงๆครับ นอนก็ไม่ได้ กินก็ไม่ได้ ตัวผอมเหลือแต่กระดูก ปวดจนตัวงอ ป้าแกทนไม่ไหว เลยไปเข้าผู้ป่วยอนาถากับที่อีกโรงพยาบาลนึง (เป็นโรงพยาบาลทหารครับ โฆษณาให้เค้าหน่อย อิอิ) ดูแลดีมาก ให้นอนโรงบาลวันนั้นเลย ตรวจนู่นนี่สารพัด ผมไม่แน่ใจว่าผลที่โรงพยาบาลนี้ออกมายังไง แต่ว่าถึงเป็นผู้ป่วยอนาถาก็มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ป้าแกไม่มีเงินจริงๆ จำใจกลับไปโรงบาลเก่า รวมเวลาหาหมอไปหลายเดือนกว่าที่โรงบาลแรกจะยอมเช็กป้าอย่างจริงจัง เริ่มจากเอ็กซเรย์ ส่องกล้อง ฯลฯ ค่อยๆทำไปอาทิตย์ละอย่าง ระหว่างนั้นป้าแกก็ยังต้องไปกลับโรงพยาบาลนะครับ จนประมาณสองเดือนสุดท้ายป้าแกคิดว่าไม่รอดแน่ เลยกลับบ้านไปที่ตจว. หมอที่นั่นแจ้งว่าเป็นมะเร็ง....... แล้วแกก็เสียไป ที่ผมไม่เข้าใจคือ หมอไม่รู้ว่าป้าแกเป็นอะไรจริงๆ หรือว่าไม่ยอมบอก ถ้าไม่อยากบอกกับเจ้าตัวก็น่าจะบอกกับญาติได้นี่ครับ ผิดหวังกับโรงบาลแรกจริงๆ ปล่อยป้าแกปวดตัวงอ แถมผอมเหลือแต่กระดูกอยู่ได้ แ่ต่โรงบาลที่สองน่าชมเชยครับ ใช้บัตรไม่ได้ก็รับเข้าอนาถาให้ เสียแต่ป้าแกไม่มีเงินจริงๆ แต่ถึงผมจะผิดหวังกับหมอบางที แต่ก็ไม่ใช่ทุกทีหรอกครับ หมอยังเป็นพระเอกในหัวใจผมตลอด(เน่ามว้ากกก) ถามว่าหมอที่เสียสละมีมั๊ย ผมยังคิดว่ายังมีอยู่อีกเยอะครับ สำหรับบางคนที่คิดแต่ว่า หมอต้องบริการชั้น ต้องบริการให้ดีที่หนึ่ง หมอรับเงินชั้นไป นี่เป็นหน้าที่หมอ อยากมาเป็นหมอทำไมล่ะ ไม่เห็นง้อเลย ยังมีหมอคนอื่น หรือหมอใหม่ๆมาทำอีกเยอะ อยากถามจริงๆ ไม่สงสารหมอจริงๆเหรอครับ จากคุณ : 99องศา เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 19:24:23

ความคิดเห็นที่ 76 ผมสงสัยว่า ผลของคดีมันก็เกิดจากคำให้การของพยานฝ่ายหมอของโจษก์เองไม่ใช่เหรอคับ ถ้าหมอยังทำร้ายกันเองแบบนี้อนาคตหมอคงแย่ และผลกรรมก็ตกที่ผู้ป่วยอยู่ดีคับ จากคุณ : คนผ่านมา (กระจกวิเศษ) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:15:21

ความคิดเห็นที่ 77 เห็นด้วยกับ คห 25 ค่ะ เนื่องจากเคยขึ้นศาล รู้เลยว่า ท่านไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นๆ แต่จะชนะหรือแพ้กันก็ตรงหลักฐานที่เอามาสู้ความเก่งของทนายแต่ละฝ่าย เพราะซาลท่านจะตัดสินจากเอกสารที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ ไม่คิดเอง รู้เอง คือเหมือนทำตัวแบบแก้วว่างๆ ใครให้ข้อมูลอะไรมา ก็เอามาเทียบ วิเคราะห์ สุดท้ายก็ตัดสินว่า น้ำหนักใครดีกว่ากัน โดยดูจากหลักฐานที่แต่ละฝ่ายเอามาค่ะ กรณีนี้อย่าไปโทษศาลท่านเลย เพราะก็อย่างนี้ทุกเคส แต่ก็เห็นใจแพทย์ที่ต้องเข้าปิ้ง ทั้งๆที่สาเหตุการตายก็เป็นสิ่งสุดวิสัย แต่ไม่อยากให้ประชดกันค่ะ เชื่อมั่นว่า ถ้าแพทย์ตั้งใจทำดี สิ่งดีๆย่อมคุ้มครองค่ะ อย่าโดดเดี่ยวคนไข้เลยนะค่ะ ตอนนี้รู้สึกกลัวจัง กลัวว่าอนาคตข้างหน้า จะไม่เหลือแพทย์แล้ว เพราะทุกวันนี้ก็ไม่มีใครอยากเป็นเพราะเสี่ยงเหลือเกิน ก็เอาใจช่้วยนะค่ะ รัฐต้องเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะปัญหาทุกวันนี้ด้านการรักษาส่วนมากเกิดจากแพทย์ไม่้พอ มากกว่า ทำให้มีเวลาให้ผู้ป่วยน้อยลง สู้ สู้ ค่ะ จากคุณ : คนธรรมดาคนหนึ่ง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:17:14

ความคิดเห็นที่ 78 อยากให้ #31 และ #57 คิดดูว่ามันเป็นธรรมกับทางฝ่ายแพทย์บ้างรึเปล่าบ้างนะครับ มันเป็นเรื่องที่จะกระทบเป็นวงกว้าง การตัดสินแบบนี้มามันเหมือนเอาปืนมาจ่อหัว พลาดโดนยิง ถึงจะมั่นใจว่าจะไม่พลาดมันก็สร้างความกลัว ความไม่ปกติได้นะครับ ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปเพิ่มแรงกระตุ้นด้านลบแบบนี้ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:22:31

ความคิดเห็นที่ 79 PeaceBREAKER พี่ smart มากครับ สมัยนี้อาจารย์ผมจับมือทำ c/s 1 case ขณะวน OBGYN ครับ ในใจก็ไม่ได้รังเกียจหัตถการ แต่ complication ที่เกิดขึ้นมันสาหัสกว่า intern จะรับไหว ยิ่งมีเรื่องของการฟ้องร้องเข้าไป ใครจะไปทำ ยิ่งได้คำตอบจากผู้พิพากษาว่า เสียโอกาสคนไข้ในการเจอแพทย์เฉพาะทาง จะทำให้ได้รับการรักษาที่ดีกว่า ยิ่งหมดกำลังใจ ผมหวังว่าวันหนึ่งคงมีการเปลี่ยนแปลง จากคุณ : ตาเขียว (ตาเขียว) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:42:55

ความคิดเห็นที่ 80 สำหรับตนเองไม่เชื่อว่าระบบ painless  สำหรับคนใกล้คลอดจะมอดม้วยสูญหายล้มละลายไร้ซากไปจากประเทศไทย แบบที่บางคนในนี้ย้ำนักหนา ตนเองเชื่อว่านอกเหนือจากกระทู้นี้ มีคุณหมอดีดีในบ้านเราอีกเยอะค่ะ และเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นมีการแก้ปัญหาและการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นมากกว่าที่จะมาออกโรงแก้ปัญหาแบบกำปั้นทุบดินว่า ทำ painless แล้วโดนฟ้องแก้โดยการไม่ทำ painless  ทั้งๆที่ปัญหาของคดีนี้ ที่ถูกฟ้องมันไม้เกี่ยวว่าทำ painless หรือไม่   สำหรับตนเองมองว่าคดีผ่านมา 16 ปี ถูกฟ้อง 8 ล้านกว่าๆ พร้อมดอกเบี้ย  ไม่ได้เยอะมากมายอะไรเลยสำหรับคดีนี้ สุดท้ายนี้คงไม่มีอะไรหากญาตพี่น้องของผู้ชนะคดีหลงเข้ามาอ่านกระทู้นี้ ดิฉันขอให้กำลังใจกับการสูญเสีย 2 ชีวิต ในครอบครัวของคุณไปค่ะ สำหรับคุณหมอที่แพ้คดี ดิฉันเชื่อว่าคุณหมอคงไม่ได้มีเจตนาให้เป็นเช่นนั้นกับคนไข้ ขอให้กำลังใจคุณหมอเช่นกันคะ จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 21:20:22

ความคิดเห็นที่ 81 #80 คดีนี้มันเกี่ยวกับการไม่เฝ้าคนไข้ หลังทำpainless ...ถ้าหากหมอไม่มั่นใจว่าจะเฝ้าไข้ได้ ก็เหมือนกับการบังคับห้ามทำแหละครับ แต่painless labor คงไม่หายไปหรอกครับ ก็น่าจะมีหมอทียอมเสี่ยง เสียเงิน ติดคุก หมดอนาคตอยู่บ้าง แต่ก็คงทำให้ค่ารักษาแพงขึ้นมากเป็นเงาตามตัวแหละ จากคุณ : tora เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 21:51:54 A:124.122.110.39 X: TicketID:243713

ความคิดเห็นที่ 82 ความเห็นส่วนตัวนะครับ&nbsp;<div><br></div><div>เห็นใจญาติผู้สูญเสีย และเข้าใจครับ เมื่อศาลตัดสินแล้ว ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น</div><div><br></div><div>แต่ในส่วนของแพทย์ การที่แพทย์จะไม่ฉีดยาลดปวด และไม่เจาะถุงน้ำคร่ำผมว่า ก็เป็นสิทธินะครับ เพราะเมือเกิดเหตุสุดวิสัย โอกาสจะโดนฟ้องสูงมากทั้งๆ ที่ทางการแพทย์รู้ดีว่า กรณี amniotic embolism ป้องกันไม่ได้ &nbsp;ผมว่า ถึงไม่เจาะถุงน้ำคร่ำ ไม่ฉีดยาลดปวด คนไข้ก็อยู่ได้ล่ะครับ เพราะสมัยก่อนยัง ผ่านกันมาได้เลยครับ</div> จากคุณ : doctorpeem (DoctorPeem) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 21:59:20

ความคิดเห็นที่ 83 ก็น่าจะมีหมอทียอมเสี่ยง เสียเงิน ติดคุก หมดอนาคตอยู่บ้าง >>>> คุณ Tora คะ เราเชื่อมั่นว่าหมอดีดีมีอยู่ในไทยอีกเยอะค่ะ และเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นทำการรักษาดูแลคนคลอดไม่ใช่เพราะว่า พวกเขา "ยอมเสี่ยง เสียเงิน ติดคุก หมดอนาคตอยู่บ้าง" อย่างที่คุณคิดค่ะ ตนเองหาหมอในไทยมาก็เยอะ เพื่อนที่เป็นหมอก็มี  ต้องบอกว่าเจอหมอดีมากกว่าหมอไม่ดีค่ะ จะว่าไปแล้ว AFE ป้องกันไม่ได้ตามที่คุณ doctorpeem ว่าก้อาจจะไม่ถุกต้องนัก อาจจะป้องกันไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้คุณแม่ตายหรือช่วยให้เด็กรอดค่ะ ตนเองไม่ใช่หมอ แต่ตั้งแต่มีข่าวนี้ขึ้นมา ทำให้รู้สึกสนใจ  AFE และอ่าน อ่าน อ่าน เก็บข้อมูล ดุเหมือนว่า AFE จะมีระดับความรุนแรงด้วย หลายๆโรงพยาบาลในต่างประเทศมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับจัดการกับ AFE ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 22:27:37 จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:04:33

ความคิดเห็นที่ 84 ยังไม่ได้อ่านคำพิพากษาตัวเต็ม แต่ดูจากหลายๆคนซึ่งเป็นหมอในนี้แล้วเลยอยากสอบถามข้อมูลว่า พวกคุณได้อ่านคำพิพากษาตัวเต็มกันแล้วหรือยัง หรือได้แค่ข้อสรุปว่ารักษาตามตำราทุกอย่างแล้วเกิดตายขึ้นมา ทำไมยังต้องรับผิดแล้วมาออกเสียงไม่พอใจเช่นนี้ครับ แล้วเหตุผลที่พวกคุณทั้งหลายพยายามอ้างขึ้นมาไปจนถึงที่ว่าไม่อยากทำเคสนี้แล้ว ผมผ่านแล้วก็เสียใจนะครับกับความนับถือในใจที่มีให้อาชีพหมอ ผมเห็นใจหมอที่ต้องรับโทษ แต่ผมไม่อยากเชื่อว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอกลับมาประชดกันด้วยการพยายามสร้างแรงกดดันแบบนี้ขึ้นมา ต้องการสร้างกระแสสังคมกดดันศาลหรือครับ มาต่อกันว่าจริงอยู่หมอที่รักษาทำตามตำราทุกอย่าง และเคสนี้ถ้าเกิดกับใครตายแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมถามว่าทำไมท่านไม่ไปด่าหรือต่อว่าคนที่จัดหาทนายครับว่าทำไมเขาไม่ต่อสู้ประเด็นนี้ หรือถ้าต่อสู้แล้วแต่ที่แพ้เพราะว่ามีข้อบกพร่องในข้อต่อสู้อื่นจนทำให้ทนายฝ่ายตรงข้ามสามารถโต้แย้งจนทนายฝ่ายหมอแพ้ได้ พอศาลตัดสินแบบนี้ก็มาโวยวายไม่พอใจจนถึงขั้นหลายๆคนจะไม่รับเคสทำคลอดแล้ว ละอายในวิชาชีพบ้างไหมครับเนี่ย ปกติศาลต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ศาลจะเอาความรู้สึกส่วนตัวมากลับคำตัดสินในคดีที่ไม่มีพยานหลักฐานที่สนับสนุนคำพิพากษาที่ศาลจะตัดสินออกมาไม่ได้ ไม่งั้นศาลเองนั้นละจะซวยเองที่ตัดสินตามใจตัวเองโดยไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนในคำตัดสิน คุณเคยเจอไหม คดีกู้ยืมเงินแต่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ต่อให้มีพยานบุคคลที่เชื่อถือได้เป็นร้อยๆยกมาห้องพิจารณายืนยันต่อศาล ต่อให้เป็นพระหรือมีชื่อเสียงระดับประเทศแค่ไหนมายืนยันกับปาก แต่หากไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของคนยืมแล้ว ศาลก็จะตัดสินให้คุณแพ้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ ขืนศาลใจดีไม่ตัดสินตามหลักกฎหมายอนาคตคงหมดแน่ๆเพราะความใจดีของตัวเอง เพราะศาลก็คงจะตอบคนอื่นไมได้เหมือนกันว่า แล้วรู้ได้ยังไงว่าคนที่มายืนยันเขาไม่ได้พูดโกหก คนมีชื่อเสียงไม่จำเป็นต้องพูดจริงๆเสมอไป แต่หลักฐานที่มีลายเซ็นคนยืมมันโกหกกันไม่ได้(ในกรณีที่ไม่ได้ปลอมลายเซ็น) เรื่องพวกนี้นอกจากข้อเท็จจริงแล้วมันต้องวัดกันที่กึ๋นของทนายความด้วย ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะเอาแต่คำตัดสินมาวิจารณ์กันสนุกปากแบบนี้ บางคนเลยไปจนถึงขั้นเหน็บแนมศาลซะงั้น ไปไปมามาจะมาตั้งตัวเองเป็นศาลแทนซะงั้นว่าต้องตัดสินแบบนี้นะ แบบนั้นนะ ถ้าตัดสินไม่ถูกใจก็จะบอยคอตไม่รักษาคนไข้ซะงั้น ไม่อยากเชื่อว่าออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าหมอจริงๆ จากที่อ่านข่าวมาผมเชื่อว่า ทนายฝ่ายหมอน่าจะไม่ได้สู้ประเด็นที่ว่าต่อให้รักษาตามตำรายังไงเสี่ยก็ต้องมีการตายเกิดขึ้น มันเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากสุ้แล้วผลคำตัดสินคงจะไม่ออกมาแบบนี้ หากเขาสู้ประเด็นนี้แล้ว มันก็ต้องดูต่อว่าแล้วศาลตัดสินให้แพ้เพราะสาเหตุอะไรกันแน่ เป็นไปได้ว่าศาลมองว่า หากมีแพทย์เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดก็อาจจะไม่มีคนตายก็ได้ อาจจะกู้ชีวิตกลับคืนมาได้หรืออย่างน้อยก็อาการสาหัสแต่ไม่ตาย พวกคุณน่าจะคุ้นเคยกับบางเคสที่ใครเห็นก็ต้องฟันธงว่าตายแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์แต่กลับรอดมาได้เหมือนปาฎิหารย์ ผมไม่ใช่หมอ แต่ผมก็เชื่อว่าบางครั้งผลที่เกิดขึ้นแน่นอนมันอาจจะไม่เกิดขึ้นอย่างนั้นเสมอไป เช่นผมเห็นเคสข่าวหนึ่งผู้หญิงเจอแฟนผู้ชายหึงเอาปืนจ่อยิงที่หน้า ปรากฎว่าหมอสามารถรักษาให้รอดตายได้ซะงั้น ทั้งที่ใบหน้าของเธอมันยุบเข้าไปในกระโหลก(เข้าใจนะครับหน้าคนดีๆ แต่มันบุ๋มเข้าไปในกระโหลกมากๆ เหมือนกับเค้กก้อนนึงแล้วคุณเอากำปั้นทุบไปตรงหน้าเค้กจนบุ๋มลงไป) แต่โชคดีที่กระสุนมันไม่ได้โดนจุดสำคัญ แต่แม้เธอจะรอดก็ต้องทำศัลยกรรมพลาสติกสร้างใบหน้าขึ้นมาใหม่ ซึ่งถ้าผมไม่รู้คำตอบมาก่อนแต่เห็นแค่รูปตอนถูกยิงก็คงเชื่อว่ายังไงก็ตายไม่มีทางรอด เป็นไปได้ไหมหากมีแพทย์อยู่ด้วยตลอดเวลา หากตอนนั้นคนไข้เริ่มมีอาการแล้วแพทย์สังเกตทันก็รีบช่วยอย่างทันด่วน โอกาสรอดมันก็จะมีขึ้นมาได้ไม่ใช่ตายแน่นอน คุณให้น้ำหนักกับความเป็นไปได้ข้อนี้บ้างไหม ถ้าอยากให้แพทย์เป็นอาชีพที่วิเศษกว่าอาชีพอื่นๆก็ไปกดดันบรรดาผู้แทนที่ท่านเลือกนะให้ออกกฎหมายมาโดยเฉพาะเลยว่าแพทย์หากทำตามตำราแล้ว ถึงจะประมาทก็ไม่ต้องรับโทษอะไรไม่ง่ายกว่าที่จะมาต่อว่าศาลเหรอครับ สุดท้ายเรื่องนี้ผมมองว่าคำพิากษาออกมาแบบนี้เพราะว่ามันมีจุดเปลี่ยนแพ้ชนะตรงกระบวนการ ไม่ใช่ว่าตรรกะของศาลผิดเพี้ยน ถ้าคุณอยากจะหาคนผิดก็ไปโทษกระบวนการไม่ใช่มาต่อว่าศาลหรือคำพิพากษาว่ามันไม่ยุติธรรมครับ จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:08:39

ความคิดเห็นที่ 85 บางคนคิดว่า รพ. ชุมชน ไม่มีการฟ้องร้อง ... จริงๆ แล้วมีเยอะนะครับ ที่เจอด้วยตัวเอง มักเป็นเรื่อง หมอจ่ายยาไม่เท่าจำนวนที่คนไข้ต้องการ เช่น ต้องการยานวด 12 หลอด แต่ผมให้ 2 หลอด ก็ฟ้อง ผอ. , มารอตรวจแต่เช้าได้ตรวจเที่ยงเพราะคนไข้เยอะหมอตรวจไม่ทันก็ฟ้อง ผอ. , นอนโรงพยาบาลจนหาย จะให้กลับบ้านไม่ยอมกลับก็ฟ้องว่าผมไล่ให้กลับ , ไม่เคยมาฝากครรภ์ มาเพื่อคลอดเลย แม่และเด็กมีปัญหาจากการไม่ได้กินยาบำรุง แม้ส่งต่อโรงพยาบาลศูนย์แล้วก็ยังกลับมาฟ้อง ถ้าเทียบกับคนไข้ปกติ นับว่าน้อยครับ แต่เนื่องจากแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนตรวจคนไข้วันละเป็น 100-120 คน ต้องเจอทุกวันล่ะครับ แล้วเรื่องพวกนี้ก็ตามมากวนใจทุกวัน แม้ไม่ผิดแต่ต้องโดนตามไปอธิบายเมือเรื่องเข้าสู่กระบวนการตัดสิน หลายครั้งไม่จบ ยิ่งเนิ่นนานยิ่งรบกวนการทำงานกับชีวิต มันก็ทำให้เราท้อนะครับ ดังนั้นผมคิดว่า การที่เราหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ถ้าไม่ทำให้คนไข้อันตราย ก็ควรทำครับ จากคุณ : DoctorPeem เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:17:40

ความคิดเห็นที่ 86 #84 คงไม่เข้าใจสินะคะ แนะนำให้ไปอ่านให้ละเอียดก่อนนะคะ จะได้เข้าใจ ขี้เกียจพิมพ์ค่ะ นี่แหละ....ต่อไปจะเหมือนกับอเมริกาที่บางรัฐไม่มีหมอสูติ ส่วนนึงก็จากเรื่องฟ้องร้อง จากคุณ : kiki_kaka เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:22:09

ความคิดเห็นที่ 87 เข้าใจคุณความเห็นที่ 84 นะครับ .. แต่ที่แพทย์พูดกันในนี้เนี่ย มันเป็นความเข้าใจในสายวิชาชีพเราครับ เรื่องบางเรื่อง เป็นการยากจริงๆ ที่จะอธิบายให้เข้าใจในระยะเวลาสั้นๆ เพราะกว่าจะเข้าใจ เรายังใช้เวลาอย่างยากลำบากอย่างน้อย 6 ปี ต่อเฉพาะทางอีกอย่างน้อย 3 ปี แค่ ตัวโรค และแนวทางปฏิบัติ ที่ทำให้แพ้คดี ผมว่าแพทย์ทุกคนอ่านแล้วก็เข้าใจได้ทันทีครับว่า อะไรเป็นอะไร ส่วนกรณีที่จะไม่ฉีดยาลดปวดหรือเจาะถุงน้ำคร่ำเนี่ยผมว่า จะไปว่าแพทย์ไม่มีความรับผิดชอบไม่ได้หรอกครับ เพราะสมัยก่อนก็ไม่ได้ใชวิธีเหล่านี้ ดังนั้นถ้าในประเทศเรา ทำแบบี้แล้วเสี่ยงก็แค่กลับไปใช้วิธีเดิมนะครับ ผมว่าเป็นการป้องกันนะ ไม่ใช่การประชดครับ ^^ จากคุณ : DoctorPeem เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:32:15

ความคิดเห็นที่ 88 คุณ kiki_kaka จะอ้างตามความเห็น 45 ของคุณใช่ไหมครับ คุณก็บอกเองใช่ไหมว่า เคสดีที่สุดก็คือแม่รอด แต่กลายเป็นผัก ผมเข้าใจคำว่าผักคืออะไร มันหมายถึงสมองตายแล้วที่หายใจอยู่ได้ก็คือเพราะเครื่องช่วยหายใจ หากถอดออกไปเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น ก็แปลว่าไม่ได้ตายร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ไหม มันก็มีคนรอด เพียงแต่รอดตายแบบนี้สู้ตายไปเสียยังดีกว่า แต่รอดก็คือรอด ไม่มีความหมายอื่น แล้วคุณkiki_kakaจะรุ้ได้อย่างไรว่า มันอาจจะมีเคสที่รอดแล้วสมองไม่ตายก็เป็นได้ หรือจะยืนยันว่าต่อให้รอด แต่ก็ต้องสมองตายทุกๆเคสแน่นอน กลายเป็นผักแน่นอน ประเด็นสำคัญคือ หากมีแพทย์อยู่ใกล้แล้ว อาจจะมีทางรอด แต่จะรอดออกมาแล้วเป็นผักหรือกลับมาในสภาพปกติเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถจะรู้ได้ และที่สำคัญกรุณาเข้าใจด้วยว่า คำพิพากษานั้นในอนาคตสามารถถูกกลับได้ ไม่ใช่ว่าศาลติดสินแล้วมันต้องเป็นบรรทัดฐานไปจนชั่วฟ้าดินสลาย สภาพสังคมเปลี่ยนคำพิพากษาก็จะเปลี่ยนไปตามสังคม ผมดูแค่ภาพที่เจ้าของกระทุ้แนบมาก็งงแล้ว ไม่เคยมีกฎหมายหรือทฤษฎีหรืออาจารย์สอนกฎหมายหรือตำรากฎหมายไหนๆของไทยที่บอกว่าคำพิพากษาเป็นกฎหมายครับ ขอชี้แจงไว้ตรงนี้ ฉะนั้นมันสามารถเปลี่ยนได้ในอนาคต เพียงแต่มันเป็นบรรทัดฐานให้ฎีกาหลังๆเดินตาม แต่ถ้าหากกรณีไหนทนายสามารถหาหลักฐานชักจูงให้ศาลเชื่อว่าบรรทัดฐานที่เคยใช้มาควรจะเปลี่ยนได้แล้ว มันก็ต้องเปลี่ยน ประเทศเราไม่เหมือนประเทศที่ใช้กฎหมายคอมมอนลอว์ที่ตัดสินจากบรรดาลูกขุน คำพิพากษาของเขาถือว่าเป็นกฎหมาย แต่ของเรามันไม่ใช่ จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:40:37

ความคิดเห็นที่ 89 คุณ Jinjung ความเห็น 80 คุณหมอที่เป็นจำเลยในคดีนี้ เป็นหมอที่ดีค่ะ เรารู้จัก เราได้อ่านคำพิพากษาแล้ว ทั้งหมอสูติและหมอดมยา ไม่มีใครทำผิดมาตรฐานวิชาชีพ เพียงแต่ไม่ได้อยู่กับผู้ป่วยเมื่อเกิดปัญหา แต่สามารถมาถึงผู้ป่วยได้ในเวลา 4 นาที ช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ไม่รอดเพราะภาวะนี้เมื่ิอเกิดแล้วโอกาสรอดยาก หมอก็เลยผิด เขาไม่ได้เป็นหมอไม่ดี แต่เขาเป็นหมอที่โชคร้าย เข้าใจเสียด้วยนะ คนถูกตัดสินให้แพ้คดี ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนไม่ดี ลองถามญาติๆผู้หญิงของคุณที่คลอดโดยไม่ได้ผ่าตัดดูหน่อยซิ หมอสูติที่ทำคลอดนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ แล้วทำไมไม่ตายล่ะ จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:46:23 A:124.121.164.133 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 90 เหอ เหอ ศาลกรุณาสอบเอนท์แพทย์ให้ติดและช่วยไปเรียนมาอย่างน้อย 6 ปีก่อนนะ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:02:46

ความคิดเห็นที่ 91 คุณ OG ค่ะ เรายังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าคุณหมอที่แพ้คดีเป็นหมอไม่ดีนะคะ เรายังเขียนชัดเจนว่าให้กำลังใจคุณหมอเลยค่ะ  ทำไมมากล่าวหาเราแบบนี้ล่ะคะ ตนเองเชื่อว่าคดีที่ตามเรื่องกันมายาวนานถึง 16 ปี  ศาลตัดสินออกมาเราคิดว่าศาลท่าน พยาน คำสอบสวน  คงไม่ได้ออกมาแบบมั่ว ๆ เสียใจทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เสียใจทั้งนั้นค่ะ ฝ่ายหนึ่งเสียใจที่ต้องเสียชีวิตคน 2 คน คนหนึ่งเป้นคู่ชีวิตอยู่ร่วมกันมานาน 35 ปี กับอีกหนึงชีวิตน้อยๆที่โตมาในท้อง  9 เดือน ลูกๆ อีก 2 คน ขาดแม่ ฝ่ายหนึ่งเสียใจที่คิดว่าทำดีที่สุดแล้ว แต่ถูกตัดสินว่าไม่ดี เสียใจ เสียเงิน แต่เชื่อว่าคุณหมอยังคงได้รักษาคนไข้ต่อไป เพราะคุณ OG บอกว่าท่านเป้นคุณหมอที่ดี  สังคมไทยไม่แอนตี้รุนแรงเหมือนบางประเทศ ที่หมอมีคดีแล้วไม่มีคนไข้เชื่อถืออีกต่อไป บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับเรามันอาจจะยังไม่ดีที่สุดสำหรับคนอื่น จึงต้องมีคนกลางออกมาตัดสินว่าอะไร เป็นอย่างไรค่ะ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 23:14:44 จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:04:56

ความคิดเห็นที่ 92 ผลกระทบของคดีนี้ อาจไม่ถึงขนาดคนเลือกเรียนหมอสูติน้อยลง แต่ที่เป็นไปได้แน่ๆ คือ painless labor ที่อาจจะสูญพันธุ์ไปเลย เหมือนกับห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลชุมชนที่แทบจะปิดตายไปเลยนับตั้งแต่คดีนั้น จากคุณ : percent เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:05:39

ความคิดเห็นที่ 93 การฟ้องร้องแบบที่คุณ DoctorPeem กล่าวถึงใน 85 นั่นก็เกินไปจริงๆค่ะ เชื่อว่าศาลคงไม่มาเอาผิดกับคุณ DoctorPeem และหวังว่าคงไม่มีเรื่องขึ้นศาลว่าหมอไม่จ่ายยาตามความต้องการของคนไข้ :):) จริงๆแล้วเรื่องจ่ายยาคนไข้ในไทยนี่น่าเห็นใจจริงๆค่ะ เคยอ่านกระทู้ยาแล้วเข้าใจ เคยไปหาหมอ หมอถามว่ามาจากไหน บอกมาจากไทย หมอบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทย หมอจะไม่จ่ายยาให้คุณหากอาการของคุณไม่ได้เป้็นอะไรมาก แล้วหมอก้พูดมากมายเกี่ยวกับระบบจ่ายยาของไทย ก้ได้แต่ฟังแล้วยิ้ม  ตอนนั้นปวดหัวมีไข้นิดหน่อยค่ะ ไม่เข้าว่าทำไมคนไข้ไทยหลายๆท่านต้องการยามากมาย ที่คุณ DoctorPeem  พูดมาเข้าใจนะคะ คุณมีเหตุผลพอควร เพราะถึงคุณจะเลี่ยงวิธีการแต่คุณก็ยังคิดถึงคนไข้ว่า คนไข้ต้องไม่เป็นอันตรายค่ะ  ขอชมค่ะ  คุณดีกว่าบางท่านที่ตีโพยตีพายโดยใช้อารมณ์ค่ะ ตนเองมาจากครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นหมอ  ชาวบ้านเรียกว่าหมอ แต่ท่านคือหมอหมาค่ะ ซึ่งไม่ได้รักษาหมาอย่างเดียง หมู ไก่ วัว ควาย ต้องรักษาหมด ตั้งแต่เล็กๆ คุณพ่อก็ออกท้องที่รักษาสัตว์ให้ชาวบ้านถึงแม้ว่าสัตว์พูดไม่ได้ ตนเองออกหน่วยเคลื่อนที่กับท่านตั้งแต่เล็กๆ แต่ก็เห็นท่านทำของท่านเต็มที่เพื่อเจ้าของสัตว์ เสาร์อาทิตย์มีชาวบ้านมาเรียกก็ต้องออกไป บ้านอยู่ในเขตตัวเมือง แต่ชาวบ้านอยู่ชานเมือง ชนบท  3 ทุ่ม ชาวบ้านมาร้องเรียกบอกวัวกินตั๊กแตนเข้าไปแล้วติดคอ ก็ไปค่ะ นั่งทานข้าวเย็นกับครอบครัว ชาวบ้านมาเรียกอีกแล้วก้ไปตลอด ชีวิตท่านก็เป้นอย่างนี้ให้เห็นมาตั้งแต่เล้กๆ ทำคลอด มีกรณีหนึ่งถึงกับเอาวัวมาไว้ที่บ้าน เพราะแม่วัวป่วย ต้องการดูแลทำคลอดลูกได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากไม่ไว้ใจตัวแม่ ท่านเช็คทุกชั่วโมง ในที่สุดแม่ตาย แต่ลุกรอดค่ะ สมาชิกในครอบครัวทุกคน ช่วยกันชงนมถังใหญ่ ช่วยกันดูแลลูกวัว  ถามว่าทำขนาดนี้สละเวลาขนาดนี้ เคยโดนร้องเรียนไหม เคยค่ะ ชาวบ้านบางคนไม่พอใจ  แต่สุดท้ายก้ไม่สามารถทำอะไรได้ คุณพ่อสอนเสมอว่าทำอะไรให้ถูกต้องตามขั้นตอนก้เหมือนกับเป้นเกราะกรำบังตนเองอย่างหนึ่งแล้วค่ะ แต่เสียงร้องเรียนเหล่านั้น ถึงแม้ว่าไม่มีผลอะไรกับท่าน ท่านก็นำเสียงร้องเรียนมาฟัง มาหาวิธีจัดการ ในที่สุดชาวกลุ่มนั้นมาขอโทษถึงที่บ้าน ให้กำลังใจคุณ DoctorPeem ค่ะ อย่าพึ่งท้อ จริงแล้วอยากให้คนไทยมีส่วนร่วมในการเสียการประกันสุขภาพมากกว่าการออกบัตร 30 บาท รักษาทุกโรค เสียมาก เสียน้อย ก็ตามแต่รายได้กันไป จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:11:53

ความคิดเห็นที่ 94 เรียนคุณ Waiyakon จากคห 88 'และที่สำคัญกรุณาเข้าใจด้วยว่า คำพิพากษานั้นในอนาคตสามารถถูกกลับได้ ' การกลับคำตัดสิน ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยครับ  ถึงแม้ว่าจะพิจารณาเป็นเคสๆไป เพราะ impact วงกว้างนั้นเสียหายไปแล้วครับ เช่นกรณีคดีผ่าตัดไส้ติ่ง ก็เกิดผลกระทบคือ รพ ชุมชนส่วนใหญ่เลือกที่จะ'ไม่ผ่า' ทำให้อุบัติการณ์ การรักษาที่ล่าช้าเกิดเยอะมากขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าพิพาษายืนตามหลักฐาน โดยไม่คำนึงถึงบริบท คิดว่าหลังการตัดสินก็เป็นเพียงการเสร็จสิ้นคดีหนึ่งๆ ผู้ที่เสียประโยชน์ก็คือคนไข้... ที่สักวันอาจจะเป็นตัวคุณครับ จากคุณ : happy 1st เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:12:46

ความคิดเห็นที่ 95 ประเด็นมันไม่ใช่หมอจะบอยคอท ประชดไม่ทำ หรือคำตัดสินนี้อาจไม่ใช่มาตรฐานในการตัดสินคดีคล้ายๆกันก็ได้ ประเด็นคือ ต่อให้ชนะ ก็ไม่มีใครอยากจะให้ชีวิตวุ่นวาย 1 ทั้งการเจาะถุงน้ำ การคลอดแบบไม่เจ็บ "ไม่ทำ ไม่ตาย และไม่ใช่สิ่งจำเป็น" แต่เป็นทางเลือกผู้ป่วยจะได้รับความสะดวก ดังนั้น ใครไม่ทำ ผิดหรือ? 2 จากข้อ1 ไม่ทำซักคน ก็คงมีคนอื่นทำ ไม่อยากซวย ทุกคนคิดเหมือนกันหมด ไม่ได้นัดหมาย ผิดหรือ 3 ไม่เร่งคลอด บทถึงจะมีปัญหา(ซึ่งมันก็จะคลอดไม่ได้อยู่แล้ว)ก็รู้ช้า มดลูกก็ย้วยพอดี ส่งไปผ่าในสภาพที่ ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ส่ง เพื่อผู้ป่วย เพราะเก็บไว้ก็ทำไรไม่ได้ (เป็นที่ยอมรับกันกลายๆอย่างไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่แล้วว่า รพ อำเภอ ส่วนใหญ่ไม่ทำผ่าคลอด) ส่งผู้ป่วยไปในสภาพนี้ ดีต่อผู้ป่วยหรือไม่ อย่างไร สุดท้าย ใครได้ประโยชน์จากคดีนี้ (ผมว่าไม่ใช่ทั้งหมอและประชาชน) ใครเสียประโยชน์จากคดีนี้ ใครซวย? และผมว่า ศาลไม่ได้ทำผิดอะไร แต่กลุ่มคนที่ทำให้ศาลต้องตัดสินไปอย่างนั้น คือผู้ขับเคลื่อนวงการสาธารณสุขไทยไปตลอดกาล ขอให้โชคดีครับ ขอเพิ่มเติมครับ คลอดแบบไม่ปวด แล้วสามารถ ตามมาได้ใน5นาที ผมว่าโคตรเร็วแล้ว เพราะรับประกันได้ว่า 100ทั้ง100ไม่มีใครกล้าเดินออกจากห้องคลอดจนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีผลร้ายจากยาที่ให้ 100ละ90 น่าจะตามได้ในไม่เกิน 15 นาที เพราะ อาจจะกินข้าว เข้าห้องน้ำ หรือทำเคสอยู่แถวนั้น และผลจากยาชา (หลังจากที่ทุกอย่าง อยู่ตัวดีแล้ว) จะไม่รวดเร็ว หรือรุนแรงอะไรแล้ว อย่างแย่ก็อาจจะหนักขาไปบ้าง หรือ ยังปวดเล็กน้อย หายใจหนักอกขึ้นนิดนึง (ชาหน้าอก) จะไม่พรวดพราด เพราะนี่คือจุดเด่นของ epidural ครับ แต่ขอย้ำว่าหลังจากทุกอย่าง อยู่ตัวดีแล้ว ถ้าฉีดยาปุ๊บไปปั๊บ แล้วมีปัญหาตามไม่ได้ อันนี้น่าโดนอยู่ครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 23:30:44 จากคุณ : es_ciro เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:18:06

ความคิดเห็นที่ 96 คดีออกจะโครมครมขนาดนี้ยังคิดว่าอนาคตจะมีคนเลือกเรียนสูติ เพื่นผมเป็นหมอสูติ แต่ตอนนี้มันเลิกทำสูติแล้ว ยอมตรวจแบบ GP นะจะบอกให้ ไม่ต้องกลัวภาวะขาดแคลนหมอสูติ ต้องเกิดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะใน รพ รัฐ ไหนๆอยู่ที่ไหนจะซวยก็ซวยได้เหมือนกัน ก็เสี่ยงอยู่เอกชนดีกว่า จากคุณ : เอื้ื้ื้้้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:18:43 A:110.169.154.207 X: TicketID:342109

ความคิดเห็นที่ 97 โชคดีของผม ที่ไม่ต้องคลอดลูก จากคุณ : นอกวงการ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:24:33

ความคิดเห็นที่ 98 ก็เข้าใจศาลนะว่าไม่มีความรู้ด้านนี้ ต้องตัดสินจากหลักฐาน เราไม่ได้เรียนนิติ ก็คร้านจะไปเถียงเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำตัดสิน มันมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศแล้ว เพราะศาลตัดสินว่า หมอผิดที่ไม่ได้อยู่เฝ้าคนไข้หลังรับยาแก้ปวด และผิดที่ไม่ได้มาดูอาการทันที ถือว่าทำผิดมาตรฐานสากล บลาๆๆๆๆ โดยที่ไม่ได้บอกว่า ถ้าหมออยู่รพ.รัฐ มีคนไข้จำนวนมาก หรือเคสที่เร่งด่วนกว่า หมอจะละเว้นกฏนี้ได้หรือไม่ ดังนั้น ต่อไป หากใครบล็อกหลังแล้วไม่อยู่ดูคนไข้ ก็อาจจะถูกเพ่งเล็ง ถ้ามีปัญหาคล้ายๆกัน ก็จะถูกประชาชีทั่วไปโจมตีด้วยคำตัดสินจากคดีเดิม เขาจึงป้องกันปัญหาด้วยวิธีนี้ เพราะ painless labor ทำให้คนไข้สะดวกสบายมากขึ้น แต่ถ้าขาดไป ก็ไม่ได้ทำให้คนไข้ตายหรือพิการแต่อย่างใด ก็เหมือนคดีที่ร่อนพิบูลย์  ทั้งที่หมอคนนั้นทำเพื่อช่วยให้คนไข้ได้ผ่าตัดเร็วๆ และประธานราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์ ก็ยืนยันด้วยตัวเองว่าหมอผู้หญิงทำตามตำราทุกอย่าง (ทั้งที่จริงๆหมอจะ refer ไปร.พ.อื่นที่มีวิสัญญีแพทย์ก็ได้ เพราะหมอทั่วไป ไม่มีหน้าที่ฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง) แต่ศาลก็เชื่อทนายและหมอฝ่ายโจทก์ที่หากินบนความเดือดร้อนของวิชาชีพเดียวกันเอง แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น เพราะฉะนั้น ถ้ายังมีใครอาจหาญบล็อกหลังเอง หรือทำpainless labor โดยไม่ได้อยู่เฝ้าด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ เขาคนนั้นก็อาจต้องขึ้นศาล ไปนอนในคุก เสียขวัญ เสียเวลา เสียเงินหลายล้าน สู้คดีอีกอย่างน้อย 4-5 ปี ต่อให้ชนะคดี ยังไงๆชีวิตก็ไม่เหมือนเดิม... แล้วใครจะกล้า? จากคุณ : ทะเลหน้าหนาว...กับดาวพันดวง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:51:38

ความคิดเห็นที่ 99 ความเห็น 64 หล่อมว๊ากกกกค่ะ ^_^ สุดใจไปเลย จากคุณ : มารร้ายทิชชู่ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:53:23

ความคิดเห็นที่ 100 ในอนาคตส่งรพศ.แน่ๆแม้จะ normal labor จากคุณ : B!acKRobiNS เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:11:05

ความคิดเห็นที่ 101 คุณ happy 1st ใช่ครับ ผมก็เป็นคนสักวันผมก็ต้องป่วย แต่ถ้าผมเป็นสามีของผู้เสียชีวิต ผมจะไม่ฟ้องหมอครับถ้าหากหมออธิบายให้ผมทราบว่า จะอย่างไรเสียก็ต้องตายเขาพยายามเต็มที่แล้ว ต่อให้ยืนเฝ้าจ้องหน้าตลอด 24 ชั่วโมงยังไงก็ไม่รอดหรือกลายเป็นผักอย่างแน่แท้ ผมจะเห็นใจหมอด้วยซ้ำที่คนไข้ต้องมาตายคามือตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับผู้พิพากษาที่จะตัดสินประหารชีวิตคน แต่ในใจลึกๆก็อาจคิดว่าเขาทำผิดจริงหรือไม่ ทำอาชีพอื่นๆน่าจะดีกว่าไหมหากตัดสินผิดก็แปลว่าสร้างเวรสร้างกรรมให้ตัวเองต้องมาตามชดใช้คนตายในชาติอื่นๆอีก มันคงสนุกดีพิลึกหากวันไหนผู้พิพากษาทั้งประเทศมาบอยคอตเหมือนกันว่า จะไม่ตัดสินคดีแล้วให้ประชาชนใช้กำลังแก้ไขปัญหากันเอง เพราะว่าตัดสินไปตามหลักกฎหมายแล้วก็มาโดนด่าแบบนี้อีกหรือโรงพยาบาลหาทางเอาคืนหรือแก้ปัญหาด้วยการลดสิทธิที่จะได้รับบริการสาธารณสุขที่ดีที่สุดให้กับประชาชนเพื่อเอาตัวรอดไม่โดนฟ้อง(จากที่เห็นจดหมายที่ทางโรงพยาบาลออกมาที่เจ้าของกระทู้นำมาแสดง) ผมจำได้ไม่ลืมอาจารย์ที่สอนผมเล่าว่า หากคดีไหนท่านต้องตัดสินประหารชีวิตคนหลังจากร่างคำพิพากษาเสร็จแล้ว คืนนั้นท่านจะนอนหันหน้าเข้ากำแพงน้ำตาไหล เพราะท่านรู้ว่าอำนาจของท่านสามารถกำหนดความเป็นตายของคนทั้งคนได้ ขอให้เข้าใจด้วยก็ดีนะครับ ว่าไม่ใช่แค่หมอเท่านั้นที่กำหนดความเป็นตายของคนได้ แต่ญาติผู้ตายในคดีนี้ไม่ใช่ผม ผมก็ไม่สามารถไปรุ้จิตใจเขาได้เช่นกันว่าทำไมถึงฟ้อง ส่วนในเรื่องตัดสินตามบริบทอย่างที่คุณ happy 1st กล่าวถึงผมจึงต้องขอบอกว่า ผมไม่ใช่แพทย์คงไม่สามารถเข้าใจถึงความยากลำบากหรืออึดอัดของคนที่เป็นแพทย์ได้เต็มที่ สติปัญหาผมอาจจะโง่เขลาเกินกว่าที่จะเป็นหมอก็ได้ เหมือนกับบางความเห็นที่พูดเหมือนดูถูกให้ผู้พิพากษาสอบหมอให้ติดก่อนเถอะแบบนี้ แต่ผมก็ยืนยันว่าผมมีความเมตตา มีเหตุผล มีความรู้สึกปราณีไม่อยากให้ใครก็ตามต้องโชคร้ายอย่างนี้ไม่แพ้คนที่เป็นแพทย์แม้แต่น้อย แต่ในขณะเดียวกันคุณ happy 1st อาจต้องลองมองในแง่มุมของกฎหมายดูบ้างว่ากระบวนการพิจารณานั้นเราจะเอาอคติของตัวเองความชอบพอของตัวเองมาตัดสินชีวิตคนอื่นไม่ได้เช่นกัน ทุกอย่างต้องว่ากันตามหลักฐานไม่ใช่ความเข้าใจส่วนตัว ประเทศเราปกครองด้วยประชาธิปไตย กฎหมายนั้นก็ออกมาโดยผู้แทนของเราที่เราเลือก ในเมื่อผู้แทนของเราเป็นฝ่ายยอมรับหลักวิธีพิจารณาคดีที่มีอยู่ในปัจจุบันสิ่งที่เราทำได้คือยอมรับมันหรือว่ากดดันผู้แทนให้แก้กฎหมายให้ถูกใจเราซะ ก็เท่านั้น ผมลองคิดเล่นๆ หรือเราจะไปด่าญาติฝ่ายโจทก์ดีว่าคุณไปฟ้องได้ยังไงทำให้คนอื่นพลาดสิทธิที่จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดจากหมอไป เพราะว่าหมอก็ต้องการป้องกันตัวเองเหมือนกัน จนสุดท้ายผลลัพย์มันเลยออกมาแบบนี้ ผมว่าผมพูดมากเกินไปแล้ว ขอยุติเพียงเท่านี้ละกันครับ ขออภัยหากมันขัดใจใครหลายคน ที่สำคัญผมคงไม่สามารถที่จะมาตอบคำถามของหลายคนในที่นี้ที่เป็นหมอแล้วอ้างความเห็นผมขึ้นมา จะให้ผมตามตอบตามชี้แจงทุกเรื่องคงไม่ไหวครับ ปล.ผมไม่ได้เป็นผู้พิพากษานะครับ ผมโง่เกินกว่าที่จะเป็นได้ทั้งหมอและผู้พิพากษาครับ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 01:07:19 จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:13:03

ความคิดเห็นที่ 102 อาชีพเงินดี มักมีความเสี่ยงสูง คงจะเป็นเรื่องจริง ต่อไปหมอคงไม่ต้องใช้ศิลป์ในการรักษา เพราะมีความเสี่ยงถ้าเกิดเคสมีปัญหา ต้องรักษาตามตำราเท่านั้น ให้ยาตามตำราเป๊ะทุกอย่าง ถ้าทำได้ตามนี้เวลามีปัญหาเท่ากับไม่ผิด ตอนนี้คิดกันอย่างนี้หรือเปล่าครับ จากคุณ : Light Sounds เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:52:37

ความคิดเห็นที่ 103 ศาลจะต้องบอยคอตทำไมครับ เขาห้ามละเมิดศาลอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:55:32

ความคิดเห็นที่ 104 คดีที่ว่าตอนศาลนัดไกล่เกลี่ย  โจทย์ต้องการแค่คำขอโทษเฉยๆนี่ครับ ไม่ได้ต้องการเงิน เงินที่ได้จากการฟ้องโจทย์ก็เอาไปบริจาคทั้งหมด ตระกูลโจทย์ก็เป็นตระกูลที่รวยมากๆอยู่แล้ว จากคุณ : ไม่ได้มาป่วนน่ะ เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 01:22:06

ความคิดเห็นที่ 105 ตอนนี้หมอหลายคนเกิดอาการ "กลัว" แล้วล่ะครับ ว่าสิ่งที่ทำไปมันเรียกว่า "ประมาท จนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย" หรือไม่ บอกเป็นพื้นหลังก่อนว่าการเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อเร่งคลอดนั้น มีการทำกันเป็นประจำในห้องคลอด และหลังจากทำเมื่อตรวจดูแล้วว่าไม่ได้มีภาวะแทรกซ้อนกระทันหันจากการเจาะ เช่น สายสะดือไหลออกมานอกมดลูก น้ำคร่ำใสดี เด็กดี หมอก็ต้องไปทำหน้าที่อื่นๆต่อ เพราะหลังจากเจาะแล้ว กว่าจะคลอดก็อาจจะอีกหลายชั่วโมง ซึ่งหมอคนนี้ก็ทำแบบนั้น เหมือนที่หมออีกหลายคนทำมาตลอดชีวิต เหมือนที่คนไข้หลายหมื่นคนได้รับการปฏิบัติแบบนี้ มาเมื่อมีการคลอดยาก แต่เกิดโชคร้ายที่ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งเกิดได้จากการตั้งครรภ์ทุกคน โอกาสเกิดน้อย การป้องกันที่แน่นอนก็ไม่มี หลังเกิดแล้ว การช่วยชีวิต เป็นไปได้ยาก และบางครั้งชีวิตรอด แต่ก็ไม่ได้กลับมาดำรงชีวิตเป็นปกติ (เช่นเป็นผัก) โดยปกติแล้ว การเรียนการสอนทางการแพทย์นั้น มีการเรียนจากกรณีที่เกิดความเสียหายกับผู้ป่วยอยู่แล้ว เรียกว่า Morbidity&Mortality conference ซึ่งจะหาข้อผิดพลาดที่เกิดจากการรักษา และ หาทางอุดช่องว่างเหล่านั้นให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ป่วยรายต่อไปน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าการตัดสินนี้ จะเป็นไปเพื่อ "ความยุติธรรม" หรือ "ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง" ก็ต้องตัดสินเพื่อให้มีการแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ในกรณีนี้การเจาะถุงน้ำคร่ำและการฉีดยาชาเข้าช่องเหนือไขสันหลัง ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหายต่อผู้ป่วย ซึ่งแพทยสภา และศาลก็เห็นตรงกัน แต่ที่ศาลตัดสินว่าแพทย์ประมาทนั้น เกิดจากการที่แพทย์ไม่ได้อยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลา ดังนั้น แพทย์ทั้งหลายซึ่งเข้าใจดีว่า ในปัจจุบัน ไม่สามารถมีแพทย์เพียงพอที่จะเฝ้าอยู่ในห้องคลอดได้ตลอด 24 ชม. ในทุกๆห้องคลอดในประเทศไทย ก็เลยเกิดอาการ "ขวัญเสีย" ว่า jackpot น้ำคร่ำอุดตัน จะเกิดกับตัวเองเมื่อไหร่ ปล. ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำ painless labor หรือไม่ได้ เจาะถุงน่ำคร่ำ แพทย์ก็ไม่ได้ละทิ้งผู้ป่วยนะครับ ยังมียาแก้ปวดอื่นๆ ฉีดให้ และ การเร่งคลอดอื่นๆ ให้ได้ แต่ก็ต้องตัดสินใจว่า จะให้ดีหรือเปล่า เพราะถ้าให้แล้วเกิด น้ำคร่ำอุดตันปอด แล้วไม่ได้อยู่เฝ้า ก็อาจโดนฟ้องร้องได้อีกอยู่ดี จากคุณ : Sortai เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 01:29:30

ความคิดเห็นที่ 106 คุณหมอ พยายามอย่างเต็มที่แล้ว คนไข้ก็ยังตาย ไม่ควรจะเอาผิดหมอ ถ้าผู้พิพากษา ตัดสินไปตามหลักฐาน ข้อเท็จจริงและ และวิชาการแล้ว ผู้พิพากษาก็ควรได้รับการอภัย ไม่ใช่หรือครับ ในกระบวนการยุติธรรม คนทำงานก็เสี่ยงต่อความผิดพลาดเช่นเดียวกับการแพทย์ อยากจะขอให้คุณหมอ ลองมองในมุมกลับบ้างว่า เคสนี้ ผู้พิพากษาก็พยายามทำงานอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีเจตนาจะกลั่นแกล้ง หาผลประโยชน์ หรือ ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด อภัยกันไปเถอะครับ ต่างฝ่ายต่างพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ถ้าการปกป้องตนเองเอาชนะมโนธรรมได้ ก็คุณหมอเองนั่นแหละที่รู้ ถ้ามโนธรรมตามหลอกหลอนเราไม่จบ เพราะเราทำได้ดีกว่านั้นแต่เลือกที่จะไม่ทำ เราเองนั่นแหละที่จะทุกข์มากกว่าคนอื่น ทุกอาชีพก็มีความเสี่ยงครับ ตำรวจจะยิงผู้ร้ายหรือไม่ยิง ก็ต้องเสี่ยง ถ้าเราทุกอาชีพ คิดเพียงว่าปลอดภัยไว้ก่อน เราจะมีเรื่องมาเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ เหมือนคุณหมอในความเห็นที่ 64 หรือครับ ถ้าเราต้องติดคุก เพราะเราทำดีแล้ว ก็ยังดีกว่าติดคุกเพราะทำชั่วไม่ใช่หรือครับ ผมยังรู้สึกเคารพ จรรยาบรรณ ความเสียสละ และ สำนึกในวิชาชีพของหมอ มากกว่าอาชีพใด ๆ มากกว่าผู้พิพากษาด้วยครับ เพราะหมอทุกคนรู้ดีว่า ตนเองพิเศษกว่าคนอื่น แต่มิได้ใช้ความพิเศษนี้เพื่อตนเอง กลับอุทิศตนรับใช้ผู้อื่น สิ่งที่คุณหมอทำอาจจะไม่มีใครเห็นเป็นพยาน ทำคนเดียวในห้องแคบ ๆ ยืนบนความเสี่ยงเป็นสิบชั่วโมง เพียงเพื่อใครสักคนก็ไม่รู้ ที่ไม่มีคุณค่าใดให้เราต้องเปลืองตัวขนาดนี้เลย แต่วันหนึ่งเมื่อแก่เฒ่าลง คุณหมอจะมีเรื่องเล่าให้ลูกหลานฟังด้วยความภูมิใจ และเกียรติยศตวามภูมิใจนี้ ไม่ต่างจากดนที่ได้รับเหรียญกล้าหาญเลย ที่ผู้รับจะภูมิใจ และส่งต่อความภูมิใจนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน ชีวิตคนเราไม่ยืนยาวครับ โอกาสทำความดีมีไม่มาก อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป เพียงเพราะเราลังเลว่าควรทำหรือไม่ควรทำเลยนะครับ (ขออภัยครับ สะกดผิดหลายแห่ง ขอแก้ตัวสะกดครับ) แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 01:44:31 จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 01:39:48

ความคิดเห็นที่ 107 บรรดาคุณหมอต้องเข้าใจด้วยว่า อาชีพแพทย์นั้นต้องแบกรับความกดดันจากสังคมค่อนข้างสูงกว่าอาชีพอื่นๆ เพราะชีวิตใครสักคนต้องขึ้นอยู่กับหมอ จากคุณ : ความจำผมมันสั้น เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 05:04:53

ความคิดเห็นที่ 108 คุณ FOB ให้กำลังใจแบบโลกสีชมพู๊ ชมพูจัง ผมบอกให้เลยว่า ทำดีแล้วก็ยังมีช่องโหว่ให้โดนได้ คงไม่มีใครอยากมาเสี่ยงหรอก กับการต้องทำคลอดหรอก ตอนนี้ กระทรวงสาธารณสุข ถ้าบื้ออ เป็นกระบือทำอะไรไม่ไดหล่ะก็ สวดมนต์กันเอาละกัน ผลกระทบที่ตามมาไม่ต้องกลัวรุนแรงเกินคาด เอายกตัวอย่างอย่างคนไข้เส้นเลือดหัวใจอุดตันกระทันหัน ต่อไป เกิดหมอทำงานตรวจอะไรอย่างอืนอยู่ คนไข้อาการรุนแรงจนหัวใจหยุดเต้นตาย จะมีคนฟ้องศาลบอกว่า หมอไม่มาทันที หมอประมาท หมอละเลยหน้าที่เป็นสาเหตุให้คนไข้เสียชีวิตไหม ทำราวกับว่าคนไข้มีคนเดียวในโลก หมอเป็นพวกว่างงาน ใครมีความคิดว่าคลอดแล้วไม่ตายเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ โรคนี้มันมีแต่อดีตใครที่รอดได้ถือว่าบุญ อาการเพียบๆแบบนี้ตายทุกคน สอนลูกสอนหลานผู้หญิงไว้เลยนะว่า ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม คลอดลูกก็ตายได้ ถ้าไม่อยากตายคลอดมีผัวเอาแค่สนุกๆพอ จากคุณ : เอื้ื้ื้้้องเวียงดอย เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 05:43:45 A:124.122.58.138 X: TicketID:342109

ความคิดเห็นที่ 109 เห็นการแสดงความเห็นแบบยึดติด หลักฐานมีแสดงจากระทู้เก่า แนะนำให้ไปค้นคว้าสงบสติอารมณ์บ้าง แต่ก็กลับมาเขียนอะไรเพ้อเจ้ออีกแล้ว ย้ำคิดย้ำทำอีกว่าตายทุกคน เหมือนเป็นคนย้ำคิดย้ำทำจริงๆ  เห็นเป็นหนักอยู่คนเดียว ท่านอื่นไม่ได้ออกอาการมากมายขนาดนี้ หายไปจากระทู้เดิมนึกว่าจะคิดได้ มากระทู้นี้ช่วงแรกแสดงความคิดดี มาอ่านเจออีกที  ไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ชาย  เขียนอะไรออกมาอย่าเขียนแค่เอามันคุณ แสดงอาการร้อนรุนทุรุนทุรายเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาก ชักสงสัยแล้วค่ะ หากคุณเป็นผู้ชายจริงๆ มีลูกสาว มีญาติพี่น้องเป็นผู้หญิง อย่าลืมไปบอกเค้านะคะว่า "ถ้าไม่อยากตายคลอดมีผัวเอาแค่สนุกๆพอ" แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 06:04:37 จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 06:03:31

ความคิดเห็นที่ 110 มิน่า โดนผ่าคลอด --" มันเป็นยังงี้นี่เอง อยากรอคลอดเอง หมอไม่ยอม เพราะจะได้ไม่เสี่ยง เฮ้อ.. อดรู้สึกถึงความเป็นแม่เลย น้ำคร่ำแตกเป็นยังไงก็ไม่รู้ เสียดายจัง จากคุณ : พ่อศรีเรือนคับผม เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 06:48:06

ความคิดเห็นที่ 111 http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11644995/E11644995.html เอากระทู้มาแปะให้อ่าน แล้วจะได้เข้าใจว่าแม้ว่าจะมีเงินมีความรู้มากมายแค่ไหน แต่หากอยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือเครื่องไม้  ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ขอแสดงความเสียใจกับคนที่สูญเสียผู้เป็นภรรยาและลูกตัวน้อยอันเป็นที่รักยิ่ง เห็นใจคุณหมอที่โดนฟ้องร้องค่ะ จากคุณ : นู๋หวานซ่าแสบ เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 07:07:48

ความคิดเห็นที่ 112 เห็นบ่นๆกันว่างานหนักไม่มีเวลาจะกินจะนอน จะเข้าห้องน้ำ แต่ว่างจัดมีเวลามาpostข้อความ ทำตัวเป็นศาลเตี้ยantiระบบ วันๆนั่งวิจารณ์คนไข้ วิพากษ์การทำงานของศาล ก็มีไม่กี่loginในนี้เดิมๆที่ตัวเป็นหมอแต่ใจไม่ได้เป็น กระทู้ข้างล่างปัญหาเจ็บป่วยมากมาย ทำไมไม่เข้าไปตอบ กระทู้dramaคนไข้เนี่ยกระหน่ำกันเข้ามาดีนัก ขอให้ได้ ซ้ำเติมระบบปั่นหัวเด็กรุ่นใหม่ว่า การเรียนแพทย์มันแย่ขนาดนั้น ทำไมตัวเองไม่รู้จักลาออกไปซะล่ะ จากคุณ : ?? เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 07:08:52 A:141.0.9.167 X: TicketID:346733