Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เมื่อคนไข้คิดว่าโรงพยาบาล ไม่ใช่โรงพยาบาล....อั๊ยย่ะ! (ภาคสอง) ติดต่อทีมงาน

มาต่อกันกับภาคต่อของอีกเรื่องครับ นั่นก็คือ เมื่อคนไข้คิดว่าโรงพยาบาล ไม่ใช่โรงพยาบาล....อั๊ยย่ะ! (ภาคสอง หงอง หงอง งงงงงง)

         จากภาคแรกต้องขอบคุณทุกท่านที่ได้เป็นกระทู้แนะนำครับ จริงๆก็ไม่ได้เป็นกระทู้ ไฮโซ หลักวิชาการเพียบเต็มเปี่ยมด้วยปัญญา พร้อมแก้ปัญหาสังคมแต่อย่างใด เป็นเพียงกระทู้หนึ่งที่หมอ คนหนึ่งอยากมาเล่าให้ฟัง มาแบ่งปันประสบการณ์ เพราะอยากให้คนไข้เข้าใจแพทย์มากขึ้นนะครับ ช่องว่างและความห่างเหินระหว่างคนไข้กับแพทย์จะได้น้อยลงบ้าง (แม้จิ๊ดเดียวก็ยังดี)

         และจากกระทู้แรกผมก็ยินดีที่มีผู้มาร่วมแบ่งปัน อภิปราย และถกในหลายๆประเด็นโดยไม่มีเหตุดราม่าพาฮาเฮเกิดขึ้น (เฉียดๆอยู่)

          ชี้แจงเพิ่มเติมจากกระทู้ที่แล้ว เรื่องการขอยานะครับ ว่ามีหลายๆท่านที่อ่านและข้องจิตเป็นอย่างยิ่ง โดยอาจจะ Comment หรือไม่ก็แล้วแต่ ว่า เอ๊ะแล้วถ้ารู้ว่าขอยาไปเยอะๆ แล้วไม่จำเป็น แพทย์ให้ทำไมละ แพทย์เป็นคนสั่งยานะ ให้มาเองนี่นา แพทย์ผิดสิ!!! (ม่ายยยย) ก็อย่างที่บอกครับประเด็นของผมไม่ได้มาบอกว่า คนไข้ผิด หมอผิด ระบบผิด แก๊สโซฮอล์ผิด ใครผิด แต่แค่จะมาชี้แจงให้ผู้ป่วยบางท่านทราบ แบ่งปันประสบการณ์เรื่องราวที่หลายๆท่านไม่เชื่อว่ามี

          อยากให้เข้าใจเฉยๆว่า ผู้ป่วยที่ตั้งใจมาขอยาจริงจัง ขอเอาโล่ ขอเอาถ้วย แพทย์ไม่ให้โวยวาย ฟ้องร้อง ด่าแพทย์ ร้องเรียนก็มี และมาชี้แจงถึงผลดีของการรับยาเท่าที่จำเป็น และผลเสียของการรับยาไป “เผื่อๆ” เผื่อบางท่านที่ไปขอยาแล้วบางครั้งแพทย์ให้ยาน้อยก็จะได้เข้าใจว่าเอ๊ะทำไมได้น้อย(กว่าที่คาด)ได้มากต่างกันยังไง เหตุผลอะไรประมาณนั้นครับ (กลับไปอ่านอีกทีก็จะดีครับ)
         
           เพราะแพทย์ทุกคนผมเชื่อว่าก็ไม่ได้สั่งยาตามที่คนไข้ร้องขอ อยากได้หรอกครับ แต่สั่งยาตามความเหมาะสมและความจำเป็นอยู่แล้ว...ถ้าคนไข้เข้าใจส่วนนี้ การรักษาก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ช่องว่างระหว่างแพทย์และคนไข้ก็จะแคบลงบ้าง (ปัจจุบันก็ห่างเกิน)

          ครั้งนี้ก็มาต่อละกันครับ และ คงต้องขอชี้แจง(อีกละ)นำร่องก่อนว่า

1. เจตนาที่มาเล่า เพื่อมาแบ่งปันประสบการณ์เท่านั้นนะครับ แบ่งปันประเด็นนี้ทำไม มีประโยชน์อะไร ไม่เห็นมีความรู้วิชาการอะไร  ก็อย่างที่บอกครับ ว่าอยากให้คนไข้เข้าใจแพทย์มากขึ้น ว่าแพทย์ทำงานในแต่ละวันบางครั้ง เราไม่ได้เจอแต่ผู้ที่มาโรงพยาบาลเพราะป่วย แต่เราเจอผู้ที่ไม่ได้ป่วยแต่มาโรงพยาบาลก็มี ให้ผู้อ่านนั้นเข้าใจแพทย์มากขึ้น(กลับไปอ่านจุดประสงค์ในภาคแรกจะเข้าใจความหมายผมชัดเจนขึ้นนะครับ)

2. เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ครับว่า “เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ?”   ดังเช่นบางความเห็นในภาคแรกที่ก็มีคนมา Comment ว่า “เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ?” (ดังคาด) และอย่างที่เรียนไปแล้วครับว่า ผู้ป่วยที่คิดว่าโรงพยาบาลไม่ใช่โรงพยาบาลก็มีอยู่ (แต่ก็มีน้อยนะจ๊ะเมื่อเทียบกับคนไข้โดยรวม)

3. ชี้แจงเพิ่มเติมอีกครั้งว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะมาต่อว่า เยาะเย้ย บ่นคนไข้แต่ประการใดนะครับ หรือไม่ได้เอาเรื่องเขามาล้อเล่น แค่เล่าเรื่องให้ฟัง เพราะคนไข้ไม่ว่าจะมาโรงพยาบาลด้วยสาเหตุอะไร เราก็ยินดีช่วยเหลือเต็มที่ตามหลักการและความถูกต้องอยู่แล้วครับ และเรื่องที่ผมนำมาเล่า หากเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาเราก็ช่วยกันแก้ไขอยู่แล้วครับ (แม้นนน แมน...)

4. อย่าให้กลายเป็นกระทู้ชี้โพรงให้กระรอกนะครับ บางอย่างที่ทำแล้วไม่ดี ไม่งาม ไม่ควร ก็อย่าทำเลยครับ (เช่นกระทู้ขอยาในภาคแรก มีบางท่านอาจจะคิดว่า อุ้ย! ขอได้ด้วยพรุ่งนี้ต้องจัดหนัก อย่าเลยครับผมก็อธิบายผลดีผลเสียไปแล้ว) บางครั้งระบบดีอยู่แล้ว แต่ผลออกมาดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ “ผู้ใช้ระบบโดยรวม”ด้วย

5. สุดท้ายอีกครั้ง ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เป็นการดีแต่อย่าตีเข้าดราม่านะจ๊ะ เค้าขอ...

         ปล. ภาคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป อาจมีคำพูด หรือเนื้อหาที่ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้อ่านที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ (ให้ปิดคอม, facebook,simsimi แล้วไปอ่านหนังสือได้แล้ว)


เมื่อโรงพยาบาลคือ “ศาลาคนเศร้า”

         หากท่านเป็นแพทย์ 90 % จะมีความรู้สึก (ในจิต) ว่า เมื่อโรงพยาบาลคือ “ศาลาคนเศร้า”อ้อ “ศาลาคนเศร้า” ฉันเนี่ยแหละ ToT

          คำตอบคือผิดครับ วันนี้เราจะมาดูกันว่าเมื่อคนไข้คิดว่าโรงพยาบาลเป็นศาลาคนเศร้า เป็นยังไง

          “ปวดหัว” “แสบท้อง” “นอนไม่หลับ” “อ่อนเพลีย” “ท้องอืด” “ปวดไหล่กับคอ” “จิตตก” เป็นอาการที่ท่านควรมาหาหมอ และหากท่านมาหาหมอ ก็ต้องมีการตรวจหาสาเหตุพร้อมทั้งรักษาเพื่อให้อาการดีขึ้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วจริงไหมครับ
           
          ซึ่งบางคนก็เป็นโรคจริงๆต้องรักษาด้วยยา แต่บางคนไม่ได้ยาก็หายก็มีนะครับ (ว้าว !) แค่  รับฟังเท่านั้น (หะ!) ดังเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ละครับ

          ในคนไข้ที่มาโรงพยาบาลมาตรวจๆกันทุกวันเนี่ย จะมีผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลจำนวนหนึ่งจะมาด้วยเรื่องเหมือนจะไม่สบาย(เช่นอาการข้างต้น)นี่ละครับ มาด้วยอาการป่วยแต่จริงๆแล้วสาเหตุไม่ใช่โรค แต่เป็นปัญหาในใจต่างหาก

            สาเหตุจากการป่วยในหลายๆครั้งที่คนไข้กลุ่มนี้มาหาหมอมาจากปัญหาในใจนั่นก็คือความเครียดครับ จริงๆเมื่อตรวจวินิจฉัยแล้วไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ แต่เครียดพอเครียด ก็คิดมาก คิดมากก็จะมีอาการต่างๆมากมายตามมา “ปวดหัว” “แสบท้อง” “นอนไม่หลับ” “อ่อนเพลีย” “ท้องอืด” “ปวดไหล่กับคอ” “จิตตก” บางครั้งคนไข้เหล่านี้ก็จะมาหาหมอครับ มาเพื่อรักษาแต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก มาเพื่อระบายต่างหาก ไม่ใช่ระบายสีนะ (อุ้ย!ตลกจังคะคุณ) แต่ระบายความเครียดนี่ละครับ

สถานการณ์ 1 ผู้หญิงอายุ 24 ปีมาด้วยประวัติ “ปวดหัว”
หมอ : เป็นอะไรมาครับ
คนไข้ : ไม่สบาย (หน้าเครียด)
หมอ : ครับ.........(เราถามไม่ดีเอง) มีอาการอะไรครับ
คนไข้ : ปวดหัว (หน้าเครียดมาก)
หมอ : เล่าอาการให้ฟังหน่อยครับ
คนไข้ : ก็ปวดหัวนะสิคะ!! (หน้าเครียด มากมาก)
หมอ : ครับ......(เราคงถามห่วยมาก) ปวดหัวแบบไหนครับ ปวดแบบจี๊ดๆ ตื้อๆ ตำแหน่งที่ปวดชี้ให้ดูได้ไหมครับ
คนไข้ : ปวดตื้อๆ ร้าวไปต้นคอ กับกระบอกตา (หน้าเครียด มากสุดๆ)
หมอ : ปวดหัวลักษณะนี้ ช่วงนี้มีเรื่องเครียดไหมครับ
เงยหน้าขึ้นมาทันที (หน้าเครียดเกินขีดจำกัด)
คนไข้ : ผู้ชายมันก็ ตู๊ด (เซนเซอร์เนื่องจากเป็นคำไม่เหมาะสมและไม่จำเป็นในการรักษา)ทุกตัว มันทำฉันท้อง แล้วก็คิดจะชิ่ง ไอ้ ตู๊ด
หมอ : !!!!!!!!!!!!!!!!
คนไข้ : แล้วฉันจะทำยังไง ปวดหัวนะหมอ ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หมอ : !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! (ลาก ! ยาวกว่าเดิม)
คนไข้ : มันนะ !@#$%^&*()_ (ด่าอย่างมันส์)
หมอ : เอ่อ....ใจเย็นๆครับคือ......
คนไข้ : เป็นหมอหมอจะใจเย็นอยู่ได้ไหม @#$%^&*()_+_)(*&^%$#(ด่ามันส์กว่าช่วงแรก)
หมอ : ...................(เป็นผู้ฟังที่ดี นานถึง 15 นาที พยายามย่นการสนทนาเนื่องจากคนไข้อีกเกือบ 50 คนรออยู่แต่ไม่สำเร็จ) จนเหลือบไปเห็นคุณยาย คิวต่อไปเริ่มจะขอเข้ามาฟังด้วย
หมอ+คุณพยาบาล(กำลังเสริม) : ผมเข้าใจปัญหานะ ผมว่าคุณค่อยๆ.......(แนะนำ)
คนไข้ : ขอบคุณนะคะ
หมอ : ส่วนเรื่องปวดหัว....
คนไข้ : หายแล้วค่ะ ไม่เอายานะคะ สวัสดีค่ะ(กระโดดเด้งออกจากห้องตรวจ)
หมอ+คุณพยาบาล : ??!!
ปล. คุณยายคิวต่อไปเข้ามา(มาตรวจด้วยเรื่องหูได้ยินไม่ค่อยชัด) ก่อนตรวจบอกว่า หมอมีอะไรก็ใจเย็นๆนะ เขาท้องก็รับผิดชอบเขาแค่นั้น (เฮ้ย!!!!!!!! เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว! ตั้งแต่เติบโตเต็มวัย เติบใหญ่เต็มตัวมาเนี่ยยังไม่เคยโดนหญิงใดล่วงเกินเลยนะฮ้าฟฟฟฟฟ (แม้จะอยากโดนอยู่)) ต้องอธิบายคุณยายไปว่าเข้าใจผิดแล้วยาย ผมไม่ได้ทำใครท้อง ยาย บอก "หะหะโทษนะจ๊ะ หูไม่ค่อยดี"

สถานการณ์ 2 ผู้หญิงอายุ 75 ปีมาด้วยประวัติ “อ่อนเพลีย กินข้าวไม่อร่อย”
หมอ : คุณยายเป็นอะไรมาครับ
คนไข้ : อ่อนเพลีย เป็นมา หลายเดือนแล้ว กินข้าวไม่อร่อยเลย
หมอ :  มีอาการอย่างอื่นไหมครับ……………
จากนั้นก็ตรวจ วินิจฉัย เรียบร้อย .....
คนไข้ : ถ้าลูกยายดูแลยายอย่างนี้มั่งก็ดี (น้ำตาซึม)
หมอ : เอ่อ.......(เตรียมคำพูด 3 วินาทีกำลังจะพูด)
คนไข้ : ลูกยายนะ พอมันได้เมีย มันก็!@#$%^&*()_)(*& (น้ำตาเริ่มไหล)
หมอ : เอ่อ .... (เตรียมคำพูด 5 วินาทีกำลังจะพูด)
คนไข้ : ยายอยู่คนเดียวมา 2 เดือนแล้ว มันนะ !@#$%^&*() (ก๊อกแตก)
สุดท้ายก็ต้องฟังคนไข้เล่าครับ ไม่ฟังก็น้อยใจ

          จากข้างต้นเป็นตัวอย่างจากคนไข้จำนวนหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วก็ถือว่าคนไข้ป่วยและมีอาการผิดปกตินะครับ เพราะอาการที่พาเขามาโรงพยาบาลก็คือเรื่องของอาการปวดหัว,อ่อนเพลีย  แต่พอเอาเข้าจริงตรวจจริง เรื่องปวดหัวกับอ่อนเพลียกลายเป็นเรื่องเล็กสำหรับคนไข้ไปเลย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เล่าให้หมอฟัง
           
           ซึ่งจริงๆแล้วบางครั้งโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ได้เป็นที่ร่างกาย(แม้จะแสดงออกทางร่างกาย) แต่เป็นที่จิตใจ บางทีไม่ได้อยากได้ยา แต่อยากได้คนรับฟังหมอๆที่ทำงานอยู่ทั้งหลายบางครั้งก็จำเป็นจะต้องเข้าไปรับฟัง(แม้จะไม่ได้อยากรับรู้นะครับ เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว) แนะนำได้ก็แนะนำ(มักจะแนะนำในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการรักษา) บางเรื่องไม่ควรเข้าไปยุ่งก็ฟังเฉยๆ คนไข้บางคนระบายเสร็จก็สบายดีกลับได้เฉยเลย (ยังกะส้วม)

             แต่ก็มีคนไข้หลายคนครับที่มาโรงพยาบาล มาปรึกษาปัญหาชีวิตแบบจริงจังเลยก็มี ตอนแรกก็บอกว่าปวดหัว,นอนไม่หลับ,ปวดเข่า,ปวดหลัง,กินข้าวไม่อร่อย นี่ละครับ แต่จริงๆตั้งใจจะมาเล่าเรื่องปัญหาในชีวิตให้ฟัง(ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุที่ลูกๆไม่ค่อยอยู่บ้าน) แค่อยากหาที่ระบายนะครับ เล่าเสร็จก็บอกสบายแล้ว ขอยาแก้ปวดสัก 10 เม็ดก็พอ วิตามันบำรุงนิดหน่อยแรกๆมาไม่เอะใจครับ หลังๆมานี่เหมือนหนังฉายซ้ำ มาเล่าๆ ๆๆๆๆๆ แล้วก็กลับ (แล้วมักจะเล่าจะย้ำอยู่เรื่องเดิมๆ) จนสนิทกับเจ้าหน้าที่ รู้เรื่องครอบครัวทุกอย่างของคนไข้เลยทีเดียว  

        บางคนไม่ป่วย สบายดี แต่อยากมาเล่าเฉยๆก็มีครับ (หะ!) ตอนแรกเหมือนมาตรวจ ปวดหัว แสบท้อง แต่ไม่เอายา ไม่ฉีด ไม่กิน สักนิด หายเลย !! เพียงแค่ฟังคนไข้ด่าลูกให้ฟังเท่านั้น...

         ปัญหาก็มีหมดละครับ เครียด สามีมีเมียน้อย ภรรยามีกิ๊ก ลูกไม่ได้อย่างใจ สามีติดเหล้า ภรรยาติดไพ่ ลูกไม่มาดูแล(ปัญหายอดฮิตสุดๆและเจอบ่อยที่สุด) โดนไล่ออกจากงาน โดนโกงเงิน ไม่ถูกหวย ฯลฯ ซึ่งยืนยันนะครับว่าปัญหาเหล่านี้ ถ้าไม่เกี่ยวกับการรักษาก็ไม่ได้อยากรู้ แต่ตรวจๆคนไข้อยู่ คนไข้ก็จะเล่าให้ฟังเองนั่นแหละครับ และคนไข้กลุ่มนี้ที่พบบ่อยและที่มาหาหมอโดยส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผู้สูงอายุที่ลูกไม่ค่อยมาดูแลละครับ

          คนไข้บางคนปรึกษาครั้งเดียว อาการดีขึ้นก็ไม่มาอีกครับ แต่บางคนที่ปรึกษาแล้วสบายใจ ติดใจ มาอีกก็มี แม้ไม่ป่วย ตอนทำบัตร วัดความดันโลหิตก็บอกแหละครับ ปวดหัว แต่พอเข้ามาตรวจแล้วไม่ค่อยเล่ารายละเอียดปวดหัวให้ฟังเท่าไร(ช่างมันเถอะ) เน้นไปทางรายละเอียดเรื่องที่ไม่สบายใจมากกว่า(ละเอียดยิบ)  หมอถาม “แล้วเรื่องปวดหัว??” คนไข้ตอบ “อ้อ หายแล้ว ไม่ต้องเอายานะ (หะ!)”

            บางคนถึงกับขอเบอร์แพทย์เผื่อโทรปรึกษาปัญหาชีวิตโดยเฉพาะก็มี (ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้สูงอายุที่ลูกหลานไม่ค่อยมาดูแลนั่นละครับ) โดยให้เหตุผลว่า คุยกับหมอแล้วสนุกดี สบายใจดี เวลาไม่สบายจะได้โทรปรึกษาได้ด้วย (ซึ่งแน่นอนแพทย์ไม่ให้ไปแน่ๆครับ แต่แนะนำวิธีอื่นเช่นสายด่วนสุขภาพจิตไปแทน) ........-_-‘

           ดังจะเห็นได้ครับว่าคนไข้ที่มาโรงพยาบาลบางครั้ง เขาก็ไม่ได้ป่วยกาย แต่ป่วยใจ และบางครั้งจริงๆก็ไม่ได้ป่วยทั้งกาย และไม่ได้ป่วยทั้งใจ แต่อยากเม้าส์มอยเฉยๆ (ประมาณอยู่บ้านคนเดียวเหงาไม่มีเพื่อน มาโรงพยาบาลมีเพื่อนคุยประมาณนั้น) มาหาที่ระบายที่คุยประมาณนั้น ชวนคุณพยาบาลคุย ชวนเจ้าหน้าที่คุย ชวนคนไข้ที่นั่งรอข้างๆคุย ชวนหมอคุย ชวนเภสัชกรคุย

          ซึ่งทางแพทย์เองก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ มาเล่าให้ฟัง ถ้าเกี่ยวกับการรักษาและช่วยให้การรักษาดำเนินไปได้ด้วยดี ก็คงจำเป็นต้องฟัง(แม้ไม่ได้อยากรู้) แต่หากออกทะเลไปไกลเกิน ก็คงต้องข้ามๆไปบ้าง และคงต้องตัดบทการสนทนา เพราะวันหนึ่งๆคนไข้เยอะมากครับ คงต้องเน้นไปที่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บก่อน เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง

         แต่อยากจะแนะนำสักนิดหนึ่งครับว่า สำหรับผู้ที่มีความเครียดและปัญหาชีวิตแนะนำให้คุยกับคนในครอบครัว เพื่อน ญาติ คนที่เราสนิทเถอะครับ (แต่ไม่แนะนำให้ปรึกษา simsimi นะ) เพราะสำหรับคนไข้ แพทย์ก็คือคนนอกนั่นละครับ ใครจะรู้ปัญหาดีเท่ากับคนในครอบครัวเอง และแพทย์เองก็มีหน้าที่รักษาคนไข้ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ(ซึ่งคนไข้มีเป็นจำนวนมากต่อวัน) ดังนั้นหากมาปรึกษา เวลาที่รับฟังก็จะน้อยมากๆอยู่แล้วครับ และคำปรึกษาบางครั้งก็อาจจะไม่ตรงจุด (แต่ต้องแยกประเด็นกับคนไข้ที่ถึงขนาดหลงผิด ประสาทหลอน เป็นโรคซึมเศร้า หรือมีอาการที่ต้องไปพบจิตแพทย์ด้วยนะครับ อันนั้นถ้าป่วยก็ต้องไปพบและปรึกษาจิตแพทย์อีกที)

            เท่าที่เคยประสบมาคนที่มาปรึกษาจริงๆก็มีครอบครัว มีเพื่อน มีญาตินะครับ แต่ไม่ค่อยปรึกษาไม่รู้ทำไม เคยถามคนไข้ตรงๆ คนไข้บอก “คุยไปแล้วมันไม่ฟัง” ดังนั้นคนในครอบครัว เพื่อน ญาติก็ต้องช่วยกันครับ อย่าให้คนไข้รู้สึกโดดเดี่ยวถึงขนาดต้องมาปรึกษาแพทย์(ซึ่งไม่ได้เป็นคนในครอบครัว)เลย

           และอย่างที่บอกครับคนไข้ส่วนใหญ่ที่มาโรงพยาบาลเพื่อมาระบายเนี่ย มักจะเป็นผู้สูงอายุนะครับ ถามคนไข้ก็มักจะบอกว่าลูกไม่มาดูแล ไม่สนใจจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามแต่ ก็เลยอยากจะฝากลูกๆหลานๆว่ากลับมาดูแลท่าน ฟังท่านบ้างเถอะครับ อย่ามากตัญญูตอนท่านป่วยหนักแล้วค่อยมาเลย ตอนที่ท่านสบายดีสนใจท่านบ้าง ไม่ใช่พอท่านป่วยก็มาตะโกน ตะคอกใส่หมอว่า รักษาเต็มที่ ดีที่สุด ดีที่สุด เงินไม่อั้น เกิดอะไรขึ้นหมอต้องรับผิดชอบ (เคยโดนมาแล้ว) แต่ไม่เคยมาดูแลท่านเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง มาโรงพยาบาลด้วยอาการอะไร เคยมาหาหมอกี่ครั้ง (แต่คนข้างบ้านกับแม่บ้านรู้มากกว่าอีก)  เพราะอย่าลืมนะครับ “หมอก็แค่คนนอกจะรู้ปัญหาดีเท่าคนในครอบครัวได้ยังไง” และคนไข้เองย่อมอยากให้คนเป็นลูกมาดูแลอยู่แล้ว

        ผมชอบจริงๆกับประโยคหนึ่งที่ผมเคยได้อ่านจากหนังสือคุณ โน้ต อุดม ว่า  "พ่อแม่ไม่ใช่ยาคูลท์ รีบกตัญญูก่อนหมดอายุ"  

          จริงๆคนไข้ที่เห็นโรงพยาบาลเป็น “ศาลาคนเศร้า” ที่มาปรึกษาปัญหาชีวิตเนี่ย จริงๆมีน้อยมากครับ (แต่ก็ยังมี) ทั้งที่มีอาการทางกายก็เลยมา(ส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้) หรือไม่มีอาการทางกายเลยแค่อยากระบายก็มา(ส่วนน้อยในกลุ่มนี้) ซึ่งกระผมเองก็ประสบมาด้วยตัวเองจำนวนหนึ่ง ก็เลยอยากมาเล่าสู่กันฟังเฉยๆครับ อย่างที่บอกไงครับว่า บางครั้ง คนไข้ก็คิดว่าโรงพยาบาล ไม่ใช่โรงพยาบาลเสมอไป

            นี่ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งครับที่มาแบ่งปัน อาจมีประโยชน์บ้าง ไร้ประโยชน์บ้าง สนุกบ้าง ไม่สนุกบ้าง ก็ต้องขอโทษด้วย


อังคารหน้ามาต่อกันครับกับภาค 3 ... (หะ !! นี่ยังจะมีต่ออีกเรอะ!!)

ภาคแรก...http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11619626/L11619626.html

แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 20:48:29

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:45:58

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:39:27

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:37:16

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:32:23

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:23:33

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:12:14

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:11:15

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:10:08

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:09:33

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:05:18

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:00:11

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 21:58:20

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 21:52:39

จากคุณ : small-doctor
เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 21:50:58




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com