Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เมื่อคนไข้คิดว่าโรงพยาบาล ไม่ใช่โรงพยาบาล....อั๊ยย่ะ! (ภาคสามนะสิ) ติดต่อทีมงาน

   มาต่อกันในภาคสุดท้ายของเรื่องนี้กันนะครับ สำหรับท่านผู้อ่านท่านใดที่เพิ่งมาเปิดเจอกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกก่อนจะอ่านต่อไป รบกวนย้อนกลับไปอ่าน จุดประสงค์ ความตั้งใจ และคำชี้แจงของกระทู้เรื่องนี้ ใน ภาค 1 และ ภาค 2 ก่อนนะครับ เพราะจะทำให้ท่านเข้าใจมากขึ้น และไม่นำพากระทู้ผมไปสู่ความขัดแย้ง (ช่วงนี้เจอบ่อยแล้วครับ คุณความขัดแย้งเนี่ย ไม่รู้เขาจะเข้ามาประเทศเราบ่อยอะไรนักหนา)

ภาคแรก
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11619626/L11619626.html

ภาคสอง
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11648647/L11648647.html


    ขอเน้นย้ำอีกสักนิดนะครับ ว่ามาเล่า มาเล่า มาเล่า มาเล่า (อย่าเมานะ) เท่านั้น ไม่ได้มาว่า มาด่า ตำหนิ โทษคนนั้น ว่าคนนี้ ประชด ประชันอะไร เพราะอย่างที่บอกครับ ถ้าคนไข้มาโรงพยาบาล ป่วย คิดว่าป่วย หรือไม่ได้ป่วยอะไร หรือจะยังไงแพทย์ทุกคนยินดีให้ความช่วยเหลือเต็มที่ตามกำลังความสามารถอยู่แล้ว เพราะ “เราอยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี” (บรู้ยย)

           อย่างที่บอกครับว่า ในโรงพยาบาลที่เราๆท่านๆ เห็นคุณหมอตรวจคนไข้อยู่นั้น มีทั้งคนไข้ที่ป่วย คนไข้ที่คิดว่าตัวเองป่วย และคนไข้ที่ไม่ได้ป่วยมาโรงพยาบาลครับ

           ถ้าคนไข้ที่ป่วยมาโรงพยาบาล เอ้า!! อันนี้ก็ถูกต้อง ป่วยก็ต้องมาโรงพยาบาลสิคะคุณ ! เพราะฉะนั้น ข้ามไป

           ในภาคแรก ก็มีทั้งคนไข้ที่ป่วยจริง แต่มาขอยาเยอะๆ หรือคนไข้ที่ไม่ได้ป่วยหรอก แต่ก็มาขอยาเหมือนกัน

           ในภาคที่สอง ก็เป็นเรื่องของคนไข้ที่คิดว่าป่วย หรือมีอาการป่วยนำมานั่นแหละครับ แต่พอตรวจจริงๆแล้วเป็นความรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าร่างกาย มาระบาย เม้าส์มอย ก็กระโดดเด้งออกจากห้องได้

            มาถึงภาคนี้ภาคที่ 3 สะท้านทรวงคนไข้ สะท้านใจแพทย์กว่าเดิมครับ ขอจัดรวมไว้หมวดเดียวกัน (เพราะภาคสุดท้ายแล้ว เค้าอยากเม้าส์เรื่องอื่นแล้วง่ะ) นั่นคือ คนไข้ที่ไม่ป่วย หมายถึง ไม่ป่วยจริงๆครับวินิจฉัยแล้ว แต่มาโรงพยาบาล เอ้าแล้วมาทำไมไปดูกัน ! (ยังคงยึดโรงพยาบาล รัฐบาลเป็นหลักแล้วกันนะครับ)

เมื่อโรงพยาบาลคือ “ที่พักใจ, ที่หลบภัย, โรงแรม, ที่อู้งาน”

            จะอะไรก็ตามแต่ครับ แต่ขอสรุปเลยว่า มีคนไข้บางท่าน ไม่ป่วยนะครับ หมายถึงไม่ป่วยจริงๆ ตัวคนไข้เองก็รู้ว่าไม่ได้ป่วย แต่มาโรงพยาบาล และกลุ่มนี้มักจะต้องสรุปด้วยการมาขอนอนโรงพยาบาลด้วย(หะ!! ไม่จริง) ไปดูสถานการณ์กัน

สถานการณ์ ที่ 1 ผู้ป่วยชาย 76 ปี มาด้วยประวัติเหนื่อยอ่อนเพลีย
หมอ : เป็นอะไรมาครับ
คนไข้ : เหนื่อยหมอ !!  อ่อนเพลียมาก
หมอ : เป็นมานานแค่ไหนแล้วครับ
คนไข้ : ตอนกลางวันหมอ ทะเลาะกับลูก เหนื่อยมาก เหนื่อยใจ มันนะ เดี๋ยวก็ !@#$%^&*(  เดี๋ยวก็ !@#$%^&* มันทำยังกะเราไม่สำคัญ
หมอ : เอ่อ......สรุปมีอาการอะไรบ้างครับ เหนื่อยยังไง เล่าให้ฟังหน่อยครับ
คนไข้ : #$%^&*()_ (ต่อเรื่องลูกล้วนๆ) เครียด คิดมาก เหนื่อยใจนะ แค่นั้นแหละ
หมอ : แน่นหน้าอก? นอนไม่หลับ ? กินข้าวได้ไหม? ไม่มีอาการอะไรเลยเหรอครับ
คนไข้ : ไม่มีทั้งนั้นแหละ ร่างกายสบายดี จริงๆพอได้ระบายออกไปบ้างก็ดีนะ
หลังจากตรวจร่างกาย วินิจฉัยแล้ว ไม่เจอโรคอะไรเลยครับ
หมอ : คุณลุง ผมตรวจแล้วก็ดูคุณลุงสบายดีนะครับ
คนไข้ : ผมก็ว่างั้น (อ้าว!!)
หมอ : งั้น.........
คนไข้ : ผมไม่กลับนะ!! ผมจะนอนโรงพยาบาล ผมจะนอนเนี่ยแหละ ให้น้ำเกลือผมด้วย ผมไม่กลับ จะให้มันรู้สำนึกซะมั่ง !!
หมอ : รร.....  รู้ ........ รู้สำนึก !!!??? ................ตาโตเท่าไข่ห่าน (เอ๋ ? หมายถึงให้ใครรู้หว่า??)
คนไข้ : หมอโทรบอกมันด้วย
หมอ : โทรบอก??!!!!’
คนไข้ : ลูกผมนะ!!
หมอ : ………………………..
แต่ตามปกติ หากมีคนไข้มานอนโรงพยาบาลก็ต้องมีการแจ้งญาติอยู่แล้วละครับ หลังจากโทรไป 20 นาที(ผู้ป่วยคนนี้มาโรงพยาบาลคนเดียว) บุตรชายก็มาถึง หลังจากนั้นก็มีการ ถกประเด็นมากมายในครอบครัวระหว่างบิดาและบุตร โดยแพทย์และชาวคณะ ให้เวลาเป็นส่วนตัว

หลังจากคุยกันเสร็จสิ้น ...

คนไข้ : เหอๆ หมอ ผมสบายแล้ว ผมกลับนะ ไม่นงไม่นอนหรอกโรงพยาบาล มีบ้านก็นอนบ้านสิสบายใจกว่าเยอะ เหอๆ
หมอ : ดีครับ คุณลุงสบายดีผมก็ดีใจ.......-_-‘

            พี่พยาบาลมาเล่าให้ฟังทีหลังครับว่าคุณลุงท่านนี้เป็น ขาประจำ เขาไม่ได้ป่วยหรอกครับ และตัวเองก็รู้ว่าไม่ได้ป่วยด้วย แต่เวลาทะเลาะกับลูกชาย ทีไรก็จะมาโรงพยาบาลด้วยอาการต่างๆ ปวดท้อง ปวดหัว นอนไม่หลับ และสุดท้ายจะต้องขอนอนโรงพยาบาลเกือบทุกครั้ง เหมือนนอนเอางอน หรือกึ่งๆเรียกร้องความสนใจนิดๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้นอนหรอกครับ แพทย์เกือบทุกท่านประเมิน ตรวจแล้ว ถ้าไม่จำเป็นต้องนอนก็ให้กลับ โดยถ้าเรียกลูกชายมาได้ มาคุยดีๆกับลุง ลุงอารมณ์ดีก็กลับได้เองตลอด.............

สถานการณ์ ที่ 2 ผู้ป่วยหญิงอายุ 15 ปีมาด้วย ประวัติ นอนไม่หลับ
หมอ : เป็นอะไรมาครับ
คนไข้ : นอนไม่หลับค่ะ
หมอ : เป็นมานานเท่าไรแล้วครับ
คนไข้ : เมื่อคืนค่ะ
หมอ : เล่าอาการให้ฟังหน่อยครับ
คนไข้ : คือ ......... หนูขอนอนโรงพยาบาลเลยได้ไหมคะ?
หมอ : ?????????????? เพราะ????????????????
คนไข้ : คือ.........แหะๆ ที่บ้านไม่มีคนอยู่เลยนะคะ หนูไม่กล้านอนคนเดียว หนูตกใจง่ายด้วย เวลานอนคนเดียวแล้วรู้สึกใจมันเต้นแรง นอนเปิดไฟแล้วนะคะ แต่หนูไม่อยากนอนคนเดียว ขอนอนโรงพยาบาล 1 คืน แล้วขอพี่พยาบาล 1 คน นอนเป็นเพื่อนหนูได้ไหมคะ หนูไม่เคยนอนคนเดียวจริงๆนะคะ หนูกลัว พรุ่งนี้ พ่อแม่จะกลับจากต่างจังหวัดแล้ว หนูขอนอนแค่คืนเดียวนะคะ เมื่อคืนหนูไม่กล้านอนเลย ไม่ได้นอนทั้งคืน หนูไปหลับที่โรงเรียนด้วย...ในห้องเรียนด้วย เรียนไม่รู้เรื่องเลย.....
หลังจากถามอาการเพิ่มเติมตรวจร่างกาย และวินิจฉัยแล้ว
หมอ : เอ่อ...........ไม่เป็นอะไรนะ แล้วหนูไม่ไปนอนบ้านเพื่อนละคะ? บ้านญาติ?
คนไข้ : หนูเกรงใจเขานะคะ........
หมอ : .........................ประมวลผล จากนั้นในห้วงความคิด เกิดเป็น ตัวเลือกขึ้นมา
ก. โทรหาบุพการีน้อง แจ้งให้ทราบพร้อมหาทางแก้ไข
ข. บอกถึงโทษของการนอนโรงพยาบาลเช่นมีโอกาสติดเชื้อ จากในโรงพยาบาลได้
ค. เล่าเรื่องผี (ไม่เอา ตัดตัวเลือกนี้ไป เพราะกลัวเหมือนกัน)
ง. ตัดบท ให้กลับบ้าน
จ. บอกว่าเตียงเต็ม
ฉ. ถูกทุกข้อ
สรุป ตามหลักที่ควรกระทำ เลือกข้อ ข แล้วกัน หมอจึงได้แนะนำไปครับ ซึ่งคนไข้ก็พอเข้าใจได้และกลับไปในที่สุด(ก่อนกลับไม่ลืมแนะนำว่าถ้ามีอาการบ่อยๆให้มาพบแพทย์อีกครั้ง) เธอมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าสุดท้ายก็ไปนอนบ้านญาติ และก็นอนได้สบายดีแล้วค่ะ

สถานการณ์ ที่ 3 ผู้ป่วยชายอายุ 30 ปีมาด้วย ประวัติ เป็นหวัด
หมอ : เป็นอะไรมาครับ
คนไข้ : เป็นหวัดมาครับ
ตรวจ วินิจฉัย เตรียมให้การรักษาและแนะนำ
หมอ : ดูเหมือนไม่ค่อยมีอาการเลยนะครับ
คนไข้ : แหะๆ คือจริงๆผมเป็นมา 2 สัปดาห์แล้วละครับ อาการก็ค่อนข้างดีขึ้นแล้ว แต่ผมอยากได้ใบรับรองแพทย์หยุดงานสัก 3 วันได้ไหมครับ ว่าจะหยุดต่อจากหยุดยาวไปอีก จะได้หยุดต่อรวดกันไปเลย ผมรบกวนหมอเขียนให้หน่อยครับ
หมอ : คงไม่ได้ครับ ........(แนะนำสักนิดว่าใบรับรองแพทย์ต้องเขียนตามความเป็นจริงเท่านั้นนะครับ และการจะลาหยุดได้กี่วันขึ้นกับโรคและอาการที่คนไข้เป็นด้วย ไม่ได้ขึ้นกับว่าคนไข้จะขอหยุดกี่วัน และส่วนใหญ่การออกใบรับรองแพทย์ว่าป่วย จะไม่ออกย้อนหลังให้ในกรณีที่ไม่มีประวัติการมาตรวจรักษาในเวชระเบียนนะครับ เช่นในคนไข้รายนี้ ถ้าจะขอใบรับรองแพทย์ว่าเป็นไข้หวัดมา 2 สัปดาห์ หากไม่มีหลักฐานการตรวจเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แพทย์อาจจะออกใบรับรองแพทย์ให้ไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐาน ยืนยันว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนคนไข้ป่วยเป็นหวัดจริงหรือเปล่า และการออกใบรับรองแพทย์ก็จะขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์แต่ละคนไปครับ)

           จากสถานการณ์ข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างเพียงเล็กน้อยครับ จริงๆแล้วก็มีเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์ เช่น ขอนอนโรงพยาบาลเพื่อหยุดงาน ตอนมาโรงพยาบาลทีแรกก็บอกว่าปวดหัว ปวดหัวมากนี่ละครับ ขอนอนโรงพยาบาล ยังไงก็จะขอนอนโรงพยาบาลให้ได้ ฉีดยาแก้ปวดไม่ดีขึ้น ปวดมาก หน้าทุกข์ระทมมาก ซึ่งตอนประเมินแล้วก็คิดว่าไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ได้ครับ พอบอกคนไข้ คนไข้ร้องไห้เลย บอกปวดมากขอนอนโรงพยาบาลให้ได้ และเริ่มเอ่ยถึงคำพูดคลาสสิกสำหรับแพทย์นั่นคือ เรื่อง “จรรยาบรรณ”

            พอให้เข้าไปนอนโรงพยาบาล 1 วัน(เนื่องจากดูปวดอย่างแรง) หัวเราะร่วนเลยครับ ไม่นอนอยู่ที่เตียงเดินไปเดินมา แซวคุณพยาบาลด้วย ได้มารู้จากเพื่อนคนไข้ทีหลังว่า ตอนคุยโทรศัพท์กันคนไข้บอกอยากหยุดงานวันนี้ อยากนอนไม่ได้พักผ่อนหลายวันเลยขอหมอ  แต่ก็ไม่รู้จะว่ายังไงครับ เพราะระหว่างนอนคนไข้ท้องร่วงครับ(กรรม เร็วกว่า 3 G) จากประวัติเพิ่มเติมบอกก่อนมานอนโรงพยาบาลกินของดิบๆสุกๆไปหลายอย่าง เลยต้องนอนรักษากันจริงจัง อยากกลับก็กลับไม่ได้เลยทีนี้

           นอกจากนี้ก็ยังมีหลายท่านนำญาติที่เป็นคนไข้มาฝาก ไม่ได้พูดเล่นครับ ไม่ใช่สิ่งของ เป็นญาติที่เป็นคนนี่ละครับ มาฝากโรงพยาบาลไว้ด้วย มาฝากด้วยเหตุผลมากมายนี่ละครับ จะไปทำธุระต่างจังหวัด ไม่มีคนดูแล ไม่สะดวก หาพี่เลี้ยงหรือคนดูแลไม่ได้ ฝากไว้แป๊บเดียวเลยไม่อยากเสียเงินหาพี่เลี้ยง อยู่ใกล้หมอใกล้พยาบาลแล้วสบายใจกว่า ซึ่งผู้ป่วยที่นำมาฝาก ก็จะเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะเจ็บป่วยเดิมอยู่แล้ว เช่นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองลำบาก ผู้ป่วยสูงอายุมากๆ โรคประจำตัวเยอะๆ ประมาณนั้น

           ซึ่งหลายๆท่านเมื่ออ่านมาถึงประโยคนี้อาจจะคิดว่า เอ๊ะยังงี้ก็ควรให้นอนไหม สงสารเขาหน่อย เขาคงเดือดร้อนจริงๆ

           จริงๆแล้วต้องแยกเป็นกรณีๆไปครับ ผมเองก็คงไม่สามารถไปตัดสิน แบ่งแยก หรือกำหนดชัดเจนได้ว่า คนไข้คนนี้ ควรนอน ไม่ควรนอนอย่างไร ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์แต่ละท่าน เพราะเมื่อแพทย์ท่านใดตัดสินใจให้ผู้ป่วยเข้าไปนอนโรงพยาบาลแล้วก็ต้องเป็นเจ้าของไข้ และคอยดูแลคนไข้ตลอดการนอนโรงพยาบาล และรับผิดชอบผู้ป่วยในการนอนโรงพยาบาลครั้งนั้นๆด้วย

           อย่างไรก็ตามแต่ผมเชื่อเหลือเกินครับ ว่าแพทย์เองก็ไม่ได้อยากให้คนไข้เข้าไปนอนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นแน่นอน เพราะ ...

1. โรงพยาบาลก็มีไว้สำหรับผู้ป่วยครับ ชื่อก็บอกอยู่แล้ว มีไว้สำหรับผู้ที่ป่วยไข้ มีความเจ็บป่วย จำเป็นต้องมีการดูแลจากแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องมีการรักษา ให้ยา ผ่าตัด ให้น้ำเกลือ เมื่อผู้ป่วย อาการดีขึ้น หายแล้ว เราก็ให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ ซึ่งในแต่ละโรงพยาบาลก็จะมีเตียงที่จำกัด เช่น 30 เตียง 60 เตียง 90 เตียง ซึ่งการที่คำนวณจำนวนเตียงออกมาแล้วมีการจำกัดในแต่ละพื้นที่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณประชากร ข้อมูลด้านสุขภาพ ปริมาณคนป่วยในแต่ละท้องที่ ซึ่งแน่นอนครับ เขาย่อมคิดจาก “ผู้ป่วยจริง” มานอนเพื่อทำการรักษาจริงๆ ไม่ได้มานอนเพื่อ ฝากญาติ งอนลูก หลบเมีย อยากพักผ่อนเงียบๆ หรืออะไรก็ตามแต่ ที่ “ไม่ได้ป่วย” แต่อยากมาหา “ที่พัก” ที่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลนะครับ (ดังที่อาจจะเคยมีการเปรียบเทียบโรงพยาบาลกับโรงแรมนั่นเลยทีเดียว)

2. การที่ผู้ป่วยเข้ามานอนโรงพยาบาล ก็ควรจะเข้ามานอนเพราะ “จำเป็น” ครับเพราะอะไรนะรึ ก็เพราะจริงๆแล้วโรงพยาบาลเนี่ยเป็นแหล่งที่มีคนป่วยเข้ามานอนรักษาอยู่จริงไหมครับ เพราะฉะนั้น ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บมากมายที่เข้ามารวมกันอยู่ในโรงพยาบาล โอกาสติดเชื้อ ในโรงพยาบาลก็มีความเป็นไปได้ (ผู้อ่านหลายท่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ การติดเชื้อในโรงพยาบาลในความหมายของผมที่นี้หมายถึงการติดเชื้อ จากผู้ป่วยสู่ผู้ป่วยกันเองนะครับ ไม่ได้หมายความว่า อุปกรณ์ทางการแพทย์สกปรกแล้วมีการติดเชื้อนะ คนละเรื่องกัน)  

           ซึ่งข้อย้ำนะครับ ขอย้ำ ว่าโอกาสติดเชื้อในโรงพยาบาลเป็น “โอกาส” ที่จะเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แม้ว่ามาตรฐานการทำความสะอาด การปลอดเชื้อ จะสูงเพียงใดก็ตาม ดังจะเห็นได้ว่าในโรงพยาบาลหลายๆแห่งที่เป็นโรงพยาบาลระดับมาตรฐานสูงสุดยอดระดับประเทศ ทวีป โลก จักรวาล ก็ยังมีการรายงานการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้(เพียงแต่ว่าจริงๆแล้วการติดเชื้อในโรงพยาบาลก็เกิดขึ้นน้อยละครับ เพราะมันเป็นแค่ “โอกาส” ต้องขึ้นอยู่กับโรคที่ผู้ป่วยมารักษาและสภาพภูมิต้านทานและสุขภาพของผู้ป่วยเองด้วย)

           อย่างเช่น นาย ก เป็น โรคปอดบวมเข้ามานอนในโรงพยาบาล ระหว่างที่นอนก็อาจจะมีการเดินไปเดินมา ไม่ใส่ผ้าปิดจมูกที่โรงพยาบาลจัดให้  ไอ จาม ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้ แม้ว่าทางโรงพยาบาลจะมีการแยกห้องผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อโรคติดต่อที่ค่อนข้างอันตรายไว้เช่น วัณโรค อีสุกอีใส ไว้บ้าง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยหรอกครับ และแน่นอนละครับ การจะสร้างโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยมีห้องส่วนตัวทุกคน มีระบบห้องผู้ป่วยปลอดเชื้อทุกคนนั้นประเทศเราคงยังไปไม่ถึงขั้นนั้น ดังที่ท่านจะได้เห็นตามโรงพยาบาลรัฐทั่วไปที่เป็นผู้ป่วยเตียงรวมนั่นละครับ หรือต่อให้มีการสร้างแบบนั้นจริงก็มีรายงานการติดเชื้อในโรงพยาบาลในบางประเทศทั้งๆเป็นห้องแยกโรคแล้ว อยู่เป็นระยะๆ

            เพราะฉะนั้นในคนไข้ที่ "ไม่จำเป็น" ต้องนอนโรงพยาบาล(ตัวอย่างที่กล่าวมา)จะไปนอนทำไมให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในโรงพยาบาลจริงไหมครับ

            เคยมีกรณีที่มีญาติคนไข้นำคนไข้อัมพาตแล้วมีอาการท้องเสียมาตรวจนี่ละครับ หลังจากตรวจแล้วว่าจะให้กลับบ้านให้น้ำเกลือแร่ไปดื่ม ญาติก็ไม่ยอม บอกว่าคนไข้อ่อนเพลียมาก อยากขอเข้าน้ำเกลือให้ได้  ตอนนั้นชี้แจงแล้ว ญาติก็ยืนยันและยอมรับความเสี่ยงทุกอย่าง และแน่นอนครับเริ่มโวยวายว่าจะฟ้องสื่อ (มารู้ทีหลังว่าจริงๆแล้วตั้งใจจะนำมาฝากไว้กับหมอตั้งแต่ต้น บอกใกล้หมอสบายใจกว่า ไม่อยากจ้างคนดูแล) แล้วปรากฏว่าคนไข้เป็นปอดติดเชื้อในโรงพยาบาล ต้องอยู่รักษากันยาวกว่าเดิม(แต่ผู้ป่วยก็รอดนะครับ) จากนั้นญาติคนไข้คนนั้นก็ไม่มีความคิดจะนำมาฝากอีกเลย หาพี่เลี้ยงหาญาติดูแลอย่างดี(จริงๆจะทำก็ทำได้นี่นา)

3. การที่คนไข้หลายๆคนเข้าไปนอนโรงพยาบาลโดยไม่มีเหตุจำเป็น ก็เป็นการไป “กันที่” คนอื่นนั่นแหละครับ คนไข้ที่เขามีความจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลจริงๆ ก็ต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นๆด้วยเหตุผลคือ “เตียงเต็ม” สร้างความลำบากให้ตัวคนไข้ และญาติที่ต้องเดินทาง แล้วต้องไปเยี่ยมกันไกลจากที่เดิม เป็นการทำบาปโดยไม่รู้ตัวด้วยนะเออ

     ดังจะเห็นครับ ว่าโรงพยาบาลเนี่ยจะมาก็ควรมาตอนป่วย และถ้าอยากนอนโรงพยาบาลก็ควรนอนเพราะความจำเป็น ไม่ใช่ว่าคิดอยากนอนก็ขอนอน เพราะจริงๆการนอนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นก็มีข้อเสียที่บอกไปแล้วข้างต้น เพราะฉะนั้นนอนเมื่อคุณหมอแนะนำและจำเป็นต้องนอนดีกว่าครับ

            หลายๆครั้งที่อธิบายแล้วผู้ป่วย(และญาติ) ก็เข้าใจดีครับ แต่บางครั้งไม่เข้าใจก็มี เคยอธิบายให้ผู้ป่วยแล้วโดนสวนกลับมาด้วยประโยคสุดคลาสสิก “ทำไม !! ฉันมีสิทธิรักษานะ ทำไมฉันจะขอนอนโรงพยาบาลไม่ได้ หมออะไรไม่มีจรรยาบรรณ!!”  รู้ครับ ไม่ได้ว่าอะไรเรื่องมีสิทธิไม่มีสิทธิใช้ได้อยู่แล้วละจ้ะสิทธินะ แต่บางทีต้องดูด้วยว่า “ควรใช้” ไหม “จำเป็น” รึเปล่า การใช้ของเรา “เอาเปรียบ” คนอื่นรึเปล่า
ปล. จริงๆชื่อก็บอกอยู่นะ “สิทธิรักษา” ไม่ได้ต้องรักษานี่นาจะใช้สิทธิได้ไง (อิอิ)  


เมื่อโรงพยาบาลคือ “ที่ทิ้งลูก, บ้านพักคนชรา, ที่ทิ้งญาติ, ที่พึ่งสุดท้าย, ที่ตาย”

            ส่วนสุดท้าย เรื่องค่อนข้างเศร้าครับ จัดไว้ส่วนสุดท้ายเลย และไม่ค่อยอยากแตกประเด็นมากนัก แต่ที่นำมาเล่าเผื่อจะทำให้หลายๆท่านเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง

             ในบรรดาผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาล มานอน มารักษา ส่วนหนึ่งก็เสียชีวิตจากโรค ไม่ว่าจะเกินรักษา มาไม่ทัน ระยะสุดท้าย อันนี้เข้าใจได้ครับ เป็นเรื่องที่มีโอกาสเป็นไปได้อยู่แล้ว

             แต่ก็มีคนไข้บางคนที่ญาตินำมารักษาครับ แล้ว “หายไปเลย” มาวันแรกวันเดียว มาส่งจากนั้นก็หายไป (อย่างไร้ร่องรอย) ชนิดที่ว่า สสารหายไปจากโลกได้ (อุ๊แม่เจ้า) คนไข้กลุ่มนี้มักเป็นโรคเรื้อรังครับ เช่น เอดส์ อัมพาต ไตวายต้องล้างไต(แบบญาติทำเอง)  ที่ต้องมีคนคอยดูแล เรื่องการกินยาหรือต้องมีคนคอยทำกายภาพบำบัดฟื้นฟู ดูแลเรื่องการกิน การทำกิจวัตรประจำวัน หรือในบางครั้งก็ต้องคอยเป็นคนล้างไตให้
     
            ซึ่งบางครั้งการรักษาเสร็จสิ้น(ที่เหลือก็เป็นการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน) บอกญาติแล้วก็ไม่มารับกลับ โทรไป เมล์ไป ไปตามถึงบ้าน (ผมเคยกระทั่งแอด เฟซบุ๊ค ไปด้วยนะ) ก็บอกว่าเดี๋ยวจะมารับ แต่ก็ไม่มา ไม่ก็บอกว่าไม่ใช่ญาติที่ดูแลจริงๆ เอากลับมาดูแลไม่ได้ ไม่มีคนดู ทำไม่เป็น ผมเคยเจอคนไข้คนหนึ่งครับ มีลูกมากมาย แต่สุดท้ายไม่มีใครมาดูแลเลย ทุกคนบ่ายเบี่ยงไปมา โยนกันไปโยนกันมา แล้วก็เห็นปรึกษากันว่า “ให้แกอยู่โรงพยาบาลต่อไปเรื่อยๆเนี่ยแหละ”  แน่นอนครับ หมอเองก็ต้องมาอธิบาย 1 บทใหญ่ พร้อมปลุกจิตสำนึกความกตัญญู จนญาติๆนำกลับไป(ซึ่งบางทีก็แอบคิดนะครับ ว่าทำไมเราที่เป็นคนนอกครอบครัวต้องมาเตือนสติให้ญาติซึ่งเป็นคนในครอบครัวดูแลคนไข้ด้วย คิดเองไม่ได้รึไงนะ)
   
            คนไข้บางคนน่าสงสารครับ พอเจ็บป่วยช่วยตัวเองไม่ได้ ญาติบางคนพอนำมารักษา วินิจฉัยว่าเป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องมีญาติดูแล ก็ให้นอนโรงพยาบาลไม่ยอมมารับกลับ คนไข้บางคนร้องไห้บนเตียงเลยก็มีครับ หาญาติไม่เจอ หาลูกไม่เจอ คิดถึงลูก คิดถึงบ้าน

            ทำให้ผมคิดถึงประโยคหนึ่งได้เลยว่า “พ่อแม่เลี้ยงลูกกี่คนก็ได้ แต่ลูกกลับเลี้ยงพ่อแม่แค่ 2 คนไม่ได้”

           คนไข้บางรายที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย(แบบที่เป็นการรักษาตามอาการแล้ว โรคไม่หายแล้วแน่ๆ ยังไงก็คงเสียชีวิตแน่ๆ) ญาติบางคนก็พามาโรงพยาบาลครับ ถ้าพามาเพราะเรื่องเหนื่อยหอบ น้ำในปอด รักษาตามอาการอันนี้เข้าใจครับ ไม่มีปัญหา มาโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ญาติบางคนจะให้คนไข้มาอยู่ในโรงพยาบาลเลยก็มีครับ พอถามว่าอาการคนไข้ก็ดีอยู่ ไม่เหนื่อย ไม่ปวดท้อง ไม่เป็นไร ทำไมอยากนอนโรงพยาบาล(ซึ่งคนไข้ก็ไม่อยากนอน) ญาติตอบว่า อยากให้ใกล้หมอที่สุด ไม่กล้าให้อยู่บ้าน อยากให้อยู่โรงพยาบาลไปเรื่อยๆจนกว่าจะตาย กลัวทำใจไม่ได้ แพทย์เองก็ต้องอธิบายให้เข้าใจครับ ว่าค่อยพามาตอนมีอาการก็ได้ และอีกอย่างช่วงนี้เป็นช่วงสุดท้ายของคนไข้ เราควรทำอะไรที่ทำให้คนไข้สบายใจ สบายกายที่สุดถูกไหมครับ (คนไข้ถึงกับพยักหน้าเห็นด้วย) และก็เล่าเรื่องผลเสียของการนอนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นให้ฟัง ญาติจึงยอมนำกลับไป(ซึ่งบางครั้งก็ไม่แน่ใจครับว่า คนที่ป่วยและอยากให้หมอรักษาทางใจคือคนไข้หรือญาติคนไข้กันแน่)

           ไม่เพียงแต่คนไข้ เรื้อรัง ทั้งหลายนะครับ บางครั้งโรงพยาบาลก็เป็นที่ทิ้งลูกก็มี ทั้งลูกที่ไม่อยากให้เกิดแต่แรก ลูกที่ทำให้เกิดได้แต่รับผิดชอบและเลี้ยงไม่ได้ และลูกๆที่คุณพ่อคุณแม่รับสภาพไม่ได้ ในคนไข้บางคนคลอดเสร็จ หนีออกจากโรงพยาบาลไปเลยก็มีครับ ต้องตามตัวกันกลับมารับผิดชอบ(เป็นภาพที่สะเทือนใจและสะท้อนสังคมอย่างแรง)

           ดังที่กล่าวมาแล้วครับ จริงๆแล้วโดยส่วนใหญ่ ก็จะสามารถตามตัวญาติมารับผิดชอบต่อได้แหละครับ มาพูดคุยอธิบาย ญาติๆฟัง บางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจ(และไม่สนใจ) มีปัญหาครอบครัว นู่นนี่นั่น สุดท้ายคือจะให้อยู่โรงพยาบาลต่อไป หรือแม้กระทั่งตามหาญาติไม่เจอไปเลยก็มีครับ หายไปเลย (แม้จะเป็นส่วนน้อยครับ เพราะโรงพยาบาลจะมีประวัติส่วนอื่นๆด้วยอยู่แล้วครับ)

            จะเห็นได้ครับ ว่าการรักษาคนไข้บางทีแพทย์ก็ถูกลากเข้าไปร่วมกับปัญหาครอบครัว และต้องเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบกับญาติบางคนที่เหมือนเข้าใจว่า การรักษาคนไข้นั้นเพียงแค่เอามาโรงพยาบาลก็จบ หมดหน้าที่ญาติแล้ว ที่เหลือเป็นของแพทย์และพยาบาล ต้องจัดการต่อเอง โดยส่วนตัวผมว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมาก เพราะการดูแลผู้ป่วยนั้น มาจาก ผู้ป่วย แพทย์ และญาติรวมๆกันนะครับ ต้องช่วยดูแลกัน ถ้าผู้ป่วยดูแลตัวเองไม่ได้ ญาติก็จะต้องเป็นคนคอยฟื้นฟู ดูแลต่อเนื่องไป จะให้แพทย์ตามไปดูแล ไปทำให้ที่บ้านทุกคน หรือให้ผู้ป่วยมานอนโรงพยาบาลตลอดชีวิตย่อมเป็นไปไม่ได้ถูกไหมครับ และที่สำคัญ ญาติเป็นคนในครอบครัวนะครับ ย่อมต้องดูแลและรู้ใจคนไข้ดีกว่าหมออยู่แล้ว หมอมีหน้าที่ วินิจฉัย ดูแล รักษา บำบัด ฟื้นฟู ส่งเสริมสุขภาพ ทั้งทางกายและใจก็จริง แต่เชื่อเถอะครับ ในส่วนของกำลังใจ การดูแลในส่วนอื่นนอกเหนือจากตัวโรคของคนไข้ หมอไม่มีทางดูแลได้ดีกว่าคนในครอบครัวอย่างแน่นอน

            ดังนั้นญาติๆทั้งหลายต้องช่วยกันครับ (ไม่ใช่มารวมช่วยกันฟ้องหมอนะ) แต่ต้องมาช่วยกันดูแลผู้ป่วยร่วมกับทีมแพทย์เพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดี มีกำลังใจดี ร่างกายและจิตใจจะได้แข็งแรงต่อไป (จบได้พัฒนาชาติมาก)

           จริงๆก็ยังมีอีกหลายกรณีนะครับ เช่น เห็นโรงพยาบาลเป็น ศาล หรือสถานีตำรวจ สามีภรรยาคู่หนึ่งตีกันครับ มาทำแผลแล้วภรรยาบอก "มันตีฉันคะ เอาตำรวจมาจับมันเลยคะคุณหมอ มันตีฉัน เอาตำรวจมาลากมันเข้าคุกไปเลย มันเป็นคนไม่ดีค่ะ ฟ้องมันเลยค่ะ" ก็เลยต้องเชิญคุณตำรวจมาไกล่เกลี่ย คุณตำรวจถาม "แล้วจะเอาความกันไหมครับ" ภรรยาตอบ "เอาความค่ะ เดี๋ยวคุณหมอคนนี้จะแจ้งความให้ดิฉัน !! " (เฮ้ยย!!!มาไงครับเนี่ย....แพทย์ไม่ใช่เจ้าทุกข์นะครับและก็ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณด้วยนะ!!!) ต้องอธิบายกันยกใหญ่เลยทีเดียว สุดท้ายก็เคลียร์กันจบไป(เกือบไปแล้ว)

             ทั้ง 3 ภาคที่กล่าวมาก็เป็นเรื่องของกลุ่มคนไข้บางคนที่คิดว่าโรงพยาบาลไม่ใช่โรงพยาบาลนะครับ  จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องสุขภาพนั่นแหละครับที่ชักนำให้เขาเหล่านี้มาโรงพยาบาลแต่ไม่ได้มาด้วยเรื่องเจ็บป่วยเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องอื่นๆซ้อนเข้ามาเป็นปัญหาด้วยตลอด ซึ่งแพทย์ก็ไม่ได้อยากยุ่งนะครับ แต่ก็มักจะถูกลากเข้าไปร่วมด้วยเสมอไม่รู้ทำไม

            นี่ก็เป็นอีกเรื่องราวที่อยากนำเสนอครับ สนุกบ้าง ไม่สนุกบ้าง เครียดไปบ้าง สะท้อนสังคมไปบ้างต้องขอโทษด้วย

อังคารหน้า ตามกระแสนิดหนึ่ง ช่วงนี้กระทู้ฟ้องหมอ หมอบ่น หมอลำบากมาเยอะ มาดูเรื่องนี้กันหน่อยดีกว่าเนาะ....

แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 14:48:17

แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 14:38:01

แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 21:52:31

แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 21:51:16

แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 21:49:34

แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 21:42:33

แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 21:37:37

แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 21:35:57

แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 21:30:32

จากคุณ : small-doctor
เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 21:26:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com