Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สามวันกับ HIV ติดต่อทีมงาน

ประสบการณ์การตรวจเชื้อ HIV

เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมได้ไปบริจาคเลือดให้กับญาติผมท่านหนึ่งทีกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งและต้องการเลือดมาก ในวันนั้นผมว่างพอดี ผมก็เลยไปบริจาคตามปกติที่โรงพยาบาล ร.

วันที่ 15 กุมภา
เวลาผ่านไปไม่นานเป็นเวลา 12 วัน ผมได้ข่าวจากครอบครัวของญาติผมท่านนั้นว่า ไม่สามารถรับเลือดที่ผมบริจาคได้เนื่องจากเลือดของผมติดเชื้อ เมื่อทราบข่าวดังนี้ ทำให้ผมตกใจมาก ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ด้วยความกังวลใจ เลยรีบโทรไปถามโรงพยาบาล ร. ว่าเกิดอะไรขึ้น โรงพยาบาลแจ้งว่าให้มาตรวจเพื่อระบุให้แน่ชัดว่าติดเชื้ออะไร เมื่อไปถึงคุณหมอที่อยู่แผนกเจาะเลือดก็เรียกให้ไปคุยในห้อง แล้วคำถามที่ถามคือ “มีไปเสี่ยงติดเชื้อทางเลือดที่ไหนไหม?” ผมตอบว่า ”ไม่มีเลย” คุณหมอถามต่อ “แล้วมีเสี่ยงเรื่องเพศสัมพันธ์ไหม?” ผมก็ตอบว่า ”ไม่มีแน่นอนครับ เอ่อ... ผมติดเชื้ออะไรครับ จะได้นึกย้อนไปได้ว่าทำอะไรเสี่ยงแล้วติดมารึเปล่า” คุณหมอตอบแบบเลี่ยงๆ ว่า “ก็ต้องเจาะเลือดตรวจอ่ะค่ะ เพื่อจะได้ระบุได้แน่นอน” ผมซึ่งรู้สึกกังวล และรำคาญมากกับการตอบไม่ตรงคำถามของคุณหมอ ก็เลยตัดสินใจที่จะเจาะเลือด แต่ก่อนที่จะทำการเจาะ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ช่วงก่อนการบริจาคเลือดผมได้กินยาแก้อักเสบสำหรับอาการเจ็บคอของผมอยู่หลายวัน คุณหมอจึงตัดสินใจไม่เจาะเลือดของผมไปตรวจแล้วให้เหตุผลว่า “อาจจะเพราะยานี่ละ ที่ทำให้ผลของเลือดออกมาติดเชื้อ เอาอย่างนี้ไหม รออีกสามเดือนก่อนแล้วค่อยมาตรวจเลือดไหม” ผมก็โอเค เข้าใจแล้วว่าคงเป็นเพราะยาแก้อักเสบแน่ๆ ก็เลยวางใจไปได้ แต่ตกกลางคืน ผมกลับรู้สึกว้าวุ่นใจเป้นอย่างมากว่าเราติดเชื้อหรือเปล่า เพราะมันก็มีโอกาสที่เราจะเสี่ยงติดเชื้อพวก HIV โดยที่ไม่รู้ตัว ก็เริ่มที่จะเครียดแล้ว นอนไม่หลับทั้งคืน

วันที่ 16 กุมภา
จากการที่ผมนอนไม่หลับทั้งคืน เช้ามาผมเลยรีบเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อหาที่ตรวจเชื้อ HIV ว่ามีที่ไหนบ้างที่เขาไปกัน ผมก็พบทีคลีนิค น. ที่ทุกคนในอินเตอร์เน็ตพูดถึงกันเยอะ และดูเหมือนจะเป็นที่ที่มีความน่าเชื่อถืออยู่มาก จีงตัดสินใจไปตรวจเพื่อความสบายใจของตัวเองแต่เช้าเลย พอไปถึงก็พบว่าที่นี่ทำงานกันอย่างเป็นระบบมาก มีการต้อนรับดี ทุกคนดูเป็นมิตรมาก ก็ต่อคิวเพื่อรอคุยกับที่ปรึกษา ที่ใช้คำว่าที่ปรึกษา เพราะผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นหมอหรือเปล่า (ถ้าใช่ก็ขออภัยด้วยครับ) ก็ถามผมว่า มาตรวจทำไม.....(เล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับการบริจาคเลือด) มีการเสี่ยงไหม....(ไม่มีครับ) มีแฟนไหม....(มีครับ) แฟนเป็นผู้ชายไหม..(ตอบพร้อมหน้างงๆ ว่าไม่ใช่ซิครับ) มีการใช้ยาเสพย์ติดไหม....(ไม่มีครับ...คือผมไม่ได้ไปเสี่ยงอะไรที่ไหนมาเลยครับ ก็มีเพศสัมพันธ์กับแฟน แต่ก็ป้องกันทุกครั้ง แล้วแฟนผมก็ไม่ได้สำส่อนด้วย) “โอเคงั้นเจาะเลือดตรวจเลย ไวรัสตับอักเสบบี แล้วก็ HIV” กว่าจะถาม กว่าแกจะกดคอมพิวเตอร์ กว่าจะทำเอกสารอะไรของเขาก็นานเกือบชั่วโมง (คือที่ปรึกษาท่านนี้แก่มากๆ) ผมก็ไปเจาะเลือดแล้วก็รอผล....
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเกิน 1 ชั่วโมงครึ่งแล้ว ผมจึงไปถามพนักงานท่านหนึ่ง (ซึ่งเด็กมากๆ น่าจะเด็กมัธยม แต่พูดจาเพราะมาก ยิ้มแย้มด้วย) เขาก็บอกว่าจะเช็คให้ แล้วซักพักก็เดินมาแจ้งผมว่า “อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยนะครับ พอดีเขาตรวจซ้ำ” ผมถามกลับไปว่า “อ้าว! จะตรวจซ้ำทำไมเนี่ย?” เขาตอบแบบงงๆ “สงสัยเจาะเลือดไปน้อยมั๊งครับ” ผมก็งงๆ แต่ก็เอาเถอะ รอต่อไป ไม่ได้ว่าอะไร เพราะคิดในใจว่าก็คงไม่ได้ติดเชื้อหรอก เพราะไม่ได้ไปเสี่ยงอะไร
รอไปได้อีกซัก ยี่สิบนาที เขาจึงเรียกเบอร์ผม ให้ไปรอหน้าห้อง ในใจเริ่มจะตื่นเต้นอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ก็มั่นใจว่าไม่มีเชื้อแน่ๆ เพราะไม่เคยเสี่ยงเลย เป็นคนสะอาดมากๆ ซักพัก คุณที่ปรึกษาเดินมาเปิดประตูเรียกให้เข้าไปที่ห้อง ผมถามทันที่ว่าเป็นอย่างไรบ้างครับ เขานั่งดูคอมซักพัก ประมาณสามสิบวิ แล้วก็ตอบว่า “ก็.... Reactive นะ” ผมถาม “มันคือ.... มีเชื้อหรือไม่มีครับเนี่ย” เขาตอบแบบเบาๆ ว่า “Reactive ก็คือมีเชื้อนะ” ผมเงียบ หน้าซีด นึกในใจว่ามันจะเป็นไปได้ไง หรือมีคนแกล้งเรากันแน่ เลยถามไปว่า “ดูผิดหรือเปล่าครับ เพราะผมไม่เคยไปเสี่ยงที่ไหนมานะครับ ไหนผมขอดูหน้าจอคอมพิวเตอร์หน่อย” ที่ปรึกษาตอบ “เธอจะดุทำไมกัน เดี๋ยวเขาก็ปริ้นเอาใบผลมาให้ ก็มันขึ้น Reactive อ่ะนะ ก็คือมีเชื้อแหละ เอางี้ เธอเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” ผมตอบ “ไม่มี! จะบ้าเหรอครับ แล้วนี่ผมมีเชื้อเยอะไหม จะตายไหมครับ อยู่ได้อีกนานไหม แล้วต้องทำยังไงต่อครับ บลาๆๆ....” คือความคิดผมเป็นกระบวนการมาก เตรียมตัววางแผนชีวิตใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่จิตใจว้าวุ่นมาก ถามรวดเดียวทุกคำถามเลย เขาก็ตอบว่า เอางี้เธอเอาหนังสือเกี่ยวกับการเป็นโรคไปอ่านนะ หรือไม่เธอก็ไปคุยกับพวกที่ติดเชื้ออยู่ข้างล่างอ่ะ เขามาคุยกันทุกอาทิตย์” ผมถาม “พวกไหนครับ?” เขาตอบ “ก็พวกร่วมเพศข้างล่างไง” ผมเงียบ.... รู้สึกหมดแรง ทุกอย่างในชีวิตที่วางแผนไว้จบสิ้นแล้ว กำลังจะเรียนจบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง กำลังจะลงทุนทำธุรกิจของตัวเอง กำลังวางแผนมีครอบครัวกับแฟน ทุกอย่างที่กำลังจะได้ทำถูกหยุดชะงักลง ....ที่ปรึกษาเอ่ยต่อมาว่า “เธอก็ไปตรวจ CD4 นะ ดูว่าควรจะกินยาอะไรยังไง” ผมด้วยความเศร้าใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยโทรบอกคุณแม่ทันที “ม้าครับ ที่วันก่อนได้ข่าวว่าติดเชื้ออ่ะ วันนี้ผมมาตรวจเอดส์นะ ปรากฏว่ามีเชื้อครับ” แม่เอ่ย “เหรออ.... (เสี่ยงเศร้ามาก) ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร) ผมร้องไห้ “ผมขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าผมเป็นได้ยังไง ไม่เคยไปเสี่ยงที่ไหนมาเลย ม๊าอย่าโกรธผมนะ ผมขอโทษ แม่พูด “ไม่เป็นไร ป๊ากับม๊าเป็นกำลังใจให้เสมอ ไม่เป็นไร” พ่อพูดขึ้นมาว่า เป็นอะไร แม่ผมจึงเล่าให้ฟัง
“ไม่เป็นไรนะลูก” แม่ปลอบต่อ ผมเศร้าใจมากที่แม่มีน้ำเสียงเสียใจและเหมือนกำลังจะเป็นลม ผมซึ่งมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ไปเสี่ยงที่ไหน และอยากจะพิสูจน์ให้แม่รู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรมาผิด และไม่มีเชื้อแน่ๆ เลยรีบกลั้นใจบอกแม่ว่า “ม๊า เดี๋ยวผมโทรกลับนะครับ จะโทรไปบอกกแฟนให้ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล แล้วผมก็จะไปตรวจอีกรอบด้วย” วางสายแล้วก็โทรหาแฟน เล่าเรื่องทั้งหมดให้แฟนฟัง แล้วบอกให้ลาที่บริษัทแล้วไปตรวจเลือดทันที จากนั้นผมก็ไปเจาะเลือดทิ้งไว้เพื่อให้คลีนิคตรวจ CD4 ไว้แล้วนัดมาเอาผลวันที่ 20 กุมภา แล้วก็รีบตรงไปยังโรงพยาบาล ก.1 เพื่อไปตรวจเลือดอีกรอบพร้อมกับแฟน โดยที่ไม่ได้รอใบรายงานผลที่คุณที่ปรึกษาของคลีนิคกำลังปริ้นให้อยู่ ระหว่างนั้นพี่ชายที่ทราบข่าวจากแม่ก็โทรมาให้กำลังใจ แล้วก็สนับสนุนให้เราไปตรวจอีกที่เพื่อพิสูจน์
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ก.1 ก็ไปที่แผนกตรวจสุขภาพทันที พบกับคุณหมอพร้อมแฟนผมเพื่อปรึกษาการตรวจเชื้อ HIV ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณหมอฟัง คุณหมอตั้งใจฟัง แล้วเข้าใจอย่างรวดเร็ว (ทึ่งในความสามารถของหมอที่เข้าใจผมเล่าแบบรกๆ ได้เป้นอย่างดี) ครั้งนี้คุณหมอก็มาถามว่า ไปเสี่ยงอะไรมาไหม มีเพศสัมพันธ์กันครั้งแรกเมื่อไหร่ ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ มีออรัลเซ็กไหม ผมกับแฟนก็ตอบไปตามความจริง แล้วก็หมอตัดสินใจที่จะให้แฟนผมตรวจ แล้วก็บอกผมว่าอาจจะไม่ต้องตรวจหรอก เพราะที่คลีนิค น. เขาตรวจมาสองครั้งเลยนะ เพราะฉะนั้นโอกาสมันจะพลาดนี่คงเป็นไปได้ยากมาก แต่ผมเองมั่นใจมากว่าผมไม่ได้ไปเสี่ยงมา และไม่มีเชื้อแน่ๆ จึงบอกหมอไปเลยว่า “ผมจะตรวจครับ ตรวจแบบ Anti HIV ครับ ส่วนของแฟนก็ตรวจทั้งแบบ Anti HIV และ PCR เลยครับ เพื่อความชัวร์ เพราะช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งมีเพศสัมพันธ์กัน” ก็รีบไปตรวจเลือด แล้วรอผล
ระหว่างที่รอผลก็นั่งกินข้าวคุยกับแฟน ปลอบใจแฟน แล้วก็ขอโทษว่าไม่น่าทำให้ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เลย แล้วก็บอกแฟนว่าไม่ติดจากผมหรอก เพราะเราป้องกันตลอด แต่สำหรับตัวเองที่กินข้าวไม่ลง น้ำตาไหลไม่หยุด เศร้ามาก ทำใจไม่ได้ จากนั้นก็เดินไปส่งแฟนกลับไปทำงานแล้วนัดเจอกันอีกรอบ อีกหนึ่งชั่วโมงเพื่อไปฟังผลตรวจ ผมซึ่งกลับมาอยู่คนเดียวอีกรอบก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ก็เลยโทรบอกแม่ว่ามาเจาะเลือดตรวจแล้วนะ รอฟังผลอยู่ จากนั้นผมก็เดินไปตามถนนซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเดินไปทางไหน เห้นผุ้คนรอบข้างก็รู้สึกอิจฉาเขาที่สามารถใช้ชีวิตได้แบบปกติ ต่างจากคนเป็นเอดส์ เมื่อนั้นก็ได้ข้อความจากแฟนทางมือถือว่า “ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไร เราก็ยังรักเธอเหมือนเดิมนะ อย่าคิดมาก” ผมถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ได้ ปล่อยโฮกลางสี่แยกเลยทันที หลังจากหยุดร้อง กำลังใจผมก็กลับมา ถึงเวลานัดกับหมอก็เดินไปรับแฟนเพื่อเข้าไปในโรงพยาบาล ก.1 ซักพัก ก็โดนเรียกเข้าไปฟังผลก็หมอ (ระยะเวลาในการรอเร็วกว่าที่คลีนิค น. เยอะ) คุณหมอทำหน้างงๆ ผลิกเอกสารไปๆ มาๆ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าน่าจะเป็นผลที่บอกว่าผมติดเชื้อ คุณหมอพูดขึ้น “เอ่อ...ของน้องผุ้หญิง... ไม่เป็นไรนะ ไม่มีเชื้อ” ผมโล่งอกมากที่แฟนไม่ได้รับเชื้อของผม หมอพูดต่อ “ส่วนของน้องผุ้ชายนี่ ก็.... Negative นะ คือไม่มีเชื้อ HIV” ผมอึ้งมาก หมอพูดต่อ “คือผลเนี่ย ผมบอกให้ทาแล๊บตรวจถึงสามวิธีที่ต่างกัน ผลก็ออกมา Negative ทั้งหมด แล้วผมก็มั่นใจมากว่าทางโรงพยาบาลเราไม่มีทางตรวจผิด ทีนี้เนี่ย ผมก็อยากจะทราบว่าทางคลีนิค น. นี่เขาตรวจแบบไหนกัน น้ำยาตรวจหมดอายุหรือเปล่า หรือเขาตรวจโรคซิฟิริส เพราะผลมันก็จะออกมาแบบเดียวกันคือ Reactive กับ Non-reactive” ผมอึ้งมาก “แน่ใจเหรอครับคุณหมอ ผมขอดูหน่อย” เอกสารเขียนว่า Negative จริงๆ ผมน้ำตาไหลอีกครั้งพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณครับ” จากนั้นหมอก็แนะนำว่า ให้รีบไปเอาผลที่คลีนิค น. ปริ้นให้มาให้หมอดูนะ จะได้รู้ว่าผลมันเป็นยังไงกันแน่” ผมรีบออกจากโรงพยาบาล ก.1 ทันที ระหว่างทางก็โทรบอกแม่ “ม๊า ผลออกมาแล้วนะที่โรงพยาบาล ก.1 เขาบอกว่าผมไม่มีเชื้อครับ” แม่พูด “จริงเหรอ...? ขอบคุณพระเจ้า ดีมากเลยลูก ม่ะม๊าดีใจจริงๆ” ผมยิ้มพร้อมกับร้องไห้ดีใจ แล้วบอกแม่ว่าเดี๋ยวผมต้องรีบไปเอาผลของที่คลีนิค น. กลับมาให้หมอดูนะ เดี๋ยวค่อยคุยกันนะแม่” เมื่อถึงที่คลีนิคก็เล่าทุกอย่างให้กับพนักงานฟัง แล้วก็ขอคุยกับที่ปรึกษาคนนั้นอีกรอบ เมื่อได้เจอที่ปรึกษา ผมพูดว่า “ผมขอดูผลอีกรอบหน่อยครับ เขาก็รีบๆ เปิดในคอม ทีนี้ผมเดินอ้อมโต๊ะเพื่อไปดูหน้าคอมทันที ปรากฏว่า เขามีการตรวจสามวิธีคือ CMIA Immunochromatography และ PA ผลคือมี Reactive แค่วิธี CMIA แต่อีกสองวิธี Non-reactive และบรรทัด Conclusion คือ Inconclusive ทำให้ผมทราบได้ว่าผลไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเอดส์หรือไม่เป็น ก็เลยรีบขอให้เขาปริ้น แล้วก็รีบเอากเอกสารไปให้หมอที่โรงพยาบาล ก.1 ดู แต่เมื่อไปถึง หมอได้กลับไปก่อนแล้ว เนื่องจากมีธุระสำคัญ ผมก็เลยกลับบ้านอยากมีความหวังแล้ว แต่ยังไงคืนนั้นผมก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี ไม่รู้ว่าผมติดเชื้อหรือไม่กันแน่

วันที่ 17 กุมภา
ผมตัดสินใจไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลอื่นกับแม่ วางแผนไว้ว่าจะไปตรวจอีกสามที่เพื่อความชัวร์ (มากๆ) ที่แรกไปโรงพยาบาล ซ. แต่เช้าตรู่ ขอตรวจเชื้อ HIV นางพยาบาลต้อนรับอย่างดี ยิ้มแย้ม เมื่อเจอหมอ ก็เล่าทุกอย่างให้ฟังเกี่ยวกับการบริจาคเลือด ไปตรวจที่คลีนิค น. ที่โรงพยาบาล ก.1 ก่อนจะเจาะเลือดเขาก็สังเกตุว่าผมมีรอยเจาะเลือดอยู่เยอะแล้ว (ทั้งหมดผมเจาะไปสามรอบในวันที่ 16 กุมภา) ก็รู้สึกสงสาร แต่ยังไงก็ต้องเจาะ ผมเลยโดนไปอีกรูนึง เสร็จแล้วก็ไปนั่งกินข้าวเช้ารอฟังผลกับแม่ แม่ผมลุ้นมาก พร้อมกับพยายามหาเรื่องขำๆ มาคุยกัน จะได้ไม่เครียด แม่ผมก็บอกผมว่าถ้าผมเป็นเอดส์จริง ก็ไม่ต้องห่วง บ้านเรามีเงินซื้อยากิน แล้วก็โรคเอดส์ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แค่สังคมบางกลุ่มไม่ยอมรับเท่านั้นเอง ใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้ ก็กลับไปนั่งรอฟังผล นั่งไม่ทันเก้าอี้จะอุ่น หมอก็เรียกให้ไปฟังผลซะแล้ว แม่อยู่ในห้องน้ำ แต่ผมรอไม่ได้แล้ว เลยรีบเข้าไปในห้องก่อน หมอก็รีบบอกผม จะได้ไม่ต้องลุ้นว่า “เอ่อ... เธอไม่มีเชื้อ HIV นะ ปลอดภัย สบายใจได้ กลับบ้านได้ ส่วนเรื่องผลตรวจของคลีนิค น. ผมจะนัดหมอเฉพาะทางให้นะ เพื่อดูว่ามันยังไงกันแน่” ผมดีใจมากออกมารอข้างนอก แม่ผมออกมาจากห้องน้ำพอดี ก็บอกแม่ไปว่าไม่มีเชื้อ แม่ผมดีใจมาก ดีใจสุดๆ เหมือนถูกหวยแต่ผมคิดว่าแม่ดีใจมากกว่าได้เงินร้อยล้านซะอีก หลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาล ก.2 เพื่อความชัวร์ ก็รีบตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาล ก.2 ทันที แจ้งว่ามาตรวจ HIV เมื่อได้พบหมอ ผมก็เล่าให้ฟังทุกอย่างแบบละเอียดมากๆ เพราะคิดว่าคงเป็นที่สุดท้ายแล้วล่ะที่จะตรวจ เอาให้ชัวร์ที่สุดไปเลย หมอได้ยินเรื่องราวทุกอย่างแล้วก็พูดว่า “โอเค เข้าใจแล้ว คืออย่างงี้นะ ไอ้คลีนิคนิรนามเนี่ย เขามีเครื่องมือที่ทันสมัยมาก มีความละเอียดมาก แล้ววิธีตรวจ CMIA เนี่ยเป็นวิธีตรวจแบบใหม่ที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นเนี่ย หมอจึงให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือที่ผลของคลีนิค น. นะ หมอเองก็เป็นอาจารย์อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬา ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด” ผมเริ่มวิตกเพราะผลของที่นั่นระบุว่าผมมีเชื้อโดยใช้วิธี CMIA หมอพูดต่อว่า “ส่วนผลของอีกสองโรงพยาบาลเนี่ยเป็นการตรวจแบบ Rapid test คือไม่ละเอียด จึงให้น้ำหนักน้อย เอางี้นะ เดี๋ยวจะให้ตรวจแบบ CMIA ไปเทียบกันเลย เพราะที่โรงพยาบาล ก.2 เนี่ยก็มีเครื่องมือที่ทันสมัยมาก มีความน่าเชื่อถือมากๆ แล้วก็ตรวจอีกแบบนึงคือ PCR ไปเลย เอาให้ชัวร์” แล้วเขาก็อธิบายวิธีการตรวจเชื้อของเขามาให้ฟัง เปรียบเทียบกับหนังจุลาสิกพาร์คด้วยซิ เหมือนกับการทำให้ DNA ขนาดเล็กขยายตัว ทีนี้ถึงแม้จะมีเชื้อน้อยเท่าใดก็สามารถทราบได้ว่ามีเชื้ออยู่ในกระแสเลือดเรา ผมก็เลยตอบจะตรวจทั้งสองอย่างเลย แล้วก็ไปห้องเจาะเลือด ผู้ที่เจาะเลือดผมก็เห็นรอยเจาะผมมีเยอะเหลือเกิน ผมก็เล่าคร่าวๆ ให้เขาฟัง เขาก็สงสารผมมาก แต่ก็ต้องเจาะอยู่ดี ผมเลยโดนไปอีกรูนึง แต่คราวนี้โดนเอาไปตั้งสามหลอด แล้วให้ไปนั่งรอ แต่การรอครั้งนี้ไม่เหมือนกับการรอที่โรงพยาบาลสองแห่งก่อนหน้านี้ เพราะครั้งนี้เป็นการตรวจด้วยวิธีการเดียวกับของคลีนิค น. ซึ่งให้ผลว่าผมมีเชื้อ HIV ผมตื่นเต้นมาก เอาหูฟังมาฟังเพลงจากมือถือ เปิดเสียงดังสุดๆ เอาให้มันหายกังวล แม่ผมก็เอาบทสวดอะไรมาท่องเพื่อให้มีสมาธิไม่ว๊อดแว๊ก แล้วก็พลางบอกผมว่า ถึงผมจะเป็นเอดส์ยังไง ก็ไม่มีปัญหาสำหรับครอบครัวของเราอยู่แล้ว ไม่ต้องวิตกนะลูก ผมพยายามจะหลับ ระหว่างนั่งหลับตา ผมรู้สึกเลยว่าแขนทั้งสองข้างผมเริ่มจะไม่มีความรู้สึกแล้ว เนื่องจากการเจาะเลือดไปหลายรอบ ผมเปิดตาหันไปดูที่แขน เห็นรอยช้ำสีเขียววงกว้างมากๆ ผมเห็นแล้วก็นึกสงสารตัวเองว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ชีวิตของผมเองกำลังไปได้ดี ไม่นานนักคุณหมอก็เดินผ่านผมกับแม่ แล้วบอกว่าผลออกแล้วนะ แต่ต้องไปดูที่คอม เขาส่งเข้ามา ก็รีบเข้าไปดูคอมในห้อง ผมกับแม่เดินตามเข้าไป คุณหมอใช้เวลาเข้าระบบคอมพิวเตอร์อยู่ซักพัก ผลก็ปรากฏที่หน้าจอ (พอเห็นไกลๆ แต่มองไม่ออกว่าผลคืออะไร) ซักพักคุณแหมอก็บอกว่า “อืมม.. โอเค ไม่มีเชื้อ HIV นะ หมอขอแสดงความยินดีด้วย” แม่ผมดีใจ น้ำตาไหลเลยทีเดียว จับมือผมอย่างดีใจ ผมก็ดีใจมาก เหมือนทุกอย่างจะโอเคเรียบร้อยแล้ว หมอพูดต่อว่า “ความน่าเชื่อถือของมันก็ 99% นะ อีก 1% เนี่ยก็มาดูผล PCR พรุ่งนี้นะ แล้วก็จะคอมเฟิร์มได้แล้ว” ผมโล่งอก แต่ก็ยังมีห่วงอยู่สำหรับผลสุดท้ายในวันพรุ่งนี้” ขากลับบ้านก็คุยกับแม่อย่างสบายใจ เหมือนโล่งอกมากๆ

วันที่ 18 กุมภา
วันนี้ตอนบ่ายก็ไปโรงพยาบาล ก.2 เพื่อฟังผล PCR ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะผลมาถึงมือหมอก่อนหน้านี้ที่ผมกับแม่จะไปถึงโรงพยาบาลแล้ว พอเจอหน้าหมอ หมอก็รีบบอกเลยว่า “ข่าวดีค่ะ ไม่ต้องห่วง ไม่มีเชื้อนะ เป็น Negative คือที่คลีนิค น. นี่เขาเพิ่งเอาการตรวจแบบ CMIA มาใช้ไม่ถึงสองเดือนเลย สงสัยว่าการอ่านค่าน่าจะผิด ตอนนี้เราไม่มีเชื้อเอดส์ 100% แล้ว วางใจได้” ผมก็โล่งใจเป็นที่สุด การผจญภัยสามวันกับโรคเอดส์ของผมได้สิ้นสุดลงแล้ว เป็นสามวันที่ได้หลายอารมณ์มาก ทั้งเสียใจที่สุดในชีวิต และดีใจที่สุดในชีวิต รู้สึกปลง รู้สึกมีกำลังใจ รู้สึกอยากตาย รู้สึกขอบคุณทุกคนที่รักผม และให้กำลังใจผมตลอดเวลา รู้สึกอยากขอบคุณอากงอาม่าที่ผมภาวนาขอให้ท่านทั้งสองที่อยู่บนสวรรค์ช่วยเหลือผม รู้สึกรักพ่อ รักแม่ รักพี่ชาย พี่สาว รักแฟนมากขึ้น และรักตัวเองมากขึ้น จริงๆ

จากคุณ : ผู้เคยตรวจเชื้อ HIV
เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 10:18:29 A:27.55.0.109 X: TicketID:349597




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com