Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพราะเราไม่เข้าใจกัน... (ภาคสาม) ติดต่อทีมงาน

กลับมาต่อกับอีก 1 มหากาพย์ที่อยากจะเล่าให้ฟังนะครับ สำหรับท่านที่เบื่อแล้วอันนี้ก็ต้องขอโทษด้วยเพราะเรื่องที่อยากบอก อยากเล่ามันเยอะจริงๆ(มีอีกหลายภาค)
         ดังที่จะเห็นได้ว่าเรื่องราวความไม่เข้าใจระหว่างหมอกับคนไข้ มันมีมากขึ้น และแต่ละเรื่องก็นำไปสู่การฟ้องร้องที่ในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นจริงๆ ชนิดที่เป็นกราฟก็พุ่งทะลุขึ้นอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

         หากใครยังไม่รู้หรือเพิ่งเปิดมาเจอกระทู้ผมเป็นครั้งแรกกลับไปอ่านจุดประสงค์และความตั้งใจที่เขียนเรื่องนี้ให้อ่านก่อนนะครับ
ภาคแรก

http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11708351/L11708351.html


ภาคสอง

http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11743394/L11743394.html

         ในภาคแรกและภาคสองก็กล่าวถึงการสื่อสารซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่มากและเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดความเข้าใจผิดระหว่างหมอและคนไข้เลยก็ว่าได้

         การสื่อสารที่ว่าก็อาจจะมาจากคนไข้เอง หรือบางครั้งก็หมอนั่นเองแหละที่ปากไม่ดี (ดังที่ภาคสองผมได้กล่าวไว้แล้ว) ทำให้ความเข้าใจระหว่างกัน กลายเป็นความไม่พอใจ ไม่เข้าใจ แล้วสุดท้ายก็จบแบบไม่สวยเท่าไรนัก ฟ้องบ้าง ร้องเรียนบ้าง หมอต่อว่าคนไข้บ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็เกิดผลเสียทุกฝ่ายไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา
 
         ซึ่งอย่างที่ผมบอกครับบางครั้งเราต้องมองทั้ง 2 มุม มองให้กว้างก็พอจะประเมินได้ว่าในบางครั้ง หมอผิด บางครั้งคนไข้ผิด หรือบางครั้งไม่มีใครผิด แต่แค่ไม่เข้าใจกันแค่นั้นเอง

         ในภาค สอง ผมก็ได้กล่าวไปแล้วเกี่ยวกับความคาดหวังของคนไข้ ต่อหมอ การรักษา การบริการ เมื่อไม่ได้อย่างใจ อย่างที่นึกคิดไว้ ก็ไม่มีความเชื่อใจ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ และแสดงออกมาในรูปของการร้องเรียน การฟ้องร้อง ซึ่งอย่างที่ผมบอกครับ ว่าไม่แปลก เป็นเรื่องที่ธรรมดา ที่คนไข้ย่อมต้องหวังในการรักษา การบริการ จากหมออยู่แล้ว(จะไม่ให้หวังเลยรึไงหมอ จะให้ทนๆไปเนี่ยนะ)

          หวังได้ครับ หวังได้แน่นอนแต่บางครั้งเราต้องดูด้วยว่า สิ่งที่หวังนั้น หวังอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงหรือไม่ ความพร้อมด้านสาธารณสุขของประเทศเราพร้อมขนาดนั้นหรือเปล่า ซึ่งผมก็อธิบายไปแล้วว่า ความขาดแคลน ทั้งบุคลากร และอุปกรณ์ด้านสาธารณสุขในประเทศเรายังมีอยู่ในหลายๆส่วน ดังนั้นการหวังก็ควรหวังอยู่บนพื้นฐานความจริงด้วย และบางครั้งก็ต้องฟังคำชี้แจง ฟังคำอธิบายจากหมอด้วย เพราะมันเป็นคำชี้แจงครับ ไม่ใช่คำแก้ตัว(กลับไปอ่านภาค 2 ใหม่ได้นะจ๊ะ)

          เชื่อเถอะครับว่า หมอประเทศไทยทำงานเต็มที่ ทำงานหนัก เหนื่อย เพื่อหวังให้คนไข้หายจากโรคภัยไข้เจ็บแน่นอน แต่ว่าในบางครั้งอาจจะไม่ได้ดั่งใจคนไข้ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เพียงแต่ว่าคนไข้จะมีโอกาสได้รับรู้เหตุผลนั้นรึเปล่าก็เท่านั้นเองครับ

มาถึงภาคนี้ มาต่อกันในเรื่องของ การวินิจฉัย และการรักษากันบ้างละกันนะครับ

ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ทางการแพทย์

         ท่านผู้อ่่่านเคยได้ยินประโยคนี้ไหมครับ ผมเชื่อว่าคนไข้บางคนจะได้ยินประโยคนี้จากหมอมาบ้าง แต่หมอเกือบจะทุกคนย่อมรู้จักประโยคนี้อย่างแน่นอน

         ในการฟ้องร้องในหลายๆคดี เรื่องเริ่มต้นก็มาจากประโยคนี้ละครับ แล้วมันเกิดยังไงไปดูกัน
 
          ผมเชื่อว่าหลายๆท่านเคยได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องฟ้องร้องหมอมาบ้าง ซึ่งในบางครั้ง ญาติๆที่ฟ้องร้องหมอมักจะบอกว่าที่ฟ้องนั้น เพราะหมอ “วินิจฉัยผิด” และ “รักษาผิด” ซึ่งแน่นอนครับถ้าจะบอกว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หมอจะวินิจฉัยผิดหรือรักษาผิด คำตอบคือ เป็นไปได้

           อ้าวเฮ้ย!!!!!!!! ทำไมทำยังงี้ละหมอ พูดยังงี้ไม่สวยนะ !!! ไม่สวยแน่ครับ เพราะผมหล่อ ไม่ใช่ !! ที่จะชี้แจงคือ ในการวินิจฉัย การรักษาคนไข้ของหมอเราเนี่ย บางครั้งมันไม่ 100 เปอร์เซ็นต์เป๊ะหรอกครับ บางครั้ง ความผิดพลาดมันก็มีบ้าง

แต่ช้าก่อน !!!!!!!!!!!!!!!!!!!คนไข้อย่าเพิ่งกระต่ายตื่นตูมวิตกจริตตกใจไปกันใหญ่ ส่วนเพื่อนหมอเองก็อย่าเพิ่งอยากกระทืบผมนะครับ อ่านต่อไปเรื่อยๆก่อน

 ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นได้...แต่ !!! ความผิดพลาดดังกล่าวนั้น เกิดในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆ และบางครั้งความผิดพลาดนั้นก็ไม่ได้ส่งผลเสียไปที่ตัวคนไข้จนยอมรับไม่ได้ (โล่งขึ้นมาบ้างไหม)

          ซึ่งความผิดพลาดที่ว่านี้ บางครั้ง ก็เกิดจากความผิดของหมอเอง ซึ่งก็ต้องว่ากันเป็นรายๆไป แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้เกิดจากหมอซะทีเดียวครับ(เอ๊ะแล้วเกิดจากอะไรละ) เพียงแต่หมอคนนั้นดันไปเจอ “โรคเทพ” คือโรคที่วินิจฉัยยาก อาการไม่ชัดเจน เป็นเร็ว ตายเร็ว ไม่ตรงไปตรงมา(ไม่ตรงตามหนังสือแพทย์ที่เรียนมา) อาการคนไข้มาอย่างแต่เป็นอีกอย่าง หรือโรคที่มีโอกาสเจอน้อยมากในประเทศไทย แต่หมอคนนั้นดันไปเจอ(จะว่าซวยก็ได้) หรือบางครั้งการรักษาที่ดีที่สุด ไม่สามารถทำได้เนื่องจากความขาดแคลนด้านสาธารณสุขทั้ง บุคลากรและอุปกรณ์ ซึ่งบางครั้งก็ต้องเข้าใจหมอด้วย และต้องดูด้วยว่าการรักษาของหมอที่ให้ไปในสถานการณ์นั้นๆนะผิดจริงหรือไม่ เป็นความผิดพลาดของหมอจริงหรือเปล่า

          อาชีพหมอเนี่ย เวลารักษาคนไข้ เราก็ใช้การซักประวัติ การตรวจร่างกาย การตรวจทางรังสีวินิจฉัย การตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ จากนั้นก็จะสรุปการวินิจฉัย โดยใช้ข้อมูลจากที่ตรวจไปทั้งหมด แล้ววิเคราะห์ออกมาว่าคนไข้ “น่าจะเป็น” โรคใดมากที่สุด(เหมือนนักสืบ) โดยความน่าจะเป็นนั้นก็แบ่งได้หลายแบบ

          ในโรคบางโรคก็อาจจะแม่นยำถึง 99.9999999% เลย เพราะจับตัวเชื้อโรคได้เลย ผลเลือดชัดเจน เอกซเรย์ชัดเจน ชนิดที่มั่นใจว่าเป็นแน่ๆก็มีครับ ซึ่งโรคเหล่านี้มักไม่ค่อยมีปัญหาเกิดขึ้นครับ เพราะมันค่อนข้างชัดเจน

         แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่การวินิจฉัย ยังไม่ชัดเจน ผลเลือดยังไม่ได้ เอกซเรย์ไม่ชัด หรือบางโรค อาการมันคล้ายกันมากจนแยกไม่ออกในช่วงแรก หมอเองก็จะใช้วิธีการรักษาให้ครอบคลุมที่สุดโดยไม่เป็นอันตรายต่อคนไข้ จากนั้นก็จะใช้วิธีสังเกตอาการ และตรวจติดตามอาการคนไข้โดยนัดมาหาอีกครั้ง เพื่อดูอาการ ดีขึ้นไหม หายหรือยัง หรือบางครั้งก็จะแนะนำอาการที่ผิดปกติซึ่งต้องมาพบแพทย์ทันที หรือบางครั้งหากเป็นโรคที่สำคัญมาก ไม่แน่ใจการวินิจฉัยก็จะมีการให้นอนโรงพยาบาลสังเกตอาการ หรือส่งตัวไปหาหมอเฉพาะทางซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า และอุปกรณ์พร้อมกว่า

         เมื่อใช้วิธีทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ก็จะเพิ่มความน่าจะเป็นในการวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องจนใกล้เคียง 100 % ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
 
          หมอก็คล้ายๆนักสืบนั่นละครับ นักสืบที่ตามจับผู้ร้ายหรือตามจับโรคภัยไข้เจ็บ บางครั้งเราก็หาข้อมูล หาหลักฐาน ได้มากมายชนิดที่ว่าไม่มีทางจับผิดตัวแน่ (ฮ่าๆๆๆๆๆ) แต่บางครั้งผู้ร้ายเก่งมาก ซ่อนตัวเก่งแผนซ้อนแผน บางครั้งนักสืบจับไม่ได้ หรือจับ ผิดตัวก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ในระหว่างที่เราตามจับคนร้าย เราก็จะใช้การนัดมาดูอาการ สังเกตอาการ ให้การรักษาที่ครอบคลุม เป็นการปกป้องคุ้มครองคนไข้ไปก่อน ไม่ให้คนร้ายมาทำอะไรคนไข้ได้ (อร้ายยยยยยย ประหนึ่งบอดี้การ์ด)

          เพราะฉะนั้นคนไข้เองสบายใจได้ครับ แม้ประโยคที่ว่า “ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ทางการแพทย์” จะเป็นประโยคที่เป็นความจริง แต่หมอทุกคนก็จะมีวิธีการจัดการคนไข้แต่ละรายเพื่อให้ความเสี่ยงในการวินิจฉัยผิด รักษาผิด น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว

อ้าวแล้วถ้าไม่น่ากังวล ไม่น่าวิตก แล้วมาเล่าให้ฟังทำไม ก็อย่างที่ผมบอกครับ มาเล่าให้ฟังเพื่อให้คนไข้เข้าใจว่า บางครั้งการวินิจฉัย การรักษา มันยากมาก โรคบางโรคแยกกันยาก และโรคบางโรคก็เก่งมากครับ(ประหนึ่งผู้ร้ายเก่ง) วินิจฉัยยาก รักษาก็ยาก เป็นโรคที่ไม่ได้เจอบ่อย ผมเคยเจอโรคหนึ่งโอกาสเกิด 1 ใน 70000  คน แต่ตอนนั้นผมเองก็วินิจฉัยไม่ได้ครับ ผมจึงส่งตัวคนไข้ไป แล้วตามไปดูที่โรงพยาบาลจังหวัดอีกที ก่อนจะส่งตัวไปที่โรงพยาบาลศูนย์ แล้วก็ส่งเข้าโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง (ผมโทรตามไปคุยกับน้องที่รู้จักจึงรู้ว่าคนไข้เป็นโรคนี้)

         เพราะฉะนั้นโอกาสที่ผิดพลาดมันก็มีอยู่บ้าง แต่อยากให้รู้ว่าหมอทุกคนจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้เกิดการผิดพลาดน้อยที่สุด แต่ถ้าหากเกิดผิดพลาดจริงๆในบางครั้ง ก็ต้องเข้าใจและรับฟังคำชี้แจงของหมอด้วย (ย้ำนะครับว่าฟังคำชี้แจงของหมอ เป็นคำชี้แจงอย่าเพิ่งนึกไปเองว่าเป็นคำแก้ตัว)

เคยมีกรณีหนึ่งนานมาแล้วสมัยผมเป็นนักเรียนแพทย์ละครับ (จริงๆก็ไม่นานมากนะ.....-_-‘)

         หญิงตั้งครรภ์ อายุ 25 ปีคนหนึ่งมาฝากครรภ์และต้องการทราบ เพศของบุตร ซึ่งเธอมาพร้อมสามีครับ
 หมอสูตินารีเวชจึงทำ อัลตร้าซาวน์ให้ เธอ และบอกเธอไปว่าน่าจะได้ลูกชาย โอกาสประมาณ 80 % ครับ ทั้งพ่อและแม่เด็ก ดีใจมาก เฮฮาปาจิงโกะ กลับบ้านไปพร้อมกับความสุข
 
          แน่นอนครับเมื่อกลับถึงบ้านเธอก็แจ้งผลการตรวจให้ อาม่า อากง ยี่โกว โซ้ยเจ๊ก ชนิดที่ว่ามาพร้อมกันครบทั้งชาวคณะ ว่า “ได้ลูกชายค่ะ!!! (แต่ คำว่า80 % หายไป)

          เมื่อได้ทราบผลก็ เถิดเทิงกันทั้งบ้านครับ แน่นอนมีการรับขวัญหลาน ปรับเป็นห้องนอนใหม่ เตียง ตู้ ของเล่น ชุดใหม่ สีน้ำเงิน ชุดทหารเท่ห์ๆ ชุดมนุษย์ห้าสีทั้งหลาย สีดำ สีแดง น้ำเงิน รถเด็กเล่น รถถัง หุ่นยนต์ เพียบ !!!

และแล้วก็ถึงเวลาคลอดครับ เมื่อพยาบาลอุ้มเด็กออกมาให้ดู
แม่ : “ครบ 32 ไหมคะ”
พยาบาล : “น้องแข็งแรงดีค่ะ ครบ 32”

พอพยาบาลอุ้มเด็กให้เข้ามาดูใกล้ๆ แม่พยายามมองหาอวัยวะที่เด็กชายควรจะมีซึ่งขอแทนด้วย “กระเจียว”  มองยังไงก็หาไม่เจอ ก่อนเธอจะสงสัยและถามพยาบาลที่อุ้มเด็กมาให้ดูว่า
แม่ : “กระเจียวหายไปไหนคะ?”  
พยาบาล : “คุณได้ลูกสาวค่ะ ไม่มีกระเจียวหรอก”
แม่ : ......................
ครับ โอกาส 20 % นั้นมาเยือนครับออกมาเป็นลูกสาว ทีนี้ปัญหาเกิดเลยครับ หลังจาก นั้นประมาณ 1 สัปดาห์ อาม่า เป็นกัปตันทีม นำทัพ ครอบครัวและชาวคณะพี่ป้าน้าอา มาหมด มาเอาเรื่องหมอสูตินารีเวชคนนั้น ด้วยเหตุผล “บอกผิดว่าเป็นลูกชาย” โดยเรียกร้องเป็นค่าเสียหาย ค่าทำขวัญ ค่าซ่อมบ้านใหม่ ค่าของเล่น ค่าชุด รวมประมาณเกือบ 2 แสนบาท (สะเทือนใจอย่างแรง)

        ซึ่งหมอก็ต้องมีการชี้แจงกันครับ ว่ามันเป็นแค่โอกาสที่บอกว่าได้ลูกชาย (จริงๆหมอก็บอกแม่ไปตั้งแต่ต้นแล้วนะครับว่าเป็นโอกาส) แต่ตอนนั้นอารมณ์ ญาติก็กำลังกรุ่นละครับ ไม่มีใครฟังหมอ แล้วก็พูดแต่ว่า “ลื้อไม่ต้องมาแก้ตัว!!”

         สรุปก็ต้องมีการชี้แจงกันใหม่หมด ก่อนจบลงด้วยดีเพราะพ่อแม่เอง ไม่เอาความ (แม่เองก็บอกว่าจริงที่หมอบอกแล้วว่าเป็นโอกาส) ส่วนอาม่าตอนแรกก็ไม่ค่อยยอมหรอกครับ ต้องพูดอยู่นาน “หลานสาวก็น่ารักนะ” “ของซื้อมาไม่บูดไม่เน่า ไว้ใช้ตอนมีหลานชายก็ได้” และคำปลอบมากมายก่อนจบลงด้วยดี (อีกปีหนึ่งต่อมาก็ได้หลานชายสมใจจริงๆครับ)

         เห็นไหมครับว่าในบางครั้ง โอกาสผิด โอกาสพลาด ในทางการแพทย์ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน และไม่มีอะไร 100 % ในทางการแพทย์อย่างที่บอก (ซึ่งในกรณีนี้จะโทษหมอสูติก็คงไม่ได้)
         
          ซึ่งอย่างที่ผมบอกว่าถ้าเป็นความผิดพลาดจริงๆของแพทย์ แพทย์ห่วย รักษาไม่ดี ไม่มีเหตุผลรองรับ มั่ว อันนี้ก็ต้องมาว่ากัน แต่บางครั้ง จะไปโทษว่าเป็นความผิดแพทย์ก็ดูน่าเศร้าไปหน่อย เพราะโรคที่แพทย์เจอ กรณีที่แพทย์เจอบางครั้ง ความผิดพลาดนั้นมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้และไม่มีใครอยากให้เกิด

           และอยากให้ท่านผู้อ่านที่มาอ่านเข้าใจด้วยว่า หมอทุกคนไม่อยากให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นแน่นอน เพราะหมอเองก็เห็นผลเสียมากมายที่จะตามมาจากความผิดพลาดนั้น เพราะฉะนั้นหมอทุกคนจะพยายามตรวจ วินิจฉัย รักษาคนไข้ ให้ดีที่สุดให้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นน้อยที่สุดอยู่แล้ว สบายใจได้ และหากความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นจริงๆ (ซึ่งน้อยมาก) รบกวนฟังคำชี้แจง เหตุผลของแพทย์สักนิด ก่อนที่จะตัดสินใจหรือนึกเพียงแค่ “หมอมันเฮงซวย” เพื่อให้เราจะได้เข้าใจกันมากขึ้นนะครับ

ไว้มาต่อตอนหน้าเมื่อวางแล้วกันครับ.....

แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 55 22:18:25

แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 55 22:17:15

แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 55 22:15:31

แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 55 22:13:14

แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 55 22:12:44

จากคุณ : small-doctor
เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 55 22:08:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com