 |
ขอไล่ทีละข้อแล้วกันนะครับ อันดับแรก เมื่อน้องเรียนจบ น้องจำเป็นที่จะต้องสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดก่อน โดยทางสภากายภาพบำบัดจะจัดสอบปีละ 3-4 ครั้ง(นั่นหมายถึง ในแต่ละครั้งจะมีผู้ที่สอบไม่ผ่านด้วย) ใน 3 รายวิชาคือ 1. เทคนิควิธีการทางกายภาพบำบัด 2. โรคและกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับกายภาพบำบัดและ 3. กฏหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งถ้าสอบไม่ผ่านก็ไม่สามารถทำงานได้ 1. ค่าตอบแทนถ้าเป็นรพ.รัฐ จะประมาณ 1 หมื่นต้นๆ + ค่าครองชีพ + คลินิกนอกเวลา รวมๆแล้วประมาณเกือบๆ 15000 บาท/เดือน แต่รัฐจะจ้างเราเป้นพนักงานราชการ ไม่มีสวัสดิการให้ครับ นอกจากบางครั้งที่รพ.ไหนต้องการตำแหน่งเพิ่ม ก็จะเปิดสอบเพื่อบรรจุเราเป็นข้าราชการ มีสวัสดิการแต่เงินเดือนจะไม่สูงมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้อำนวยการรพ.ด้วย แต่โดยส่วนใหญ่เค้ามักจะ รับคนที่เป็นพนักงานราชการของรพ.นั้นๆก่อนครับ ค่าตอบแทนของรพ.เอกชน แล้วแต่ว่ารพ.จะจ้างเราแบบไหนมีทั้ง part time รายชั่วโมง full time และ part time กึ่ง full time ( ทำงานเต็มเวลาแต่คิดค่าตอบแทนเป็น part time) ซึ่งอัตราในรพ.เอกชนส่วนใหญ่ก็จะตกอยู่ที่ 900+ / ชั่วโมงครับ ส่วนสวัสดิการนั้น ถ้าเป้น full time จะมาในรูปของส่วนลดค่ารักษาพยาบาล ส่วน part time พี่ไม่แน่ใจแต่ที่ได้ยินมาจะไม่มีสวัสดิการให้ครับ ทั้งนี้นักกายภาพบำบัดสามารถที่จะรับเคสนอกที่เป็นเคสโฮมได้ โดยค่าตอบแทนจะขึ้นอยู่กับความพอใจของตัว คนไข้และนักกายภาพบำบัดครับผม แต่โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 500 - 1000+ / ชั่วโมงครับ 2. การศึกษาต่อหลังปริญญาตรี น้องสามารถเลือกที่จะศึกษาต่อในสายวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เกือบทั้งหมด เพราะวุฒิที่ได้รับคือ วิทยาศาสตร์บัณฑิต(กายภาพบำบัด) อาทิเช่น ป.โท กายภาพบำบัด, สรีรวิทยา, กายวิภาคศาสตร์, ประสาทวิทยาศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวเนื่องได้เป็นต้น ใช้เวลาศึกษา 3-5 ปี แต่ถ้าน้องไม่อยากเรียนต่อป.โท น้องสามารถเลือกเรียนหลักสูตรหลังปริญญาที่เรียกว่า (post graduate) ซึ่งจะใช้เวลาศึกษาต่อ 1ปี เป็นหลักสูตรความชำนาญเฉพาะด้านทางกายภาพบำบัดครับ หรือถ้าน้องไม่เรียนต่อ ใดๆ ทางสมาคมกายภาพบำบัดร่วมกับสภากายภาพบำบัดและสถาบันการศึกษาที่มีการสอนกายภาพบำบัดจะเปิด หลักสูตรอบรมระยะสั้นตลอดทั้งปีอยู่แล้ว โดยใช้เวลาในการอบรมประมาณ 2-4 วันเพื่อเพิ่มพูนทักษะความ ชำนาญทางกายภาพบำบัด ซึ่งนักกายภาพบำบัดต้องเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอเพราะมีการเก็บคะแนนเพื่อต่อใบ อนุญาตทุกๆ 5 ปีครับ 3. การพัฒนาทางสายงาน เนื่องจากกายภาพบำบัดมีสายงานที่ค่อนข้างหลากหลายเช่น กายภาพบำบัดทางระบบ กระดูกและกล้ามเนื้อ ทางระบบประสาท ทางเด็ก ทางหัวใจและทรวงอก ทางด้านกีฬา ทางด้านผู้สูงอายุ และการส่งเสริมสุขภาพ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวนักกายภาพบำบัดเองว่าสนใจงานด้านใด และในด้านนั้นๆเราอยากจะ เชี่ยวชาญในส่วนไหน เช่นอยากจะเป็นอาจารย์หรือนักวิจัยก็ควรจะเลือกเรียนต่อป.โทขึ้นไป หรืออยากจะเป็นนัก กายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็หมั่นเข้าอบรมบ่อยๆ หรือเลือกเรียนหลักสูตรหลังปริญญาเพื่อเพิ่มพูน ทักษะ ทั้งนี้พี่ขอเตือนว่า อาชีพนี้ประสบการณ์ บุคลิกภาพและความชำนาญเป็นสิ่งสำคัญเพราะมันจะเป็นสิ่งที่ ทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากทั้งคนไข้และญาติแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าน้องรักในวิชาชีพและอยากจะพัฒนา ตัวเองมากน้อยแค่ไหนครับ 4. เนื่องจากหลักสูตรกายภาพบำบัดในประเทศไทยจะเป็นไปในทางเดียวกับหลักสูตรกายภาพบำบัดทั่วโลก ฉะนั้น น้องสามารถที่จะไปทำงานต่างประเทศได้แต่ต้องสอบเพื่อรับใบอนุญาตของประเทศนั้นๆเสียก่อนซึ่งในบางประเทศ น้องจำเป็นต้องนำหน่วยกิตจากสถาบันที่เรียนไปเทียบก่อน หากขาดเหลือในวิชาใดก็จำเป็นที่จะต้องลงเรียนที่ประ เทศนั้นๆก่อนน้องจึงจะมีสิทธิ์สอบรับใบอนุญาตครับ แต่ก็มีบางประเทศที่พิเศษจริงๆเช่นสหรัฐอเมริกาที่ตอนนี้เค้า กำหนดให้ผู้ที่จะประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดต้องได้รับวุฒิ D.PT ( Doctor of Physiotherapy) เนื่องจากที่นี่ระบบการรักษาจะมี insurance หรือประกันเป็นผู้ออกค่ารักษาซึ่งหากไม่ได้รับการวินิจฉัยจาก แพทย์ประกันจะไม่จ่ายค่ารักษาครับ ทางอเมริกาจึงปรับวุฒิเพื่อให้นักกายภาพบำบัดสามารถตรวจวินิจฉัยโรค ทางกายภาพบำบัดได้เองไม่ต้องผ่านแพทย์เพื่อแก้ปัญหาเรื่องประกันครับ ซึ่งนอกก็อาจจะต้องไปศึกษาต่อเพิ่ม เติมทั้งหลักสูตรก่อนจึงจะสามารถขอสอบเพื่อรับใบอนุญาตได้ และหากน้องได้รับใบอนุญาตที่รัฐใดน้องก็มีสิทธิ์ ที่จะทำงานในรัฐนั้นเท่านั้นไม่มีสิทธิ์ไปทำงานที่รัฐอื่น หากต้องการย้ายรัฐก็ต้องสอบใหม่กับรัฐนั้นๆครับ 5. ข้อนี้พี่ตอบไปในข้อบนๆแล้ว แต่จะเพิ่มคืออาชีพนี้สามารถที่จะเปิดคลินิกได้โดยต้องไปยื่นเรื่องที่กระทรวง สาธารณสุขเพื่อขอรับใบอนุญาตก่อนจึงจะเปิดได้ครับ
จากประสบการณ์ในวิชาชีพนี้พี่ก็อยากจะให้น้องถามตนเองก่อนว่า น้องมีความรักที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากน้อยแค่ไหน เพราะอาชีพนี้ในคนไข้บางประเภทเราจะต้องเจอเค้าเป็นปีๆ จนกระทั่งบางคนเราสนิทสนมเหมือนเป็นลูกหลานกันไปเลยก็มี อาชีพนี้ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนไข้มาก และเป็นอาชีพที่มีประโยชน์มากๆเพราะเราทำงานที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในด้านของการเคลื่อนไหว หากน้องรักและสนใจจริงๆพี่ก็ขอเอาใจช่วยและขอต้อนรับสู่วิชาชีพกายภาพบำบัดด้วยความยินดียิ่งครับ
จากคุณ |
:
spirit_PT
|
เขียนเมื่อ |
:
วันเถลิงศก 55 22:11:50
|
|
|
|
 |