เอาไงดีกับชีวิต.. ขอคำแนะนำถึงแนวคิดในการดำเนินชีวิตและวิธีคิดเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
|
 |
เอาไงดีกับชีวิต..
ขอเล่ายาวหน่อยนะคะ เพราะจะเป็นข้อมูลเพื่อขอคำแนะนำถึงแนวคิดในการดำเนินชีวิต แล้วก็คลายความทุกข์ใจ ในช่วงเวลาที่แย่ๆ แบบนี้
เมื่อก่อนบ้านเรามีกัน 8 คนค่ะ คุณตา-คุณยาย คุณพ่อ-คุณแม่ คุณป้า-คุณน้า เรา แล้วก็น้องชาย (คุณป้า-น้าเป็นสาวแก่ค่ะ ไม่มีครอบครัว อาศัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่) เรากับน้องเป็นหลานแค่ 2 คนของทั้งบ้าน แต่หลังจากที่น้องเสียชายชีวิตไปเมื่อ 2 ปีก่อน เราก็กลายเป็นหลานคนเดียวของบ้าน
ซึ่งเมื่อก่อนน้องชายจะเป็น "ความหวังเดียว" ของทั้งบ้านก็ว่าได้ เพราะเราเองหลังจากที่ล้มเหลวจากกาารแต่งงานมาแล้ว ยังไม่ทันจะมีลูก มีหลานให้ที่บ้านก็จบกับสามีไป เหตุเพราะเค้านอกใจไปมีคนอื่น อยู่คนเดียวทำงานบริษัทในกรุงเทพมาเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นก็เรียนต่อ ป.โท จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว น้องชายก็มาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุไปอีกคน ต้องทิ้งทุกอย่าง หน้าที่การงาน สังคมและอื่นๆ อีกมากมายในชีวิต กลับมาอยู่บ้านสวนต่างจังหวัด ทำหน้าที่แทนน้องชายที่เค้าดูแลทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องดูแลสุขภาพ เอกสารเวลาติดต่อราชการ ธนาคารอะไรทำนองนี้ที่ผู้สูงอายุไม่ค่อยถนัด ไม่สันทัด
เราได้งานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในหน่วยงานราชการใกล้บ้าน พอเริ่มปรับตัวได้ ก็ใช้ชีวิตไปวันๆ กับผู้สูงอายุในบ้าน คุณพ่อแม่ป้าน้าเราอายุไล่ๆ กันค่ะ 55-62 ปี คุณตากับคุณยายก็ 90 ต้นๆ ทั้งคู่ คุณยายเดินไม่ได้ช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ดูแลตามสมควร แต่เมื่อต้นเดือนที่แล้วคุณตาเพิ่งจะมาล้ม เดินไม่ได้ มีโรคแทรกซ้อนจากความเสื่อมของร่างกาย ต้องดูแลทุกอย่าง คุณแม่ป้าน้าเราก็ช่วยกันดูแลอยู่ค่ะ หลังจากคุณตาออกจากโรงพยาบาล เราก็จัดการเรื่องการพยาบาล ผู้ป่วยสูงอายุเองที่บ้าน ซื้อเตียงคนไข้ ที่นอนลม เรียนรู้วิธีการดูแลผู้ป่วย เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับผู้ป่วยต่างๆ แล้วไหนยังจะเรื่องสวนที่เป็นรายได้หลักของที่บ้านอีก ไม่มีคนงานประจำ เพราะสู้ค่าแรงไม่ไหว แล้วก็หาดี ๆ มาอยู่ยาก เราว่า คุณพ่อเราเองก็แบกภาระเอาไว้เยอะเหมือนกัน ไหนจะพ่อตาแม่ยาย พี่เมีย น้องเมีย ลูกและเมียอีก ไหนยังจะงานสวนอีก
ช่วงนี้เป็นช่วงที่แย่ที่สุดของครอบครัวค่ะ เพราะมีแต่ภาระ หมายถึงว่า มีแต่คนต้องการความช่วยเหลือ คุณน้าเราเองก็เป็นข้อเข่าเสื่อมเดินไม่ถนัดนัก คุณแม่กับคุณป้าก็เดินมาก ๆ ไม่ได้ ปวดข้อเท้า คุณพ่อคนเดียวที่ยังแข็งแรง แต่ก็ 60 ต้นๆ แล้ว บ้านเราเป็นบ้านสวนค่ะ เป็นเกษตรกร ทำสวนผลไม้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอะไร แต่ก็ไม่ได้มีภาระหนี้สินอะไรเช่นกัน ทุกคนร่างกายเริ่มแย่จากการทำงานหนัก ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน เพื่อหวังให้ลูกหลานสบาย ไม่ลำบากแบบคนรุ่นตน จะได้ช่วยเลี้ยงดูในยามแก่เฒ่า เราก็เลยได้อานิสงค์จากตรงนี้ไปด้วย หลังจากย้ายกลับมาอยู่บ้านต่างจังหวัดแล้วก็ไม่ได้มีภาระต้องใช้จ่ายอะไรหนัก ๆ สบายๆ ไปวันๆ (แต่แบบไม่รู้อนาคตของตัวเอง)
จนกระทั่งเมื่อปีกว่าที่ผ่านมา ก็มีญาติที่ห่างมาก ๆ ของฝั่งคุณตาเรามาขอคบด้วย พี่เค้ายังโสดอายุ 40 แล้ว ก็ดูเหมือนจะไปกันได้ด้วยดีแอบมีความหวังว่า น่าจะมีหลานให้ที่บ้านได้ชื่นใจกันบ้าง เรามันก็ 36 เข้าไปแล้ว คบมาปีกว่า ยังไม่มีทีท่าว่าจะลงเอยในแบบที่คิดเอาไว้ พี่เค้าทำงานคนละจังหวัด กลับมาบ้านแค่เสาร์อาทิตย์ ไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันแบบคู่รัก แต่ไปไหนมาไหนด้วยกันแบบแฟนเฉยๆ มารับไปกินข้าว ดูหนัง ซื้อของเดินห้าง อะไรแบบนี้ ผู้ใหญ่ทั้ง 2 บ้านก็ดูจะโอเคกับเราทั้งคู่ แต่.. พี่เค้าเองยังมีภาระเรื่องบ้านเรื่องรถอยู่ ไม่มีเงินมากพอ ที่จะมาเริ่มต้นครอบครัวกับเราในเร็ววันนี้ได้ แต่ตรงนั้นไม่ใช่ปัญหาเท่ากับที่พี่เค้าอยากคบไปเรื่อยๆ มากกว่า คบไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้ลงเอยเมื่อไหร่ (สงสัยพี่เค้าคงจะเป็นเจ้าบ่าวที่กลัวฝน)
แต่แรกเลย เราเป็นคนบอกเค้าเองว่า เราขอคบไปเรื่อย ๆ เพราะเราขยาดจากการใช้ชีวิตคู่ในคราวที่แล้ว พอเวลาผ่านไป เราเองต่างหากที่เปลี่ยนใจ อยากจะเป็นครอบครัวเดียวกันขึ้นมา พี่เค้าเคยถามเราว่า จะให้สู่ขอแบบเป็นเรื่องเป็นราวถูกต้องตามประเพณี แล้วแยกกันอยู่ก็ดูจะไม่น่าโอเคเท่าไหร่ เนื่องจาก เค้ายังไม่อยากลาออกจากงาน ยังสนุกกับงานอยู่ ยังอยากสร้างความมั่นคงในชีวิตต่อไปก่อน
ถามว่าเราอยากที่จะมีชีวิตคู่อีกครั้งมั้ย เราเองก็กลัว เพราะความไว้ใจตัวเดียวที่ทำให้เราพลาดจากการแต่งงานคราวก่อน มาคราวนี้เราก็เลยค่อนข้างระแวง กลัวพี่เค้าไปมีคนอื่น เพราะเราก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาดึงดูดพี่เค้าไว้ ให้อยู่กับเราได้ตลอด มันก็สุข ๆ ดิบ ๆ ไป กลัวว่าจะไปไม่รอดอีก กลัวอะไรที่มองไม่ห็น แต่ที่กลัวกว่านั้นก็คือ กลัวจะต้องอยู่คนเดียว ไม่มีคนดูแลยามแก่เฒ่า กลัวจะสู้ภาระในอนาคตไม่ไหว ที่ต้องดูแลคนชราตั้ง 4 คน ที่ทะยอยแก่พร้อมๆ กัน อายุพวกท่านอาจจะไม่ยืนยาวเหมือนรุ่นคุณตาคุณยาย แต่ว่า ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกวัน เงินทองที่สะสมเอาไว้ อาจจะร่อยหรอไป เรื่องสวนที่เราไม่เป็นเอาเลย ไม่คิดขายเพราะมันเป็นสินทรัพย์ แต่ถ้าให้เค้าเช่าเหมาทำ รายได้ก็ต้องลดลงกว่าครึ่ง ดังนั้นต้องวางแผนเรื่องการใช้เงินในอนาคตเอาไว้ให้ดี ตอนนี้คิดแค่นี้ เรื่องชีวิตคู่ดูท่าทางจะยาก คงไม่มีใครอยากจะมาช่วยรับภาระเลี้ยงดูคนแก่ ถึง 4 คน ที่แก่พร้อมกันในคราวเดียวหรอก
ครอบครัวเราเองมองไปแล้วก็มีแต่ความเหี่ยวเฉานะคะ อยากได้เรื่องสดชื่น ๆ เข้ามาในชีวิตบ้าง การมีลูก อาจจะไม่ใช่คำตอบเดียวที่ทำให้ชีวิตเราดูมีอนาคต เพราะว่า ถ้าเลี้ยงเค้าไม่ดี และด้วยสภาพแวดล้อม สภาพสังคมที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็อาจจะทำให้เราพึ่งพาลูกไม่ได้ก็ได้ แถมบางทีอาจจะกลายเป็นภาระเข้าไปอีก
เราไม่รู้ทำบุญกรรมอะไรมาบ้าง ชีวิตเราถึงเป็นแบบนี้ เหมือนจะสุขสบาย แต่ก็ไม่ได้ครบหรือพร้อม เพียงไม่กี่ปี เราเจอทั้งการจากเป็นและจากตายในระยะเวลาติด ๆ กัน เราได้แง่คิดอะไรเยอะแยะ มองโลกเป็นขึ้น การอยู่คนเดียวหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น แข็งแกร่งขึ้น แต่มันอาจจะไม่พอที่จะมองเห็นหนทางที่จะทำให้เรามีความรู้สึกดี ๆ กับอนาคตข้างหน้าของเราได้ เราพยายามบอกตัวเองว่า อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อน อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตค่อยว่ากัน
กับความเจ็บป่วยในวัยชราของคุณตาคุณยาย เราเฉยๆ เพราะมันก็ต้องเป็นแบบนี้น่ะเอง จะตายวันตายพรุ่งเราก็ไม่รู้ เราก็เหมือนกัน ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง ว่าจะได้อยู่ทันดูแลพวกเค้ามั้ย ใครจะตายก่อนใครกัน เคยอยากให้โลกแตกเร็วๆ หรือเกิดภัยพิบัติอะไรก็ได้ ที่ทำให้ครอบครัวเราหายไปจากโลกนี้เลย
ไม่มีคำถามนะคะ แต่ถ้าจะช่วยวิเคราะห์หรือชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิต หรือวิธีคิดที่ทำให้สบายใจขึ้น จะขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ อยากได้ทั้ง 2 แนวเลยค่ะ ทางทางโลกแล้วก็ทางธรรมด้วย ตอนที่เราเคยแย่จากเรื่องชีวิตคู่ เราก็มาปรึกษาคนในห้องนี้เหมือนกัน ได้คำแนะนำเยอแยะมากมาย เป็นคำแนะนำดีๆ ทั้งนั้น มาคราวนี้ปัญหาชีวิตรุมเร้า ยังไงก็ช่วยให้คำแนะนำหน่อยแล้วกันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
จากคุณ |
:
สามมิติ
|
เขียนเมื่อ |
:
17 เม.ย. 55 15:18:02
|
|
|
|