เรื่องเอาแม่ไปไว้บ้านพักคนชรานี่คงต้องพักไว้ก่อนค่ะ เพราะท่านสุขภาพไม่ดี อีกทั้งเวลาก็เหลือน้อย ไม่ได้แช่งนะคะ คนอย่างเรา ๆ เวลาก็เวลาเหลือน้อยลงเหมือนกันค่ะ
เห็นใจจขกท.ค่ะ การดูแลคนป่วยเรื้อรังนี่ มันเหนื่อยไม่ใช่น้อย อีกทั้งเรายังต้องทำงานนอกบ้านอีก กลายเป็นว่าเหนื่อยสองเท่าเลย คนแก่ปกติก็นอนน้อยอยู่แล้ว นี่ท่านไม่สบาย อยากนอนก็คงนอนลำบากล่ะค่ะ
เราเองก็เตรียมตัวรับเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน แม่กับพ่อเราเป็นเบาหวานค่ะ อีกทั้งท่านยังตาบอดอีกด้วย แต่ทุกวันนี้ ก็ถือว่าคุมระดับน้ำตาลได้ดีพอควรค่ะ เรากับพ่อแม่อยู่กันคนละจังหวัด เราเป็นลูกสาวคนเ็ล็ก ยังไงภาระนี้ก็คงไม่พ้นเราแน่นอน
ยังคุยกับสามีอยู่ว่า อีกหน่อยถ้าตากับยายกลับมาอยู่่กับเรา สงสัยต้องหาคนมาช่วยดูแล โดยมีเราเป็นคนออกค่าใช้จ่ายเอง เพราะเราเองคงดูแลพ่อแม่ไม่ไหว เลยต้องหาคนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่ะ
โชคดีที่บ้านเรากว้างขวางพอใช้ มีบ้านเรือนไทยว่างอยู่หนึ่งหลัง กะเอาไว้ให้พ่อกับแม่อยู่จะได้เป็นสัดเป็นส่วน เวลาว่างจากการค้าขายก็แว่บไปคุยกับพ่อแม่ได้ แต่จะให้ทิ้งงานค้าขายเพื่อไปดูแลพ่อแม่เต็มตัว เห็นจะทำไม่ได้ค่ะ เพราะพ่อเราอารมณ์ร้อน ปากร้าย แม่เรานี่โดนประจำเลย แต่กับเรา ท่านจะไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ เพราะถ้าพูดกับเรานี่ เราจะคุยด้วยเหตุด้วยผลนะ ถ้าคุยไม่รู้เรื่อง เจอสวนกลับด้วยนะ ขอบอก
เรานับถือแม่เราจริง ๆ ที่อดทน ดูแลคนป่วยอารมณ์ร้ายแบบพ่อเราได้เป็นสิบ ๆ ปี พ่อเรานะ อยากจะด่าก็ด่า ไม่สนด้วยนะว่ามีใครฟังอยู่รึเปล่า แบบว่า ยิ่งคนเยอะยิ่งดี อย่างด่ากลางโรงพยาบาลนี่ ท่ารถนี่ พ่อเราถนัดนักแล แม่เราก็ได้แต่น้ำตาตกไป บ่นแต่ว่าเมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรม หลายครั้งที่แม่เราอยากหนีไป แต่ก็กลัวเราจะเดือดร้อน เพราะพ่อต้องมาอยู่กับเราแน่(ที่จริงพ่ออยู่บ้านใกล้กับพี่ชายมาก เดินไปหาก็ได้ แต่แบบว่าเขาไม่ค่อยลงรอยกันน่ะค่ะ) แม่ก็คงเห็นเราทำงานเหนื่อย ขืนต้องมาดูพ่ออีกนี่ เราต้องเครียดตายแน่เลย ดังนั้นแม่เราจึงจำต้องทนต่อไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่งแหละค่ะ
ขอให้จขกท.อดทน เวลาของท่านเหลือไม่มากแล้ว ทรัพย์ของแม่ ถ้าไม่ไหวก็ขายไปเถอะค่ะ เอามาบำรุงบำเรอความสุขก่อนที่ท่านจะสิ้นบุญดีกว่า