Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
อดีตคนอ้วน 120 กิโลกรัม ปัจจุบัน .......... ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับ

หลายๆ คนคงเห็นผมวนอยู่ในห้อง ก้นครัว และ ศุภัชลาศัย(เทนนิส) มาพอสมควร แต่วันนี้ อยากจะขอมาเยือนสวนลุมฯ เพื่อยืนยันถึงวิธีการลดน้ำหนักแบบน้อยเนยว่า ได้ผลจริงๆ และ อยากขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังลดน้ำหนัก ใช้วิธีลดแบบธรรมชาติเถอะครับ อย่าหน้ามืดตามัวไปหลงเชื่อผลิตภัณฑ์บางอย่างเลย มันไม่ยั่งยืนครับ

จากกระทู้นี้ของน้องเนย
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12013094/L12013094.html

ต้องขอชมว่าน้องเนยเก่งมากกกก 8 เดือนเอง ทำได้ขนาดนี้ ของผมใช้เวลาถึง 2 ปีครับ แต่วิธีเดียวกันเลยนะ

ก่อนอื่น ผมขอแนะนำตัวเล็กน้อย ผมนามแฝง Mr.Comsci อายุ 27 เป็นเด็กสายคอมฯ ในอดีตนั้น วันๆ ก็หมกหมุ่นอยู่แต่หน้าคอมฯ ใช้ชีวิต 3 ต (เตียงนอน โต๊ะคอม และ โต๊ะอาหาร) แต่ท่ว่า ย้อนกลับไปอีกผมเป็นเด็กอ้วนมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ แต่มันมา peak เอาช่วง ม.3-ปี 3 ครับ

ชีวิตของผมอยู่ในครอบครัวของคนจีน ซึ่งผู้ใหญ่ทุกคนจะชอบเด็กๆ ที่ทานเก่ง เพราะไม่อยากให้ผอมแห้ง (เดี๋ยวโหงวเฮ้งไม่ดี) แต่ท่ว่า ผมมันทานมากเกินพอดีสิครับ จนไม่มีใครเบรคอยู่

ถึงผมจะเป็นคนชอบเล่นกีฬามาก ทั้งว่ายน้ำ เทนนิส ปิงปอง แต่จุดเปลี่ยนของการมาเป็นเด็กอ้วนนั้น เริ่มตอน ป. 4-6 ที่โรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนผม มีอาหารกลางวันให้ทานได้แบบไม่จำกัด (เพราะรวมอยู่ในค่าเทอมแล้ว) เท่าที่จำความได้ เคยคึกคะนองแข่งกินกับเพื่อน จนน้ำหนักเริ่มขึ้นมาทีละน้อยๆ ตอนนั้นจำได้ว่าสูง 160cm. แต่หนัก 70kg.

พอถึงช่วง ม. ต้น มื้ออาหารของผมก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นอกจากข้าวผัดของโปรดจานโตแล้ว ยังต้องมีแฮมเบอร์เกอร์ ต่อตัวน้ำปั่นเหยือกโตๆ ตามด้วยเค้กหรือคุกกี้อีก 2-3 ชิ้น พอจบ ม. 3 สัดส่วนผมอยู่ที่ 180cm. 90kg.

พอเข้าช่วง ม.ปลาย น้ำหนักเจ้ากรรมก็ยิ่งฉุดไม่อยู่ ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้เอ็นท์ ยิ่งเรียนมาก ก็เครียดมาก เครียดมากก็กินมาก ขนมนี่เรียกได้ว่าเต็มตู้เย็น มีหยิบทานได้ไม่ขาดมือ กีฬาก็เล่นน้อยลง เพราะเริ่มอ้วน เล่นก็ไม่ค่อยไหว เวลาก็ไม่ค่อยมี ตอนนั้นก็ยังเฉยๆ กับตัวเองอยู่ หรือเป็นเพราะว่ามันชินตากันแน่นะ คนรอบข้างก็พยายามปลอบใจว่าน่ารัก เป็นอาเสี่ยไว้พุง.... แต่ไหนได้ จริงๆ แล้วมันอ้วนเกินไปแล้วครับ.... ตอนนั้นจบที่ 180cm 105kg

ความพยายามครั้งที่ 1....................................
เริ่มจากค่าย รด. เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก กลับมาก็ตกใจกับตัวเองครับ น้ำหนักหายไป 5kg ดีใจมาก เป็นจุดเริ่มต้นครั้งแรกของชีวิต ที่คิดจะลดน้ำหนัก แต่ด้วยความที่ว่ายังขาดประสบการณ์ การลดของผมคือ เล่นกีฬาพวกเทนนิสและปิงปอง คู่กับ "การอด" คือกินทุกมื้อให้น้อยลงมาก ถึง มากที่สุด ผลปรากฏว่า ลงจริง แต่ก็อยากนู่นนี่นั่นโน่นไปหมด ตอนนั้นดึงลงมาเหลือ 85 ได้ในตอนจบปี 1 ซึ่งก็เท่ากับว่าลดไปถึง 20 กิโล แต่ ไม่ มั่นไม่จบแค่นั้นครับ

ความล้มเหลวที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต.....................................
เมื่อผมเริ่มขึ้นปี 2 ความเครียดก็กลับมาเยือนอีกครั้ง ด้วยโปรเจควิชาภาคฯ ที่ถาโถมเข้ามามากมาย ชีวิตช่วงดึกได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ผมเริ่มมีสต๊อกของกินสะสมอยู่ในตู้เย็นมากมาย เรียกได้ว่า "เครียด หิว กิน" ใช้ชีวิต 3 ต "เตียงนอน โต๊ะอาหาร โต๊ะคอม" ความอยากที่สะสมมาปีนึงเต็มๆ มันได้กลับมาเยือนอีกครั้ง ผมตระเวนออกไปเที่ยวไกลบ้านมากขึ้น หาบุฟเฟ่ต์อร่อยๆ ทานกับเพื่อนๆ ทานบ่อยจนเพื่อนทานด้วยไม่ไหว สุดท้ายก็ไปคนเดียว ทานคนเดียว แล้วก็อ้วนคนเดียว :) กีฬาก็ไม่เล่นครับ ด้วยข้ออ้างง่ายๆ คือ "ไม่ว่าง"

ช่วงนั้นเรียกได้ว่า น้ำหนักทยานขึ้นอย่างรุนแรง จาก 85 กระโดดไปถึง 120 ในช่วงก่อนขึ้นปี 4

ระหว่างนี้ก็บอกกับตัวเองว่า ทำไมเราอ้วนอย่างนี้ เล่นกีฬาก็ไม่ไหว ออกไปเล่นเทนนิส แปปเดียวหน้ามืด ขึ้นสะพานลอย พอถึงข้างบนก็หน้ามืด แค่เดินก็เหนื่อยแล้ว แถมยังโดนผู้ใหญ่กระซิบมาอีกว่า ทำไมปล่อยเนื้อปล่อยตัวได้ขนาดนี้

ความพยายามที่จะลดก็กลับมาอีกครั้ง แต่ท่ว่า มันไม่สำเร็จเลยแม้แต่น้อย เริ่มจากลดปริมาณการกินให้พอเหมาะ แต่ก็ทำได้ไม่กี่วัน แล้วก็กินเยอะอีก กินมื้อดึกอีก


จนสุดท้ายก็ต้องพบกับจุดจบที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต.........................

กลางดึกคืนนึง
แม่ : ทำไมมันกรนดังจังว่ะ
(สักพักเสียงกรนเงียบไป แม่ก็เลยเดินไปหรี่แอร์เพราะหนาวมาก และแอร์ก็อยู่ตรงที่ผมนอนพอดี)

สิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าแม่คือ "ลูกชายหยุดหายใจ"
ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมตายแล้วจริงๆ ผมไม่หายใจเลย ความอ้วนนั้น ทำให้คางผมเต็มไปด้วยไขมันหนาเตอะ ไปกดทับหลอดลมเสียจนหายใจไม่ออกซะอย่างงั้น

แม่ : ตื่นๆๆๆๆ ตื่นสิลูก พร้อมกับเขย่าตัว ปลุกให้ตื่น

สักพักผมตื่นขึ้นมา แม่บอกกับผมว่า ผมหยุดหายใจไป นึกว่าลูกตายไปแล้วซะอีก มันเป็นคืนที่ผมจะจดจำไปยันวันตายเลย



นี่คือจุดเริ่มต้นของการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน
จัดระเบียบชีวิตใหม่............................

วันรุ่งขึ้น ทุกคนในบ้านต่างร่วมมือร่วมใจกัน เคลียร์ของกินที่สามารถหยิบทานได้เลยออกจากตู้เย็นทั้งหมด ผมเองก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะทำภาระกิจนี้ให้สำเร็จ
แต่ท่ว่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดซักเท่าไหร่นัก

ช่วง สัปดาห์แรก ผมยังคงกินข้าว 3 มื้อ ในปริมาณที่เหมาะสม มีเคล็ดลับอยู่ว่า ก่อนกินข้าวให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ และหลังกินข้าวให้แปรงฟัน ระหว่างมื้อถ้าหิวก็กินน้ำเข้าไปเยอะๆ
ผมแอบใจร้อน ไปชั่งน้ำหนักดู ปรากฏว่ามันไม่ลงเลยครับ ไม่กระเทือนแม้แต่น้อย..........

ผมจึงค่อยๆ เริ่มเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้น พอเหมาะพอดีกับตอนนั้นรุ่นน้องก็ชวนไปฟิตเนสที่ศูนย์กีฬาฯ ผมก็ไปครับ ซึ่งปรกติแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกีฬาในร่มแบบห้องแอร์เลย เรียกได้ว่าฝืนความรู้สึกสุดๆ
วันแรกๆ เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก แค่เดินบนสายพานก็หอบแล้วครับ แต่ไม่ ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของผม ผมพาตัวเองเข้าฟิตเนสทุกวัน ตามสภาพที่จะรับไหว วันละ 1-2 ชม. เล่นบ้าง พักบ้าง อู้บ้าง

ช่วงนี้เริ่มจัดระเบียบชีวิตได้ครับ อาหารเริ่มเข้าที่ เช้ากินข้าวราดแกงตามใจชอบ 1 จาน กลางวัน ส้มตำข้าวเหนียวหมูปิ้ง ตกเย็นแก้วมังกรและฝรั่ง ตามด้วยน้ำเปล่ามากๆ เป็นอาหารหลักตลอดในช่วง 2-3 เดือนนี้
ผมแอบกลับไปชั่งน้ำหนักดู ปรากฏว่า ลงมา 1 กิโลครับ ดีใจมากกกกกกกกกกกกกก

จากนั้น ก็เข้าฟิตเนสทุกวัน ยกเว้นเสาร์อาทิตย์ พักร่างกายสักหน่อย
คอร์สไล่จากเบาไปหาหนัก ตัวอย่างเช่น
มาวันแรก เดิน 4 km/h = 10 นาที พัก 10 นาที
ผ่านไป 2 เดือน สามารถ วิ่งเหยาะๆ 7km/h = 20 นาที
ผ่านไป 4 เดือน สามารถ วิ่งเหยาะๆ 8.5 km/h = 30 นาที
ผ่านไป 6 เดือน สามารถ วิ่งจริงจัง 10 km/h = 30 นาที
ช่วงที่เล่นแรงสุดๆ สามารถวิ่งเป็นเรื่องเป็นราว 12km/h = 45 นาทีเลยครับ
ผมว่าการวิ่งเป็นอะไรที่เบิร์นได้ดีมาก หลายยคนมักจะท้อกับการวิ่งมากๆๆๆๆๆ รวมทั้งผมด้วย
ขอให้ทุกท่านอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ตอนเริ่มวิ่งใหม่ๆ จะรู้สึกเหนื่อยครับ ขอให้ทุกท่าน อย่าหยุด
จงวิ่งต่อไป ช้าๆ เนิบๆ เท่าที่ไหว สักพัก มันจะรู้สึกเฉยๆ ไปเอง หรือที่เรียกกันว่า "เครื่องติดแล้วครับ"
พอเครื่องติดแล้ว จะวิ่งไปอีกนานเท่าไหร่ ร่างกายก็จะรู้สึกเฉยๆ ช่วงนี้หละครับ รีบกอบโกยเลย ร่างกายกำลังเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง น้ำหนักจะลงก็จากตรงนี้แหล่ะครับ ^_^

หลังจากนั้นเวลาอยู่ในฟิตเนสแต่ละวันก็นานขึ้นๆ จาก 30 นาที --- 1 ชม. จนถึงช่วงที่เล่นได้ดี ก็วันละ 3 ชม.
นอกจากวิ่งแล้ว ผมก็ไปเล่นพวก machine ต่างๆ เพื่อกระชับกล้ามเนื้อด้วยครับ ค่อยๆ เพิ่มเหล็กไปทีละแผ่นๆ ตามที่กำลังเราจะมี

ช่วงนี้น้ำหนักลง เดือนละ 1 โลๆๆๆ มาเรื่อยๆ ครับ ช่วงกลางๆ ลดแบบโหดขึ้น 2-3-4 โลต่อเดือน  แต่จำได้ว่ามีอยู่เดือนนึง ลง 8 โลเลยครับ น้องสาวไปเรียน ไปอยู่หอ ไม่ได้กลับบ้านมาเดือนนึง ถึงกับตกใจเลยทีเดียว
ช่วงที่ผมหนักเหลือแค่ 90 นั้น ผมเริ่มกลับไปเล่นกีฬาสุดโปรดของผมคือ เทนนิส อีกครั้งนึง เรียกได้ว่า เริ่มตีไหวแล้วครับ

การควบคุมแคลอรี่นั้นเป็นสิ่งสำคัญ.....................................
ช่วงที่ผมเข้มๆ กับการลดน้ำหนักนั้น ผมลิมิตตัวเองไว้ว่า ให้มี input แต่ละวันเพียง 800 kcal เท่านั้น
การจัดอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญและระวังมาก เช่น ส้มตำ ก็ไม่ใส่ถั่วลิสงและกุ้งแห้ง แม่ค้าตั้งชื่อเมนูนี้ให้ผมว่า "ตำไดเอท" เรียกได้ว่า ขายดิบขายดี โดยเฉพาะ บรรดาสาวๆ ที่ต้องการลดหุ่น
อาหารก็ต้องไม่มันจัด งดแกงกะทิ และ fast food ยกเว้นช่วงให้รางวัลตัวเอง

ระหว่างทาง...........ทรมานบ้างไหม.............จัดระเบียบกับกิเลสของชีวิตอย่างไร.......................
แน่นอน มีครับ มีท้อเป็นธรรมดาในช่วง 6 เดือนแรก แต่พอเราทำจนชินแล้วนั้น มันจะรู้สึกเฉยๆ ครับ แรกๆ ทุกคนก็รู้สึกทนไม่ได้
จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนของการลดน้ำหนักเลยครับ เรียกได้ว่าเป็นก้าวสำคัญ ต้องเข้มแข็ง อดทน และ มีเป้าหมายโดยปราศจากข้ออ้างใดๆ

แต่แน่นอน ผมก็ยังคงให้รางวัลกับตัวเองบ้าง เช่น กินบุฟเฟ่ต์เดือนละ 1 ครั้ง โดยมีกฏว่า จะต้องกินมื้อเที่ยงเท่านั้น และงดอาหารมื้อเย็น
หรือแม้กระทั่ง ไปทานไอติม หรือ fast food อย่างไก่ทอด หรือ พิซซ่า ก็ทานบ้างครับ ให้พอหายอยากสัปดาห์ละครั้งเป็นพอ

ส่วนเรื่องเครื่องดื่มนั้น ผมคงโชคดีที่ไม่ชอบน้ำอัดลม และ ช่วงที่ลดน้ำหนักนั้น ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองไป จนตอนนี้ไม่ชอบดื่มอะไรเลย นอกจากน้ำเปล่า

----------------
| คำเตือน |
----------------
อย่าเพิ่งให้รางวัลกับตัวเองจนกว่าจะสามารถควบคุมวินัยในการกินได้



สู่เป้าหมายที่ต้องการ........................

ถ้าทุกคนที่ผ่านช่วง 6 เดือนแรกไปได้นั้น ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่า โอกาสสำเร็จจะมีสูงแน่นอน
ผมลดน้ำหนักไปเรื่อยๆ จนผมต้องการและพอใจกับผลที่ได้ ช่วงเดือนท้ายๆ ผมเริ่มเหยียบเบรคเบาๆ เพื่อให้น้ำหนักหยุดลดด้วยการกลับไปกิน ให้ครบ 2,000 kcal ตามปรกติ
น้ำหนักของผมก็ค่อยๆ ชะลอลงๆ จนมาจบที่ 70 kg ครับ โดยใช้เวลาลดทั้งหมดอย่างจริงจัง ช่วงกลางปี 2549 - ต้นปี 2551 ครับ

ชีวิตที่เปลี่ยนไป........................
แน่นอน ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด
ผมต้องไปทำบัตรประชาชนใหม่เพราะตำรวจหาว่าผมเป็นตัวปลอม
รอบเอวที่ลดไปถึง 13 นิ้ว น้ำหนักหายไป 50 kg
ผมสามารถเดินขึ้นสะพานลอยรวดเดียวได้โดยไม่หน้ามืดหรือรู้สึกเหนื่อยอีกแล้ว
ผมสามารถร่วมรายการวิ่งมินิมาราธอน 10km ได้แบบสบายๆ
ผมสามารถเล่นเทนนิสได้ยาวนานหลายชั่วโมง โดยไม่รู้สึกทรมานแต่อย่างใด
ผมสามารถกินอะไรก็ได้ตามที่ผมอยาก เป็นครั้งคราว ผ่อนเบาผ่อนหนัก ตามสภาพ โดยไม่ทรมานหรือรู้สึกอยากเหมือนแต่ก่อน
ผมสามารถกินของต้องห้ามได้ โดยที่น้ำหนักไม่กระเทือนแม้แต่น้อย (แต่ไปออกกำลังกายนะ) พวก เบเกอรี่ ไอศครีม ฯลฯ

กฏของการลดน้ำหนัก ของผม.........................................
- ต้องแบ่งเวลามาเล่นกีฬาให้ได้ โดยปราศจากข้ออ้างใดๆ (ตอนนั้นผมทำ senior project เวลาก็น้อย แต่ก็ยังให้ priority กับกีฬาได้ครับ วันละ 1-3 ชม.)
- พยายามข่มใจตัวเองเมื่ออยาก หรือ หาสิ่งอื่นทดแทนโดยที่ไม่ส่งผลต่อน้ำหนัก เช่น อยากดื่มแป๊ปซี่ก็กิน pepsi max บ้าง
- ห้ามอดอาหารเด็ดขาด กินให้ครบ 3 มื้อ แต่เลือกกินให้ถูกต้องและเหมาะสม
- ห้ามอดนอนเด็ดขาด การนอนน้อย ทำให้ร่างกายเผาผลาญแย่ลง (ในความรู้สึกผมนะ)
- ให้รางวัลกับตัวเองได้บ้าง เมื่อสามารถอยู่ในวินัยในการกินได้อย่างเคร่งครัด

เมื่อสร้างนิสัยเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ได้ ความอ้วนก็จะไม่กลับมาถามหาทุกท่านอีกแน่นอนครับ ^_______^
ขอให้ทุกท่านโชคดีและประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักนครับ :)

แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 03:06:26

 
 

จากคุณ : mrcomsci
เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 02:56:29




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com