|
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแคลเซียม
1. แคลเซียมและฟอสฟอรัสทำงานร่วนกันเพื่อให้กระดูกและฟันแข็งแรง แต่ถ้าพี่น้องกินอย่างไม่รู้เรื่อง ก็แย่หน่อยนะ ถ้าผมจะบอกว่า ฟอสฟอรัสที่มากไป ทำให้ร่างกายเสียแคลเซียมได้ ดังนั้นการกินแคลเซียมต้องถูกสัดส่วนกับฟอสฟอรัสฮ๊าฟฟ
2. แคลเซียมและแมกนีเซียมทำงานร่วมกันเพื่อให้หัวใจและเส้นเลือดมีสุขภาพดี
3. แคลเซียมต้องมากับวิตามินดีเพราะถ้าไม่มีวิตามินดีแคลเซียมจะถูกดูดซึมได้ไม่ดี
5. การกินอาหารพวกโปรตีน ไขมัน อาหารกรด จะช่วยให้แคลเซียมดูดซึมได้ดี แต่หากกินอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันสูง หรือ อาหารทีเป็นกรดสูง ก็จะทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมมากขึ้น เนื่องจากระบบย่อยโปรตีนจำเป็นต้องใช้แคลเซียม นอกจากนี้แล้วความเป็นกรดของโปรตีน ไขมัน หรืออาหารกรด ทำให้ร่างกายจำเป็นต้องใช้แคลเซียมมาสะเทินกรดเหล่านั้นให้เป็นกลาง
6. อาหารที่อุดมไปด้วยกรดออกซาลิก เช่น โกฐน้ำเต้า ผักโขม บีท หรือ ช็อคโกแล็ต ผักกระเฉด ใบชะพลู จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเนื่องจากกรดออกซาลิกจะไปจับตัวกับแคลเซียม กลายเป็น แคลเซียม ออกซาเลต ซึ่งร่างกายดูดซึมไม่ได้ แต่ ผักคะน้า กลับเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม อีกทั้งเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีอีกด้วย
7. อาหารที่อุดมไปด้วยกรดไฟติก หรือไฟเตต ซึ่งพบในพวก ธัญพืช, Whole grain, ทำให้การดูดซึมแคลเซียมแย่ลง ดังนั้น ที่ว่า งา เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีกว่านม หรือ เป็นแหล่งแคลเซียมคุณภาพสูงนั้น ก็ห่างไกลความเป็นจริงซะแล้ว (จริงๆแล้วมีพืชผักตั้งหลายอย่างที่ให้แคลเซียมสูง แต่ที่เค้าเน้นงาดำก็เพราะการตลาดล่ะครับ จูงใจให้คนกินงาดำ กำไรเยอะดี ส่วนผักคะน้า กวางตุ้ง ก็ปล่อยให้มันเหี่ยวแห้งต่อไปเพราะมันต่ำต้อยด้อยค่า ด้อยราคา เค้าเลยไม่เล่นกัน)
8. อาหารที่มีกากใยสูง หรือ อาหารที่มี Caffeine ไม่ว่าจะเป็น น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม เหล่านี้ จะไปลดการดูดซึมแคลเซียม
9. ผลิตภัณฑ์จากนม แม้จะเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี เพราะเป็นแคลเซียมในรูป แคลเซียม เคซิเนต คือ สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง โดยไม่ต้องแตกตัวก่อน ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมที่ได้จากนม ได้มากที่สุด แต่ก็ยังมีข้อกังขา เกี่ยวกับผลกระทบของนมต่อสุขภาพ ถึงแม้ว่ามีงานวิจัยเป็นพันๆ ฉบับที่กล่าวถึง IGF-1 ที่มีในนมต่อการเกิดมะเร็ง แต่ก็ไม่มีผลงานใหนกล้าฟันธงชัดเจนลงไปเลยว่า การกินนมมีผลต่อมะเร็ง ถึงแม้กระนั้นก็ตาม ก็ยังเป็นที่กังขาของผมอย่างมากต่อการกินนม (ความคิดเห็นส่วนตัว) อีกทั้งนม ยังเป็นบ่อเกิดของการเสื่อมของเซลล์ร่างกาย นำไปสู่ ความชรา ซึ่งถึงแม้ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือได้เป็นชิ้นเป็นอัน แต่เราสามารถอธิบายได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (ความคิดเห็นส่วนบุคคล กรุณาอย่าก้าวก่ายสิทธิในการแสดงความเห็น) นอกจากนั้นแล้ว โปรตีน และ แคลเซียมในนม ยังทำให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่านมจะเป็นแหล่งแคลเซียมอย่างดี แต่ฟอสเฟตที่มีอยู่ในนมก็สามารถก่อให้เกิดปัญหาได้ เพราะว่าฟอสเฟตและแคลเซียมจะจับตัวกันกลายเป็นสารประกอบชนิดใหม่ก็คือ แคลเซียม ฟอสเฟต ซึ่งเป็นเกลือที่ไม่ละลายน้ำ จึงดูดซึมไม่ได้ อีกทั้งมีอัตราส่วนระหว่างแคลเซียมและแมกนีเซียมไม่เหมาะสม (15 : 1) นอกจากนี้ ยังมีปริมาณของฟอสฟอรัสในปริมาณสูงกว่าแคลเซียมถึง 8 - 20 เท่า ผลก็คือเร่งการขับแคลเซียมออกทางไต นอกจากฟอสฟอรัสแล้ว โปรตีนซึ่งหน่วยย่อยของมันคือกรดอะมิโน กับ ไขมัน ก็ล้วนแต่มีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้ต้องสะเทินฤทธิ์กรดในกระแสเลือดให้เป็นกลาง ซึ่งแร่ธาตุที่เอามาสะเทินก็คือแคลเซียม แล้วเอาแคลเซียมมาจากใหนล่ะ คำตอบก็คือ จากกระดูกและฟัน !! ดังนั้น นมเลยเป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระดูกผุได้ !!!
10. แคลเซียมจะถูกดูดซึมได้ดีขึ้นหากกินพร้อมอาหาร เนื่องจากในขณะกินอาหารนั้นกระเพาะจะหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาพเป็นกรดออกมา ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการละลาย (แตกตัว) ของแคลเซียมในรูปเกลือต่างๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือมันจะถูกดูดซึมได้ดีกว่าเดิมแค่ 10% เท่านั้น ดังนั้นในความคิดผม กินตอนใหนก็ให้ผลพอๆกันนั่นแหละ แต่ถ้ากินพร้อมอาหารก็อาจจะดีขึ้นมากระเบียดนิ้วเดียว ก็เท่านั้น
11. การกินแคลเซียมเสริมในปริมาณที่สูงมากเกินไปอาจจะก่อให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ แต่หากได้รับแคลเซียมสูงมากๆจากอาหารกลับพบว่าไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น ในชนเผ่ามาไซ (Masai) ในแอฟริกา กินแคลเซียมที่ได้จากอาหารสูงถึง 5,000 มก./วัน แต่ก็ไม่มีอันตราย ดังนั้นควรรับแคลเซียมจากอาหารเสียก่อน หากไม่สามารถหาแคลเซียมจากอาหารได้เพียงพอ ค่อยหาแคลเซียมเสริมกินนะครับ
12. หากเราได้รับแคลเซียมระว่างวันละ 500 -2000 mg จากอาหารหรือแหล่งอื่นก็ตาม ร่างกายจะดูดซึมเอาไว้ใช้ตามความจำเป็น และ ความต้องการเป็นวันต่อวัน โดยจะส่งบางส่วนไปเก็บไว้ที่กระดูก ส่วนที่เหลือใช้ ก็จะขับออกไปกับปัสสาวะ แต่ถ้าหากว่าเราได้รับแคลเซียมในปริมาณต่ำกว่าระดับที่ร่างกายต้องการติดต่อกันเป็นเวลานาน ร่างกายจะดึงแคลเซียมที่เก็บไว้ในกระดูกออกมาใช้ ถึงแม้จะดึงจนกระดูกกร่อนก็ตาม ร่างกายก็จะดึงออกมา สู่กระแสเลือด ไม่มีกั๊ก
13. ปริมาณการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดจะ ขึ้นลง มากน้อย ขึ้นอยู่กับอายุ โดยทารกจะดูดซึมแคลเซียมถึง 60% ของแคลเซียมที่กินเข้าไป หลังวัยทารก การดูดซึมแคลเซียมก็จะค่อยๆลดลง และ กลับเพิ่มขึ้นใหม่ในช่วงวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่การเจริญเติบโตอย่างแรง พอถึงวัยหนุ่มสาว การดูดซึมแคลเซียมก็จะเหลือเพียงประมาณ 25% ของปริมาณแคลเซียมที่กินเข้าไป นอกจากนี้ การดูดซึมแคลเซียมของหญิงมีครรภ์จะเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะต้องเอาไปใช้ในการสร้างโครงกระดูกของทารกในครรภ์ สภาพอย่างนี้ จะเป็นเหมือนๆกัน ไม่ว่าจะตั้งครรภ์ในช่วงอายุใดก็ตาม การดูดซึมแคลเซียมของหญิงหมดประจำเดือน หญิงหรือชายวัยสูงอายุ จะค่อยๆลดลง (ประมาณปีละ 0.2%) ตลอดไป
14. เชื้อชาติ ก็มีผลต่อการดูดซึมแคลเซียม พบว่าเชื้อชาติ แอฟฟริกัน-อเมริกัน ดูดซึมแคลเซียมได้พอๆกับพวกคอเคเชียน แต่ เชื้อชาติ แอฟริกัน - อเมริกัน จะสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายทางปัสสาวะน้อยกว่าเชื้อชาติคอเคเชียน ด้วยเหตุนี้ เชื้อชาติ แอฟริกัน - อเมริกัน จึงมีกระดูกที่หนากว่า แข็งแรงกว่า และกระดูกหักน้อยกว่า เชื้อชาติคอเคเชียน
15. ผู้เชียวชาญทั้งหลายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การออกกำลังกายเป็นกิจจกรรมที่สำคัญ ที่จะทำให้กระดูกมีการพัฒนาทั้งทางด้านคุณภาพและปริมาณ โดยการออกกำลังกายจะทำให้กระดูกแข็ง ได้รูป และช่วยเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูก แต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ร่างกายปรับกระดูกให้มีสภาพเช่นนั้นได้ด้วยวิธีการใด
16. ระบบฮอร์โมนที่ซับซ้อนร่วมกับวิตามินดี เป็นปัจจัยในการควบคุมระดับแคลเซียมในเลือด ฮอร์โมนหลักที่มีส่วนร่วมในกระบวนการนี้คือ พาราไทรอยด์ ฮอร์โมน และ แคลซิโทนิน
17. วิตามินดีทำหน้าที่รักษาระดับแคลเซียมในกระแสเลือดให้เป็นปกติ ซึ่งถ้าหากแคลเซียมในกระแสเลือดตำ่กว่าปกติ ร่างกายจะเร่งดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ และ ไต เข้าสู่กระแสเลือดให้มากที่สุดเท่าที่ร่างกายต้องการ โดย calcitriol จะชักนำให้แคลเซียมจับกับโปรตีนพิเศษภายในเซลล์ของลำไส้ และด้วยกลไกอิสระ calcitriol ก็จะกระตุ้นให้เกิดการดูดซึมฟอสเฟตจากลำไส้ด้วย นอกจากนี้ วิตามินดียังมีฤทธิ์ตรงต่อไต โดยทำให้ไตดูดแคลเซียมและฟอสเฟตกลับอีกด้วย ในขณะเดียวกันก็จะสลายแคลเซียมที่สะสมในกระดูกออกมาสู่กระแสเลือด (ทำงานร่วมกันระหว่างพาราไทรอยด์ ฮอร์โมน และ วิตามินดี)
Note calcitriol คือวิตามินดีที่พร้อมใช้งาน/ในรูปที่ออกฤทธิ์ โดยเริ่มจากวิตามินดี (ทั้ง ergocalciferol (D2) และ cholecalciferol (D3)) จะถูกตับเปลี่ยนเป็น 25-hydroxycholecalciferol เสียก่อน จากนั้นไต จะเปลี่ยนต่อเป็น 1,25-dihydroxycholecalciferol หรือเรียกสั้นๆว่า calcitriol นั่นเอง
ดังจะเห็นได้้ว่าตับและไต มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนวิตามินดี ให้เป็นแคลซิไทรออล แต่โรคตับนั้นไม่ได้หน่วงเหนี่ยวกระบวนการ แต่โรคไตวายก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรง นั่นคือ คนที่ป่วยเป็นโรคไตวายก็จะผลิตแคลซิไตรออลได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลเซียมได้ รวมถึง ไตของผู้เป็นโรคเบาหวานก็ด้วย ซึ่งไตที่ถูกทำลายจากโรคเบาหวานก็ก่อให้เกิดการสูญเสียเนื้อกระดูกด้วยกลไกที่ว่านี้เช่นกัน การแก้ไขทำโดยการให้แคลซิไทรออล เพื่อคงระดับแคลเซียมเอาไว้
18. อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงมากเกินไป แต่แคลเซียมต่ำ จะทำให้เกิดภาวะ Hyperthiroidism ซึ่งมีผลต่อระดับฮอร์โมน ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียแคลเซียม พูดง่ายๆก็คือ หากแคลเซียมสูงไปจะเกิดการสูญเสียฟอสฟอรัส แต่หากฟอสฟอรัสสูงไปจะเกิดการสูญเสียแคลเซียม โดยอาจจะทำให้แคลเซียมไปเกาะอยู่นอกกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไต ทำให้กระดูกอ่อน และพรุน การดูดซึมแคลเซียมก็จะลดลงด้วย
19. การประเมินสภาพของแคลเซียมเป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่มีวิธีการตรวจเลือดหรือการตรวจแบบอื่นแม้แต่เพียงอย่างเดียวที่สามารถสะท้อนผลของแคลเซียมจากโภชนาการได้ การวัดระดับแคลเซียมในเลือดไม่สามารถบอกอะไรได้ เพราะระดับแคลเซียมมีการจัดการอย่างรัดกุมโดยร่างกาย ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดจึงมีอยู่วิธีเดียวก็คือ การได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ ทุกๆวัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักให้เหลือน้อยที่สุด
20. การขับถ่ายโซเดียมและแคลเซียมทางไตมีความสัมพันธ์กันกล่าวคือ เมื่อไตขับถ่ายโซเดียม ไตก็จะขับถ่ายแคลเซียมออกไปด้วย
แคลเซียมที่ควรเลือกซื้อ
1. แคลเซียมที่ดีที่สุดคือ แคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ หรือ แคลเซียมซิเทรต หรือ แคลเซียมไฮโดรเจนฟอสเฟต หรือ แคลเซียมคาร์บอนเนต (รสชาติแย่ แต่ได้เปอร์เซนต์แคลเซียมสูงที่สุด) อาการหรือโรคบางอย่างอาจไม่เหมาะกับแคลเซียมในรูปที่เสนอไป หากพี่น้องสงสัยควรปรึกษาแพทย์ส่วนตัวของพี่น้องก่อน หรือ ปรึกษาผมได้โดยตรงครับ
2. ถ้าเป็นไปได้ควรกินแคลเซียมที่มี วิตามินซี วิตามินดี วิตามินเคทู(K2) วิตามินเอ วิตามินบี2 วิตามินบี5 วิตามินบี6 วิตามินบี12 โบรอน กรดโฟลิค สังกะสี ซิลิคอน โปแตสเซียม แมงกานีส แมกนีเซียม และ ฟอสฟอรัส โดยแคลเซียม : แมกนีเซียม : ฟอสฟอรัส ควรเป็น 2 : 1 : 1 นะ หรือ แคลเซียม : แมกนีเซียม เป็น 1 : 1 อีกอย่างหนึ่งคือแคลเซียมที่เราเลือกไม่ควรมี เหล็ก และ โซเดียม คับ (อาการหรือโรคบางอย่างอาจจะต้องปรับสูตรยา เช่น เอาวิตามินบางอย่างเสริมเข้ามาหรือถอนวิตามินบางตัวออกไป พี่น้องทุกคนอาจจะได้รับสูตรแคลเซียมที่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องได้รับวิตามินครบหมดทุกตัว ดังที่กล่าวไว้ หากพี่น้องสงสัยควรปรึกษาแพทย์ส่วนตัวของพี่น้องก่อน หรือ ปรึกษาผมได้โดยตรงครับ)
3. ขนาดยาไม่ควรเกิน 500 mgต่อการกินในแต่ละครั้ง เพราะแคลเซียมจะถูกดูดซึมได้ดีกว่าการกินครั้งละมากๆ (มากกว่า 500 mg) ดังนั้นหากจะให้แคลเซียมถูกดูดซึมได้ดีที่สุด ก็ควรแบ่งกินครั้งละ 250 mg จะดีมาก เช่น หากต้องการกินแคลเซียม 1000 mg ต่อวัน ก็แบ่งกินเป็น 4 เวลา พร้อมอาหาร เช้า กลางวัน เย็น และ ก่อนนอน
4. แร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบควรผ่านกระบวนการคีเลชัน(Chelation)แล้ว เนื่องจากจะทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมแร่ธาตุนั้นๆเข้าสู่ร่างกายดีที่สุด (อ่านเพิ่ม)
5. ไม่ควรกินแคลเซียมโดโลไมต์หรือกระดูกป่นอัดเม็ดเพราะเสี่ยงต่อการได้รับโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
6. เนื่องจาก ธาตุเหล็ก อาจจะลดการดูดซึมแคลเซียมลงประมาณ 40% - 50% ดังนั้นไม่ควรกินแคลเซียมร่วมกับธาตุเหล็ก (ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมมากๆ ก็ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป)
จากคุณ |
:
เฟยเฟย (ultramaths)
|
เขียนเมื่อ |
:
22 พ.ค. 55 09:13:29
|
|
|
|
|