ยาวมากนะครับ แต่คุณผู้หญิงควรอ่านครับ
อาจจะเป็นเม็ดซีสต์ครับ ซีสต์ในเต้านมพบได้บ่อยครับ เป็นเรื่องที่คุณผู้หญิงควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องซีสต์กันไว้บ้างครับ
ซีสต์ในเต้านมเป็นสิ่งผิดปกติในเต้านมที่พบได้บ่อยที่สุดครับ พบมากกว่าก้อนเนื้อหรือมะเร็งซะอีก ในประเทศตะวันตกมีรายงานว่าพบร้อยละ 7 ของผู้หญิง แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีของเครื่องอัลตราซาวนด์ก้าวหน้ามาก ซีสต์ขนาด 2-3 มิลลิเมตรก็ตรวจพบ ดังนั้นจำนวนที่พบจริงน่าจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวเลขดังกล่าวมาก ช่วงอายุที่พบได้บ่อยที่สุดคือช่วง 40-50 ปี
ซีสต์ในเต้านมคืออะไร? ซีสต์ หรือที่เรียกว่าถุงน้ำ เป็นความผิดปกติที่มีผนังบางๆ แล้วมีน้ำอยู่ภายใน คล้ายลูกโป่งที่ภายในบรรจุน้ำ คำว่าถุงน้ำหรือซีสต์นี้สามารถใช้เรียกได้กับทุกอวัยวะในร่างกาย เช่น ซีสต์ในรังไข่ ซีสต์ในไต ซีสต์ในตับ
ซึสต์ในเต้านมเกิดขึ้นได้อย่างไร? เต้านมของผู้หญิงเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำนม เลี้ยงทารกที่คลอดออกมา ประกอบด้วยต่อมผลิตน้ำนม ที่ต่อกับท่อสาขาของท่อน้ำนมประมาณ 15-20 lobes แล้วเปิดออกสู่หัวนม ในบางครั้งมีการเจริญของเซลล์มากเกินไป ทำให้เกิดท่อน้ำนมอุดตัน ท่อน้ำนมจะขยายแล้วมีน้ำอยู่ภายใน (ซึ่งไม่ใช่น้ำนม) มีขนาดได้ตั้งแต่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ จนถึงขนาดใหญ่อย่างลูกเทนนิส ถ้ามีซีสต์หลายๆ เม็ดทั่วเต้านมจะมีศัพท์ทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า Fibrocystic changes หรือ FCC เดิมเรียกว่า Fibrocystic disease แต่ปัจจุบันเชื่อกันว่าภาวะนี้ไม่ใช่ โรค แต่เป็น การเปลี่ยนแปลง ที่สามารถเกิดได้ใหม่ ดีขึ้น แย่ลง หรือหายไปเองได้ จึงใช้คำว่า Fibrocystic changes แทนที่จะเป็น Fibrocystic disease
ซีสต์ในเต้านมเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง? อันดับแรกคือฮอร์โมนเพศหญิงโดยเฉพาะเอสโตรเจน ฮอร์โมนเพศหญิงที่รังไข่ผลิตมี 2 ชนิด คือ เอสโตรเจน (estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (progesterone) ฮอร์โมนเพศหญิงทั้ง 2 ตัวนี้จะทำหน้าที่ควบคุมการเจริญของไข่จากรังไข่ และควบคุมการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อเตรียมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ถ้าตัวอ่อนไม่ได้รับการผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกตัวกลายเป็นประจำเดือน ดังนั้นฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้จะเกี่ยวข้องกับรอบประจำเดือนโดยตรง
เต้านมเป็นอวัยวะแสดงความเป็นเพศหญิง มีหน้าที่ผลิตน้ำนม ดังนั้นจึงได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนเพศหญิงทั้ง 2 ชนิดนี้เช่นกัน โดยเอสโตรเจนจะทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง และการยืดตัวของท่อน้ำนม (elongation) ส่วนโปรเจสเตอโรนจะเกี่ยวข้องกับการแตกแขนง (branching) และการพัฒนาต่อมผลิตน้ำนม
ในสตรีที่ได้รับฮอร์โมนเสริมวัยทอง (Hormonal replacement therapy หรือย่อว่า HRT) พบการเกิดซีสต์ในเต้านมมากกว่าสตรีกลุ่มที่ไม่ได้รับฮอร์โมนเสริม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่าในสตรีที่ได้รับยาต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่มีชื่อว่า tamoxifen ในการรักษามะเร็งเต้านม พบซีสต์ในเต้านมน้อยลงหรือหายไป
ปัจจัยต่อมาคือภาวะใกล้หมดประจำเดือน (perimenopausal status) ดังที่กล่าวข้างต้นว่าช่วงอายุที่พบซีสต์ในเต้านม ได้บ่อยที่สุดคือช่วงอายุ 40-50 ปี ในวัยนี้ปริมาณเอสโตรเจนในช่วงก่อนตกไข่สูงกว่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของรอบประจำเดือนในหญิงอายุน้อย จึงทำให้มีโอกาสเกิดซีสต์ได้มากกว่า
นอกจากปัจจัยข้างต้น เชื่อว่ากรรมพันธุ์ก็มีผลต่อซีสต์ในเต้านม ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่มีการผ่าเหล่า (mutation) ในยีนที่มีชื่อว่า BRCA1 หรือ BRCA 2 นอกจากเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ยังพบการเกิดซีสต์ในเต้านมสูงขึ้น
อาการของซีสต์ในเต้านม ซีสต์ที่มีขนาดเล็กหรืออยู่ลึกในเต้านมอาจตรวจไม่พบจากการคลำ แต่บางคนอาจมีอาการเจ็บบริเวณที่มีซีสต์ โดยตรวจร่างกายไม่พบก้อนก็เป็นได้ ถ้าซีสต์มีขนาดใหญ่หรืออยู่ใกล้ผิวหนังจะคลำได้เป็นก้อน ขอบเรียบ จับโยกได้เล็กน้อย อาจสังเกตว่าก้อนที่คลำได้นี้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือเจ็บมากขึ้นในช่วงใกล้มีประจำเดือน (ช่วงเวลาเดียวกับที่มีอาการคัดตึงเต้านม) และรู้สึกว่าเล็กลงหรือเจ็บน้อยลงหลังมีประจำเดือน เนื่องจากซีสต์มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศหญิงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
จะรู้ได้อย่างไรว่าก้อนที่คลำได้เป็นซีสต์ ในการวินิจฉัยก้อนในเต้านมจะใช้หลัก Triple test หรือการทดสอบ 3 อย่าง ประกอบด้วยการตรวจร่างกายโดยแพทย์ การส่งตรวจแมมโมแกรมและ/หรืออัลตราซาวนด์ และการเจาะตรวจโดยใช้เข็มเก็บชิ้นเนื้อ (Core needle biopsy หรือ CNB) หรือใช้เข็มฉีดยา (Fine needle aspiration หรือ FNA)
การตรวจร่างกายอาจไม่สามารถแยกระหว่างก้อนเนื้อและซีสต์ได้ ศัลยแพทย์บางท่านอาจใช้เข็มฉีดยาเล็กๆ ลองดูดที่ก้อน ถ้าดูดได้น้ำแล้วก้อนที่คลำได้นั้นยุบลง สามารถวินิจฉัยว่าก้อนที่คลำได้นี้เป็นซีสต์ ในขณะที่ศัลยแพทย์บางท่านอาจส่งตรวจแมมโมแกรม และอัลตราซาวนด์ก่อนที่จะทำการเจาะน้ำ
การตรวจเต้านมด้วยแมมโมแกรมไม่สามารถแยกระหว่าง ก้อนเนื้อและถุงน้ำได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากธรรมชาติของเนื้อและน้ำจะมีความทึบรังสีใกล้เคียงกัน เครื่องมือตรวจที่ให้การวินิจฉัยซีสต์ได้ดีที่สุดคืออัลตราซาวนด์ ลักษณะของซีสต์ที่ปรากฏในอัลตราซาวนด์จะมีลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นซีสต์ที่อวัยวะใด กล่าวคือมีผนังบางเรียบ รูปร่างรูปไข่หรือรูปกลม (ส่วนใหญ่เป็นรูปไข่) เห็นเป็นก้อนสีดำ (ถ้าเป็นก้อนเนื้อจะเป็นสีเทา) และมีแถบสีขาวหลังก้อน ถ้าพบลักษณะดังกล่าวสามารถให้การวินิจฉัยว่าเป็นซีสต์ได้อย่างถูกต้อง โดยทางการแพทย์จะเรียกว่าซีสต์ลักษณะนี้ว่า Simple cyst
ซีสต์เสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหรือไม่ ซีสต์ในเต้านมไม่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ถึงแม้เป็นภาวะที่สร้างความรำคาญ เช่น เป็นก้อนอยู่เรื่อยๆ เจ็บ ฯลฯ แต่สบายใจได้ว่าถ้าได้รับการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ ยืนยันว่าเป็นซีสต์ ซีสต์นี้ไม่กลายเป็นมะเร็งเต้านมอย่างแน่นอน การพบซีสต์ 1 เม็ดกับ 20 เม็ด พบซีสต์ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ก็ไม่เสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเท่ากัน
การรักษาซีสต์ ในเมื่อซีสต์ไม่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม สามารถหายได้เอง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากไม่มีฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่มากระตุ้น ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำอะไร การเจาะดูดน้ำ (FNA) มักพิจารณาทำในกรณีที่
1. ซีสต์ทำให้มีอาการผิดปกติ เช่น คลำได้ก้อน เจ็บ การเจาะดูดน้ำจะทำให้ซีสต์และอาการเจ็บหายไป
2. ต้องการน้ำในซีสต์ส่งตรวจทางเซลล์วิทยา เนื่องจากลักษณะทางอัลตราซาวนด์ของซีสต์ดังกล่าวไม่ใช่ simple cyst
ถ้าซีสต์นี้คลำได้จากการตรวจร่างกาย ศัลยแพทย์มักจะเป็นผู้เจาะดูดน้ำ ถ้าน้ำที่ได้ไม่มีเลือดปน ไม่จำเป็นต้องส่งตรวจเซลล์ แต่ในทางปฏิบัตินั้นพบว่าคนที่ไปรับการรักษาเกือบทั้งหมด อยากให้ส่งน้ำที่ได้ตรวจเซลล์ โดยให้เหตุผลว่าไหนๆ ก็เจาะแล้วจะทิ้งก็เสียดาย ในตำราจะแนะนำให้ตรวจเต้านมโดยการคลำหลังเจาะ 6 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าซีสต์ไม่กลับมาอีก แต่ถ้าน้ำที่เจาะได้มีเลือดปนจำเป็นต้องส่งตรวจเซลล์ และตรวจแมมโมแกรมร่วมกับอัลตราซาวด์เพราะอาจมีโอกาสที่ซีสต์นี้ ไม่ใช่ซีสต์ธรรมดา แต่มีมะเร็งซ่อนอยู่ ซีสต์ที่เจาะยุบแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นมาใหม่ในช่วงเวลาไม่นาน เช่น ไม่กี่สัปดาห์ก็กลับเป็นซ้ำอีก ก็จำเป็นต้องส่งตรวจเซลล์และตรวจแมมโมแกรมร่วมกับอัลตราซาวด์เช่นกัน
ในกรณีที่ซีสต์คลำไม่ได้แต่มีอาการเจ็บเฉพาะที่ ตรวจอัลตราซาวนด์พบว่าเจ็บจากซีสต์ สามารถเจาะดูดน้ำโดยดูจากอัลตราซาวนด์ วีธีนี้มีข้อดีตรงที่สามารถแน่ใจได้ว่าเข็มอยู่ในซีสต์ที่ต้องการดูดจริง และประเมินได้ว่าดูดน้ำออกจนหมด
ควรปฏิบัติตัวอย่างไรหากเป็นซีสต์ที่เต้านม? มีคนมาถามอยู่เสมอๆ ว่ามียารับประทานให้ซีสต์หายไปหรือไม่ คำตอบคือในขณะนี้ยังไม่มียาตัวใดที่ใช้รักษาซีสต์ในเต้านม แต่เราสามารถลดปัจจัยเสริมได้ เช่น ถ้ารับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ อาจเลี่ยงโดยใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่น เนื่องจากยาคุมกำเนิดจะมีฮอร์โมนเพศหญิง
ในกรณีที่มีอาการเจ็บเต้านมที่เกี่ยวข้องกับซีสต์ แนะนำให้สวมเสื้อชั้นในชนิดซัพพอร์ตเพื่อพยุงเต้านม นอกจากนี้มีงานวิจัยที่ตั้งข้อสังเกตว่า คาเฟอีนในอาหารทำให้เจ็บเต้านมมากขึ้น ในกลุ่มผู้หญิงที่มีอาการเจ็บเต้านมที่เกี่ยวข้องกับซีสต์
การลดอาหารที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา ช็อกโกแลต อาจช่วยบรรเทาอาการได้ การลดปริมาณเกลือหรือโซเดียมในอาหาร อาจช่วยให้การคั่งของน้ำในท่อน้ำนมลดลง แต่การศึกษายังไม่เป็นที่สรุปว่าได้ผลมากน้อยเพียงไร
ระยะหลังมีงานวิจัยพบว่าน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส (evening primrose oil) ชนิดรับประทาน อาจช่วยลดอาการเจ็บเต้านมที่เกี่ยวข้องกับซีสต์ได้เช่นกัน แต่ยังต้องรอการศึกษาต่อเนื่องจึงจะสามารถสรุปผลได้อย่างแน่ชัด
ถึงตรงนี้คงต้องบอกคุณผู้หญิงทุกคนว่าซีสต์ในเต้านมนั้นพบได้บ่อย บางครั้งอาจสร้างความรำคาญเช่น คลำได้ก้อน ทำให้เจ็บ แต่ถ้าตรวจแล้วเป็นซีสต์แน่นอนก็ให้สบายใจได้ว่า ไม่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและไม่กลายเป็นมะเร็งเต้านม ถ้าไม่มีอาการไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะเมื่อเข้าสู่วัยทองซีสต์เหล่านี้จะดีขึ้นหรือหายไปได้เอง แต่ถ้ามีอาการ เช่น คลำได้เป็นก้อน เจ็บสามารถรักษาโดยการใช้เข็มเจาะดูดน้ำออก โดยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
จากคุณ |
:
MonoEye
|
เขียนเมื่อ |
:
5 มิ.ย. 55 17:41:36
|
|
|
|