ความคิดเห็นที่ 1 เราคิดว่าการวิ่ง ใช้พลังงานมากกว่า การเดิน ในความเร็วที่เท่ากัน เพราะต้องออกแรงมากกว่า จขกท ก็รู้สึกได้ว่าเหนื่อยกว่าเยอะ ในเวลาที่เท่ากันเช่น 30 นาที ถ้าจะเน้นเบรินวิ่งก็คงดีกว่าเดินเร็ว แต่ถ้าวิ่งได้ไม่นาน เช่น 10 นาที แต่เดินเร็วได้นาน 40 นาที เดินเร็วก็ดีกว่า ตอบจากความเข้าใจ ถูกผิดไม่รู้เหมือนกันนะคะ จากคุณ : lin&bukky เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 06:41:32

ความคิดเห็นที่ 2 การที่ร่างกายจะเผาแคลอรี่ไปมากน้อยขึ้นอยู่กับระยะทางครับ ไม่ใช่ความเร็ว (อันนี้คนสับสนเยอะมาก) เช่น วิ่ง 6km/hr เป็นเวลาสิบนาที = ได้ระยะทาง 1km ร่างกายจะใช้แคลอรี่ไปเท่ากับ เดิน 1km/hr เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ไม่เชื่อไปลองโปรแกรมคำนวณแคลอรี่ต่างๆได้ จำนวนแคลอรี่ที่ใช้ไม่เกี่ยวกับความเร็วครับ ดังนั้นหมายความว่าถ้าคุณไม่ชอบวิ่งเร็ว ก็เดินเอา แต่ทำให้นานหน่อย ก็จะเผาแคลอรี่ได้เท่ากัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าการออกกำลังกายที่หนักกว่า(ในที่นี้คือวิ่งเร็วกว่า) จะไม่ดีนะครับ ถ้าสามารถทำให้หัวใจเต้นเร็ว 79% ของการเต้นสูงสุดได้ สัดส่วนแคลอรี่ที่ร่างกายดึงมาใช้ส่วนใหญ่จะเป็นไขมันครับ แถมถ้าวิ่งเร็วกว่าก็จะใช้เวลาออกกำลังน้อยกว่าด้วยครับ อิอิ จากคุณ : ชอจิ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 08:36:41

ความคิดเห็นที่ 3 โดยทั่วไปนะคะ เบินมากเบินน้อยสังเกตที่อัตราการเต้นของหัวใจ เต้นมากหรือเหนื่อยมากร่างกายทำงานหนัก สูบฉีดเลือดหมุนเวียนใช้ออกซิเจนไปเผาเป็นพลังงานได้เยอะกว่าเหนื่อยน้อย เว้นแต่ในคนที่อาจจะมีปัญหาสุขภาพหรือโรคบางอย่างที่ทำให้อัตราการเต้นหัวใจไม่ปกติก็อาจจะใช้ตรงนี้ดูยากค่ะ โดยทั่วไปยิ่งออกกำลังกายหนัก ยิ่งเบินแคลอรี่ได้เยอะกว่าทำให้เบินไขมันได้เยอะตามไปด้วย เมื่อเทียบกับการออกกำลังกายเบาในเวลาเท่ากัน เช่นวิ่ง 1 ชม เบินแคล ได้ 600 เป็นไขมันซะ 30% หรือเบินไขมันคิดเป็น 180 แคล ในขณะที่เดิน 1 ชม. เบินแคลอรี่ 300 เป็นไขมันซะ 50% หรือเบินไขมันคิดเป็น 150 แคล แบบสองอาจจะเบินไขมันได้ในสัดส่วนมากกว่า แต่โดยรวมแล้วแบบแรกก็เบินได้ทั้งหมดมากกว่าอยู่ดี สำหรับคนละน้ำหนัก จึงแนะนำให้ออกกำลังกายที่ระดับปานกลาง-หนักไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาเยอะ หรืออาจจะออกแบบ interval คือหนัก สลับ เบา ก็ได้เช่นกัน ฝึกความแข็งแรงหัวใจ ปอดด้วย จากคุณ : GetCha เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 08:53:38

ความคิดเห็นที่ 4 วิ่งเร็วกับเดินนี่ ถึง แม้จะดูเหมือนเผาผลาญแคลอรี่เท่ากัน แต่ ผลมันต่างกัน วิ่งเร็วจะทำให้เกิด EPOC หรือ afterburn เหมือน เล่นเวทหนักๆ  ทำให้เผาผลาญต่อเนื่องไปอีก 15นาที-48 ชั่วโมง หลังออกกำลังกาย วิ่งเร็ว ร่างกายต้องใช้คาร์บเป็นหลัก ทำให้ร่างกายดึงไกลโคเจนมาใช้ หลังออกคุณสามารถทานคาร์บได้ เหมือนไกลโคเจนยังไม่เต็ม คาร์บที่ทานเข้ามาก็เปลี่ยนเป็นไขมันได้ยาก การวิ่งเร็ว ทำให้ร่างกายพัตนาหรือสร้าง ไมโทคอนเดรีย(ช่วยในการเาลาญพลังงานมีเยอะก็เผาเยอะ) ต่างจากการเดินที่จะเผาผลาญ แค่ช่วงเวลาที่ออกกำลังกาย สรุปเลยละกัน ขี้เกียจพิมล่ะ รายละเอียดมันเยอะ เดี๋ยวจะงง555 ทำมันทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ สลับกันไป ถ้าฟิตๆก็วิ่ง วันไหนล้าๆก็เดิน จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 09:59:15

ความคิดเห็นที่ 5 ^ ^ ขอเสริมหน่อยนะครับ After Burn ของการทำคาร์ดิโอนั้นมี แต่จะไม่เยอะมากครับ (จากที่ผมอ่านมา ผิดถูกคุณ bankpakim ช่วยแย้งด้วยครับ) สาเหตุเนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถวิ่งเร็วจนถึงขั้นทำให้ร่างกายเกิด After Burn Effect ได้นานพอ การทำคาร์ดิโอด้วยการสลับหนักเบา (วิ่งเต็มแรง พัก วิ่งเหยาะ สลับกันไปเรื่อยๆ) สามารถสร้าง After Burn Effect ได้ดีกว่า แต่ก็ยังไม่เยอะมากอยู่ดี ถ้าอยากหวังผลจาก After Burn จะต้องเทรนจำพวก Circuit Training หรือ Strength Training คือการยกเวท หรือ การออกกำลังที่สลับคาร์ดิโอกับเวท เนื่องจากร่างกายจะถูกใช้งานถึงขีดสุดได้นานและบ่อย เส้นใยกล้ามเนื้อจะฉีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ร่างกายต้องฟื้นฟูตัวเองมากหลังจากเล่นเสร็จ ซึ่งทำให้ After Burn เกิดได้นานกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น เหมือนที่คุณ bankpakim บอกไว้ว่า ไม่ต้องไปใส่ใจมากหรอกว่าจะต้องวิ่งเร็วเท่านั้น วันไหนฟิตก็วิ่ง วันไหนช้าก็เดิน ใช้พลังงานให้มากกว่าที่กินเข้าไปก็ผอมเองแหละครับ อิอิ จากคุณ : ชอจิ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 11:14:57

ความคิดเห็นที่ 6 ผมถึงบอกช่วงเวลามายังไงล่ะครับว่า 15นาที-48ชั่วโมงหลังออกกำลังกาย อย่างที่เข้าใจอ่ะครับ ร่างกายมนุษย์วิื่งเต็มแรงได้แค่ช่วงสั้นๆ ประมาณ 20 วิ  เค้าถึงมี คนคิดค้นโปรแกรม HIITออกมาให้เราทรมานร่างกายกันเล่น ส่วนเรื่องวิ่ง ถ้า เป็น วิ่ง sprint โค้ชบางคนเค้าจัดให้เทียบเท่าการเล่นเวทเลยทีเดียว ิอีกอย่างผมจะไม่ค่อยว่า การฝึกอะไรแบบไหนส่งผลอย่างไรนะครับ แต่ จะมองให้ลึกไปเลยว่า กิจกรรมที่ทำนั้นร่างกายทำงานแบบไหน anaerobic หรือ aerobic http://www.simplyshredded.com/cardio-for-fat-loss-high-intensity-interval-training-cardio-vs-low-intensity-steady-state-cardio.html ลองอ่านดูครับ เปรียบเทียบได้ดีมาก จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 11:43:40

ความคิดเห็นที่ 7 คุณชอจิ เข้าใจถูกแล้วล่ะครับ ดันไปมองคนละมุม555 จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 12:02:42

ความคิดเห็นที่ 8 Article ดีมากเลยครับ :) จากคุณ : ชอจิ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 12:16:29

ความคิดเห็นที่ 9 สมควรเก็บเข้าคลังกระทู้เป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : lin&bukky เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 15:41:46

ความคิดเห็นที่ 10 เคยอ่านเจอว่า วิ่งกับเดินให้พลังงานพอพอกัน ถ้าระยะทางเท่ากัน แต่การวิ่งจะทำให้หัวใจสูบฉีดด้วย ดังนั้นผลที่ได้ทางอ้อมคือ เลือดลมสูบฉีดดี แล้วก็หน้าเด็กลงด้วยค่ะ จากคุณ : ชิเล่น (นิกะชิ) เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:13:03

ความคิดเห็นที่ 11 ความคิดเห็นที่ 10 ชอบตรงที่บอกว่า "...หน้าเด็กลงด้วยค่ะ" แฮ่ะๆ อยากหน้าเด็กลง คงต้องวิ่งเยอะ ๆ ซะแล้ว จากคุณ : เพียงดิน เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 20:44:15

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกความเห็นมากเลยค่ะ ขอบคุณ article ดีๆจากคุณ Bankpakim ด้วยค่ะ แต่อ่านแล้วก็ยังสงสัยอยู่ว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่าที่เรากำลังออกอยู่นี้มันถึงระดับ HIIT แล้ว คือเหมือนใน article จะบอกว่า ณ จุดๆนั้น เราจะรู้สึก uncomfortable แต่ก็ยังข้องใจว่าแล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองเป็นคนที่ uncomfortable ง่ายไปรึเปล่า แบบว่าเหนื่อยง่าย เมื่อยง่ายเกินไปมั้ย แต่จริงๆแล้วยังอยู่ในระดับ LISS อยู่เลยใช่มั้ยเนี่ย 5555 จากคุณ : that's da way .. aha~ aha~ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 22:25:04

ความคิดเห็นที่ 13 -*- ผมวิ่ง 7 กิโล หัวใจยังเต้นปกติเลย จากคุณ : nuacool เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 02:39:48

ความคิดเห็นที่ 14 วิ่งกับเดือน ต่างกันตรงไหน วิ่ง เมื่อเราทำภารกิจเสร็จ ก้ามเนื้อยังคงทำงานร่างกายยังใชิ แครอลลี่ มาเผาพลาญอยู่หลังจากที่เราทำการวิ่งเสร็จ เดิน ร่างกายจะใช้แคล ในการทำกิจกรรมเท่านั้นเมื่อหยุดเดินก็หยุดเผา จากคุณ : nuacool เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 02:41:01

ความคิดเห็นที่ 15 พอดีอ่านเจอ เลยอยากแชร์ข้อมูลอีกด้าน ลองอ่านแล้วตัดสินใจดูค่ะ http://stronglifts.com/hiit-interval-training-fat-loss/ จากคุณ : ณัฏฐา เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 55 01:14:45

ความคิดเห็นที่ 16 วิ่งดีกว่าค่ะ จากคุณ : ความสุขของคนโดดเดี่ยว เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 13:53:03