Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
@ ... โรคไข้รากสาด ยังไม่ได้หมดไปจากประเทศไทย ... @ ติดต่อทีมงาน

สวัสดีค่ะ สมาชิกที่สนใจด้านสุขภาพ ทุกท่าน


   เมื่อ 10 ปีมาแล้ว อยู่ดี ๆ วันหนึ่งยายมีไข้สูง กินยาลดไข้ คือพารา ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ก็ไม่ดีขึ้น ...

พอย่างวันที่ 3 ยายรีบไป รพ เพราะกลัวว่าจะเป็นไข้เลือดออก  

รพ เอกชน ที่ข้างบิกซีบางใหญ่ ให้ยายนอนหยอดน้ำเกลือ และรอเช็คเลือด เช็คปัสสาวะ  
พอมีไข้ก็ให้พารา ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 4 -5 ครั้ง

ยายนอนที่นั่น 2 คืน ไม่มีการรักษาอะไรเป็นพิเศษ ได้แต่ส่งพยาบาลมาบอกว่า ถ้ามีไข้เมื่อใดให้เรียก
เพื่อมาให้พารา 2 เม็ด  ยายตัดสินใจขอย้ายไป รพ ที่เบิกได้ เพราะคาดว่าคงจะป่วยอีกหลายวัน


แต่ละวันที่นอนใน รพ แห่งใหม่ มีคุณหมอมาตรวจ มีพยาบาลมาเจาะเลือดทุกวัน  และยายต้องเก็บปัสสาวะทุกครั้ง  
ที่สำคัญคือ ทุกครั้งที่ไข้ขึ้นสูง กว่า 40 เซลเชียส ยายจะได้พารา ครั้งละ 2 เม็ด จากมือพยาบาล
โดยการสั่งไว้ของแพทย์เจ้าของไข้  หนึ่งวันจะมีไข้หลายรอบ ตลอด 24 ชม.  


เวลาผ่านไป จนถึงวันที่ 8 ของการเป็นไข้  แพทย์ประจำตึก มาเยี่ยม  และรำพึงขึ้นว่า  

"น่าจะไม่ใช้ไข้เลือดออก เพราะกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว ไข้ยังสูงมาก"  แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม

รุ่งขึ้น แพทย์เจ้าของไข้มาเยี่ยม และดูผลตรวจเลือดก็อุทานขึ้นว่า  

“ หยุดกินพารา เพราะตับอักเสบมาก”

แล้วก็ถามยายว่า  “กินพารามากี่วันแล้ว วันละกี่เม็ด”  

พอยายตอบไปว่า “กิน วันละกว่า 10 เม็ด ติดต่อกันมา 7 วันแล้ว  
หากนับที่กินเองก่อนเข้า รพ วันละ 2-3 เม็ด ก็อีก 2 วัน”

คุณหมอก็ดุทันที  “คุณไม่รู้หรือว่า พารามีอันตรายกับตับ ห้ามกินติดต่อกันหลาย ๆ วัน”


ยายน้ำตาเล็ดในทันใด เพราะเวลานั้น ยายร่างกายอ่อนแอมาก มีความทุกข์มาก กับการเจ็บป่วย
ปกติยายไม่เคยป่วย  ยายแข็งแรงมาก และการจะกินยา ก็อยู่ในความดูแลของหมอกับพยาบาล ตลอดมา  

ที่แย่มาก ๆ คือ ยายไม่เคยคุ้นเคยกับยาพารา ไม่เคยอ่านฉลากที่เขาเขียนเตือนไว้  
ไม่งั้นยายต้องทักท้วงกับพยาบาล เพราะยายเป็นนักประท้วง  

เมื่อยาย ต้องหยุดยาพารา เวลามีไข้สูง เขาก็มาเช็ดตัวให้ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ ซึ่งเรื่องน้ำนี่ เป็นของโปรด
ยายไม่มีปัญหาเรื่องสีปัสสาวะเลย สีสวยมาก คือเหลืองอ่อน ๆ


เมื่อย่างเข้าวันที่ 11 ของการเป็นไข้  ยายต้องตรวจคำประพันธ์ในโอกาสวันแม่แห่งชาติ
ผลงานของอาจารย์ในเขต กทม.จำนวนนับร้อย ๆ ชิ้น  

ยายตรวจอยู่ตลอดคืน  เพราะเขาจะมารับในวันรุ่งขึ้น
พอไข้ขึ้น ก็เช็ดตัวเอาเองและลงนอนพัก อีกหนึ่ง ชม.ต่อมาก็ลุกขึ้นตรวจต่อ  

ช่วงที่ตรวจอยู่นั้น นิ้วมือของยายมีอาการปวด จับปากกาไม่สะดวก เหมือนบีบไม่ลง
จับได้ไม่แน่น และเวลาไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกหัวเข่าปวดมาก อยากร้องไห้อีกแล้ว

นี่เรานอนเสียจนร่างกายเสียหายขนาดนี้เชียวหรือ คิดไปต่าง ๆ นานา ...

รุ่งเช้า พยาบาลมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า พอเช็ดที่นิ้ว ยายบอกช่วยเบา ๆ หน่อย มันปวด  
พอสายวันนั้น คือวันที่ 12 สิงหาคม 2546  เป็นวันที่ 12 ของการเป็นไข้
คุณหมอเจ้าของไข้มาเยี่ยม พยาบาลรายงานว่า คนไข้ปวดตามข้อ  

เท่านั้นแหละ ไข้ของยายก็เอวัง เพราะอาการปวดข้อ ช่วยให้คุณหมอสันนิษฐานได้ว่า  
ยายน่าจะเป็นไข้รากสาดน้อย  คุณหมอจึงสั่งจ่ายยาตัวใหม่ในวันนั้น

เมื่อได้ยาใหม่ไปไม่กี่มื้อ ไข้ก็เริ่มลด อาการปวดข้อก็ค่อย ๆ คลายลง  

วันที่ 14 ของการเป็นไข้ ยายรู้สึกดีขึ้นมาก  แต่แรงยังไม่กลับมา  
คุณหมอบอก ต้องกินยารักษาตับ อีก 2 เดือน จึงจะแข็งแรงเหมือนเดิม  
และห้ามทำงานหนัก เพราะตับเสียหายมาก  ต้องกลับมาเช็คเลือดตามหมอนัด

พอยายกลับบ้าน ไม่รู้จะหาความรู้เรื่องไข้รากสาดที่ไหน จึงเปิดพจนานุกรมดู  
เพราะโรคนี้ยายคุ้น ๆ ว่าคนโบราณเป็นกันมาก และเจ้านายหลายพระองค์เสียชีวิตเพราะโรคนี้


ในพจนานุกรม อธิบายไว้ ดังนี้    

รากสาด  โรคกลุมนี้มีอาการไข้สูงนานเป็นสัปดาห์ มีผื่นขึ้น แบ่งเป็น 2 ชนิด
คือ ไข้รากสาดน้อย และไข้รากสาดใหญ่  

รากสาดน้อย โรคติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typhi มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ซึม  
และทำให้สำไส้อักเสบและเป็นแผล  ถ้าร้ายแรงลำไส้จะทะลุและมีเลือดออกมากับอุจจาระ  

เรียกโรคที่เกิดจากการติดเชื้อดังกล่าวนี้ว่า ไข้รากสาดน้อย ...


จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542  หน้า 947


ยายได้ถามคุณหมอเจ้าของไข้  ถึงสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคนี้  

คุณหมอบอกว่า ส่วนใหญ่มาจากอาหาร ที่มี หนู แมลงสาบ เป็นพาหะ  

ติดต่อได้จากทางเดินอาหารช่องทางเดียว


ก่อนเป็นไข้ ยายก็อยู่ปกติที่บ้าน  หากจะนับย้อนขึ้นไป จะมีกลางเดือน ก.ค. 46 ได้ไปสัมนาที่เชียงใหม่  
มีการซื้อส้มตำในตลาดขึ้นมาทานในโรงแรม แต่ทานกับเพื่อนอาจารย์ที่ไปด้วย อาจารย์คนนั้นก็ไม่มีอาการอะไร  

และขณะที่ยายป่วย ลูกที่ไปนอนเฝ้า เขาเฝ้าไปก็ป่วยไป มีไข้รุม ๆ อยู่หลายวัน
บุญรักษาแล้ว ที่ลูกไม่เป็นมาก  และไม่ต้องกินพาราจนตับมีปัญหาไปอีกคน  
แค่ได้เช็ดตัวไข้ก็ลด  แต่ของยาย ทั้งเช็ดตัว ทั้งดื่มน้ำเยอะ ๆ ก็ยังมีไข้สูงมากทุกวัน วันละ 5-6 รอบ

และบุญแล้วที่ยายรอดชีวิตมาได้  แม้จะกลับจาก รพ. พร้อมโรคใหม่ คือตับอักเสบ
ต้องกินยา กินอาหาร บำรุงตับอยู่อีกนาน กว่าร่างกายจะฟื้นคืนสภาพเดิม  

ถือว่ายายโชคดีมาก ที่มาทราบภายหลังว่า คุณหมอเจ้าของไข้ ท่านเป็แพทย์เฉพาะทางด้านโรคเมืองร้อน
ท่านจึงจ่ายยาได้ตรงโรคทันที ที่รู้ว่ายายปวดตามข้อ  หากไม่ใช่คุณหมอท่านนั้น  
ช้าไปได้อีกกี่วันนะ ที่ยายจะต้องเท่งทึง  ไม่อยากคิดต่อ ขอจบดีกว่า


อยากฝากผู้อ่านทุกท่านว่า  โรคไข้รากสาด ที่รัฐบาลไทยประกาศขึ้นบัญชีว่า โรคนี้หมดไปจากประเทศไทยนานแล้วนั้น  
ความจริงแล้ว มันยังอยู่ และยังมีคนเป็นจนเกือบตาย คน ๆ นั้น สุขภาพดี และระมัดระวัง ทั้งเรื่องการป้องกัน และการรักษา
ไม่เคยเพิกเฉยกับเรื่องสุขลักษณะ  จึงเชื่อว่า อาจจะมีพี่น้องชาวไทยที่อยู่ห่างไกลการรักษาพยาบาล  
ต้องเสียชีวิตไปเพราะโรคนี้อยู่เนือง ๆ  เป็นแน่


ปล. เรื่องการเจ็บป่วยที่ว่านี้ ยายเคยเขียนเล่าไว้ ในช่วงที่กลับจาก รพ ใหม่ ๆ แต่ตอนนั้น ยายรู้จักแต่โต๊ะเฉลิมกรุงแห่งเดียว  
ต้องขออภัย ที่เพิ่งคิดได้ ว่าน่าจะนำมาบอกเล่าไว้ที่นี่ด้วย ช้าไปแค่ 10 ปีเอง ให้อภัยคนแก่ ๆ น้าค้า

ด้วยความขอบคุณ ผู้อ่านทุกท่าน  จุ๊บๆ

จากคุณ : ยายอุ๊ดจัง
เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 18:46:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com