ความคิดเห็นที่ 1 ที่สำคัญก็คือ ทำไมกระทรวงสาธารณสุขไม่สำรวจว่า เป็นยาอะไรบ้าง อย่างละกี่เม็ด เป็นราคาเม็ดละกี่บาท รวมแล้วเป็นมูลค่าของยาที่ประชาชนเอาไปทิ้ง(เก็บไว้เฉยๆโดยไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์) นั้นมีมูลค่ากี่ร้อยกี่พันล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อจะได้รู้ว่างบประมาณค่ารักษาประชาชนที่ต้องจ่ายไปปีละเกือบสองแสนล้านบาทนั้น ได้”ทิ้งไป”โดยหาประโยชน์อันใดมิได้ เพราะการที่ประชาชนใช้ยาอย่างทิ้งๆขว้างๆ แต่นี่ได้ข่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขจะเอายาหมดอายุไปเผาทิ้ง (รีบทำลายหลักฐานการใช้ยาฟุ่มเฟือยเสียแล้ว) แล้วกระทรวงสาธารณสุข เสียงบประมาณค่าไข่ อีก 100.000คูณด้วย 77 จังหวัด เป็นเงิน อีก 7,700,000 บาทโดยไม่ได้ข้อมูลกลับมาเลยว่า ประชาชนคนไทยที่ยากจน ยอมเสียเวลาเอายาเก่าไปแลกไข่ใหม่(มาปรุงอาหารกิน) นั้น ได้ทิ้งยาไปมีมูลค่ามากมายมหาศาลแค่ไหน? และจาก ข้อมูลของเว็บ ThaiClinic.com  จากประสบการณ์จากหมอในรพ.แห่งหนึ่ง บอกว่า มีประชาชนประมาณ 200 คนเอายามาแลกไข่คืนประมาณ 3 ลัง และพบว่าในจำนวนยาที่หมดอายุนั้น ยังเป็นแผงยาที่เรียบร้อย ยังไม่มีการแกะเอายาไปกินเลย มีความเห็นหนึ่ง บอกว่า จะไปเปิดร้านอาหารบุฟเฟต์ ให้คนมากินฟรีไม่อั้น แล้วก็ขอกลับไปกินต่อที่บ้านได้อีกไม่อั้น เนื่องจากพนักงานประจำห้องอาหารไม่กล้าขัดใจคนที่มากิน เพราะเดี๋ยวจะถูกคาดโทษ ส่วนอาหารที่เอาไปกินที่บ้านเหลือเท่าไร ไม่ว่าจะบูดเน่าอย่างไรก็สามารถเอามาแลกนมกล่องหรือข้าวสารที่ร้านได้อีก เดี๋ยวจะเชิญสื่อต่างประเทศมาดูงาน บอกว่าเป็นร้านที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ความเห็นนี้ช่างเหมือนความเห็นของเจ้ากระทรวงสาธารณสุขจริงๆ ตามข่าวที่มีข่าวว่านายวิทยา บูรณศิริ เสนอให้ระบบหลักประกันสุขภาพไทยเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศอาเซียน โดยในข่าวกล่าวว่าประเทศเวียตนาม ลาว ฟิลิปปินส์ เตรียมนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม คำว่า “ประยุกต์” นี่เป็นคำสำคัญที่สุดที่ประเทศอาเซียนจะต้อง “เข้าใจ” ว่าพวกเขาควรดูประเทศไทยเป็นแบบอย่างได้ แต่อย่าทำอย่างที่ประเทศไทยทำ เพราะจะประสบหายนะในไม่ช้า ได้แต่หวังว่าประเทศเขาจะมีผู้นำทางสาธารณสุขที่ “ฉลาดและวางแผนงานอย่างสมเหตุสมผล” คือไม่ทำอย่างประเทศไทย ที่เงินงบประมาณก็มีน้อย แต่โฆษณาว่าจะรักษาฟรีทุกโรค แจกยาฟรีไม่อั้น (แต่ยาจะดีมีมาตรฐานหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ยามีมากก็เก็บเอาไว้มาแลกไข่ไปกินได้อีก และในขณะเดียวกันรัฐมนตรีคนนี้เอง ก็มาบ่นว่าคนไทยกินยามากที่สุดในโลก จ่ายค่ายาแพงที่สุดในโลก แต่ยังไม่เห็นมีมาตรการอะไรที่จะทำให้คนไทยตระหนักถึง “คุณค่าและราคาของยารวมทั้งตระหนักถึงความรับผิดชอบในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันความเจ็บป่วย เพื่อจะได้ประหยัดงบประมาณในการรักษาได้” จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 14:21:44

ความคิดเห็นที่ 2 ความผิดเพี้ยนของระบบสาธารณสุขไทย ที่ประเทศอาเซียนไม่ควรทำตามก็คือ 1.ไม่ส่งเสริมการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเท่าที่ควร ทำให้อัตราการเจ็บ(อุบัติเหตุ) และการป่วย(เป็นโรค) ต่างๆมีแต่เพิ่มขึ้น ตามสถิติของกระทรวงสาธารณสุข 2.เอาใจประชาชน 48 ล้านคนด้วยการบอกว่า รักษาฟรีทุกโรค โดยไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีอีกหลายโรคที่ถูกจำกัดรักษา 3.ประชาชนไปโรงพยาบาลมากขึ้นจนถึงปีละ 200 ล้านครั้ง เนื่องจากประชาชนส่วนมากที่ได้รับรู้สิทธิว่าจะได้ฟรีทุกอย่างเมื่อไปโรงพยาบาล จึงพากันไปโรงพยาบาลมากขึ้น เป็น และขอยาไปไว้ที่บ้านเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เอาไปกินเอง เอาไปแจกเพื่อนบ้าน และเอาไปเหน็บไว้ข้างฝา โดยไม่คิดว่า “ยานี้มีต้นทุนที่ต้องมีคนจ่ายค่ายา” คำกล่าวในข้อนี้ไม่ไกลจากความจริง เนื่องจากว่าเมื่อมีโครงการเอายาเก่าไปแลกไข่ใหม่เพียง 4 วัน มีประชาชนเอายาไปแลกไข่ได้ถึง 18.2 ล้านเม็ด ถ้าเปิดให้แลกยาอีกจนครบ 1 เดือน อาจจะได้ยาเก่าอีกประมาณ100 ล้านเม็ด นับเป็นมูลค่าอีกกี่ร้อยล้านบาทก็ยังคำนวณไม่ได้ ถ้าประชาชนต้องจ่ายค่ายาเอง เช่นผู้ที่ไปโรงพยาบาลเอกชน มักจะบอกหมอว่า หมออย่าสั่งยาไปมากนัก เอาแค่พอจำเป็นในการรักษาอาการป่วยคราวนี้ก็พอ เนื่องจากเห็นว่า ถ้าขอให้หมอสั่งยามาก ตัวเองก็ต้องจ่ายเงินมาก ฉะนั้น ระบบบัตรทอง 30 บาทและกระทรวงสาธารณสุขควรร่วมมือกัน ในการจัดทำโครงการป้องกันการที่จะจ่ายยาให้ประชาชนเอาไปทิ้งๆขว้างๆแบบที่ผ่านมาในรอบ 10ปี โดยการให้ประชาชนมีส่วนรับผิดชอบ “ค่ายาหรือค่าบริการสาธารณสุข”บ้าง เพื่อให้ประชาชนรู้ว่า “การบริการสาธารณสุขและยานั้นมีต้นทุนที่ต้องจ่าย” ถ้าประชาชนไม่ต้องจ่ายเอง ก็ต้องเอาเงินจากภาษีของประชาชนนั่นเองมาจ่าย จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 14:22:10

ความคิดเห็นที่ 3 4.ไม่มีเงินซื้อยาราคาสูง ที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการหรือรักษายุ่งยากรุนแรง/ซับซ้อน จากการที่ประชาชนได้รับยาไปมากเกินความจำเป็นที่จะต้องใช้ ทำให้ไม่มีงบประมาณพอที่จะซื้อยา “ราคาสูง” ทำให้สปสช.เป็นผู้ “จำกัดรายการยาที่เหมาะสมที่สุดในการรักษาโรคเหล่านั้น” ทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เป็นโรคร้ายที่คุกคามชีวิต ไม่ได้รับการรักษาหรือยาที่ดีตามมาตรฐานการแพทย์ในปัจจุบัน เช่นการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยไตวาย ฯลฯ และอีกหลายๆโรค ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ “สูญเสียโอกาสได้รับการรักษาที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือรอดชีวิต” เนื่องจากการออก “ระเบียบในการจำกัดวิธีการรักษาหรือการใช้ยาของผู้บริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” เท่านี้ยังไม่พอ ผู้บริหารและผู้มีส่วนร่วม “ออกแบบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ยังพยายามที่จะไป “ชักชวน” ผู้บริหารกองทุนอื่นคือ “ประกันสังคมและสวัสดิการการรักษาข้าราชการ” ให้กลับมาใช้วิธีการออกระเบียบการรักษาและกำหนดรายการยา ให้ “เลวลงเหมือนกับรายการของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”อีกด้วย ทั้งนี้เห็นได้จากการที่สปสช.ประกาศให้ประชาชนทั้งใน 3 ระบบไปรับการรักษาฉุกเฉินได้เหมือนกันหมด แต่จ่ายเงินค่ารักษาเพียง 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เหมือนกับที่สปสช.เคยทำมากับโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็คอยดูก็แล้วกันว่าผู้บริหารโรงพยาบาลที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ยังจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเหมือนผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขไปได้อีกกี่มากน้อย? เดี๋ยวคงจะมีการเอะอะโวยวายขึ้นมาในไม่ช้า เพราะทุกสิ่งมี “ต้นทุนค่าใช้จ่าย” ทั้งสิ้น จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 14:22:28

ความคิดเห็นที่ 4 5. ความ ขาดแคลนทรัพยากรหรือปัจจัยในการบริหารจัดการด้านการบริการสาธารณะด้านสาธารณสุข ความผิดเพี้ยนของระบบสาธารณสุขไทยยังมีอีกมากมาย ขอยกตัวอย่างที่สำคัญอีกตัวอย่างหนึ่ง กล่าวคือ กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงที่มีภารกิจหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการในการจัดให้มีสถานบริการสาธารณสุขที่ดี มีมาตรฐานให้เพียงพอแก่ความจำเป็นของประชาชน แต่กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงเดียวที่ขาดปัจจัยทุกอย่างที่จำเป็นที่สุดในการดำเนินงานตามภารกิจหลักดังกล่าว ได้แก่   5.1 ขาดเงินงบประมาณที่เพียงพอ เหมาะสม ในการบริหารจัดการ   5.2 ขาดบุคลากรที่เหมาะสมทั้งปริมาณและคุณภาพ   5.3 ขาดอาคารสถานที่ วัสดุ ครุภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยี ยาและเวชภัณฑ์ ที่เหมาะสม ในการจัดบริการให้ดี มีมาตรฐานและความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย ทั้งนี้ การเขียนปัญหาสำคัญในข้อ5 นี้ ผู้อ่านบางคนอาจจะกล่าวหาว่าผู้เขียนมีอคติกล่าวหาลอยๆโดยไม่มีหลักฐาน(ตัวเลข)เชิงประจักษ์(Evidence-based) มาแสดง ผู้เขียนก็ขอชี้แจงว่า สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงนี้ เป็นความจริงที่ทุกคน “เห็นได้””ด้วยตนเอง เหมือนกับที่ทุกคนเห็นว่าดวงอาทิตย์ต้องขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวมาทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นข่าวสารที่มีการกล่าวถึงในทุกๆสื่อในสังคม และทุกๆคนที่มีความจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขต้องเห็น “ประจักษ์” ด้วยตนเองแล้วว่า มีผู้ป่วยไปรอรับการตรวจรักษาอย่าง “เบียดเสียดยัดเยียดจนล้นโรงพยาบาล” มีผู้ป่วยที่ ต้องนอนเตียงเสริม เตียงแทรก นอนบนเปลเข็นตามระเบียง หน้าบันได หน้าห้องส้วม หรือต้องปูเสื่อนอน หรือต้องตระเวนหาเตียงนอนรักษาหลายสิบแห่ง กว่าจะได้เตียงนอน หรืออาจต้องไปรอพบแพทย์ 5-6 ชั่วโมง เพื่อจะให้แพทย์ได้ตรวจสัก 2-3 นาที ฯลฯ จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 14:22:42

ความคิดเห็นที่ 5 สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้( และยังไม่ได้กล่าวอีกมากนั้น )ผู้เขียนต้องการชี้ให้ประชาชนที่จำเป็นต้องไปรับการตรวจรักษาสุขภาพในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขได้รับทราบ จะได้ไปเรียกร้องให้ผู้แทน(สส.)ของท่าน ไปเสนอให้รัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้สั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้อยู่ในการกำกับของท่าน คือปลัดกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมมือกันแก้ไขและพัฒนาระบบการบริการสาธารณสุขและการประกันสุขภาพ โดยให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางกล่าวคือ ให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจรักษาตามมาตรฐานการแพทย์ที่ดี มีมาตรฐาน มีเตียงผู้ป่วยที่เหมาะสม ได้รับการรักษาอย่างเอาใจใส่ตามมาตรฐานทางการแพทย์และการพยาบาลจากบุคลากรทุกประเภท ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการได้รับความเสียหายจากการไปตรวจรักษาในสถานพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน โดยการแก้ไขปัญหาในข้อ 5คือการขาดแคลนทั้งหมด และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค และช่วยกันรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพของตนเองบ้าง ยกเว้นผู้ยากจน/พิการ/ไร้ความสามารถ ถ้าเขียนแบบนี้ ก็อาจจะมีคนบางกลุ่มออกมา “อ้างว่า” ต้องการได้รับการรักษาฟรีเหมือนกันหมด ไม่ต้องการ “การให้ทานเฉพาะคนจน ต้องการความเสมอภาค/เท่าเทียม โดยการให้ทุกคนไม่ต้องจ่ายเหมือนกัน” นั้น ผู้เขียนก็จะบอกตามเหตุผลที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อว่า การให้ฟรี 48 ล้านคน (ไม่ใช่ทุกคน) นั้น ก็ได้ก่อให้เกิดความผิดเพี้ยนและความเสียหายดังที่ทุกคนเห็นอยู่แล้ว และการที่คนจนและด้อยโอกาสในสังคม ต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษนั้น ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เหมือนกับการจ่ายภาษีรายได้ที่คนจนไม่ต้องจ่ายแต่คนมีรายได้มากก็ต้องจ่ายนั่นเอง ความเสมอภาคและเป็นธรรมในสังคมนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสังคมต้องช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม เพื่อช่วยให้เขาอยู่ในสังคมได้ตามสบายพอควรแก่อัตภาพ ไม่ใช่ปล่อยให้เขาตกอยู่ในสภาพด้อยโอกาสต่อไป สังคมจึงจะเกิดความเป็นธรรมและสันติสุข วันอาทิตย์ที่ 08 กรกฏาคม 2012 เวลา 14:11 น. เขียนโดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 14:23:14

ความคิดเห็นที่ 6 ยัง งงๆ ว่า จุดมุ่งหมายคืออะไร แต่คิดจะทำแล้ว ก็ น่าจะ ทำให้ ครบทั้งระบบ เลยนะ จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 15:14:42

ความคิดเห็นที่ 7 ยาก็จ่ายออกไปโดยหมอ  การเก็บก็ผ่านหมอ  ต่อให้เจ้ากระทรวงคิดไม่ออกว่า ควรเก็บสถิติอย่างไร  หมอก็ควรนึกเองได้ว่า ทำไมยาที่โรงพยาบาลจ่ายออกไป ถึงไม่ได้รับการกินอย่างถูกต้อง   คุณหมอเชิดชู ก็มีความคิดที่ดีนี่ครับ ทำไมไม่ เสนอให้เก็บสถิติ(น่าจะทุกเรื่อง)ไว้สำหรับวิเคราะห์การแก้ปัญหาต่อไปในอนาคต เลยครับ  ต่อไปให้โรงพยาบาลทุกแห่งบันทึกทุกอย่างเป็นสถิติเก็บไว้เลย ครับ จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 15:15:49

ความคิดเห็นที่ 8 คิดเล่น ๆ คิดง่าย ๆ ครับหมอ... ยาเก่าที่เอามาคืน สมมุติว่าเม็ดละ 1 บาท ยางจำนวน 18.2 ล้ามเม็ด ก็เท่ากับประชาชนเอายาไปทิ้งเป็นมูลค่า "18.2" ล้านบาท สมมุติว่ายาแต่ละเม็ดมีอายุ 2 ปี 18.2 ล้านบาทหารด้วย 2 ปี เท่ากับสูญเสียงบประมาณในการจัดซื้อยาปีละ 9 ล้านบาทเศษ อ้อ..บวกอีก 7.7 ล้าน สรุป..เสียงบประมาณครั้งนี้ เกือบ 26 ล้าน ที่น่าตกใจคือ..ใช้เวลาแค่ 4 วัน ใช้เงินไป 26 ล้านบาท คณิตศาสตร์ง่าย ๆ ครับ..ฝากไปบอก รมต. ด้วย ไม่ต้องทำวิจัยให้ยุ่งยาก..!! จากคุณ : Diamond and The Gang เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 15:48:47

ความคิดเห็นที่ 9 ควรจัดระบบการจ่ายยาในโรงพยาบาลและมีการติดตามการใช้ยาของคนไข้ จะช่วยลดปัญหาการใช้ยาให้เหมาะสม จากคุณ : pharmie (pharmaaor) เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 16:02:23

ความคิดเห็นที่ 10 ผมกลับมองว่า นโยบายนี้ มันมีประโยชน์มากกว่า ผลเสีย ถึงแม้ จะสิ้นคิดเล็กน้อย.. ผลดีของมันคือการกระตุ้นให้ชาวบ้านได้ตรวจสอบ ยาในตู้ว่ามียาเก่าบ้างมัย ผมเชื่อว่า มีหลายบ้านที่ไม่เคยตรวจสอบเรื่องยาเลย มาตรวจตอนที่จะใช้งาน หรือ ไม่ได้ ตรวจสอบและได้ทานไปแล้ว (อย่างหลังอันตรายมาก) นโยบายนี้จึง เป็นอะไรที่มีประโยชน์อยู่บ้าง คือ ชาวบ้านได้ไข่ไว้ และยังลดปัญหาเรื่องการใช้ยาเสื่อมสภาพ ส่วนผลเสียของนโยบายนี้ มันก็ทำให้ผมคิด ติ เล็กน้อยว่า ประชาชน ในประเทศนี้ ห่วย ขนาดที่ว่า ดูแล เรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองไม่ได้หรือ? ถึงต้องเอานโยบายที่เป็นเหมือนการกระตุ้นนี้มาใช้...(ผลเสียคืออาจจะเสริมสร้างนิสัยไม่ดี) เอาเถอะ ผลลัพธ์ มันก็ไม่ได้แย่อะไรสักเท่าไร... 7/10 ละกัน จากคุณ : ล็อคอินเพื่อน เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 16:24:32 A:122.154.18.254 X: TicketID:198731

ความคิดเห็นที่ 11 คนไทย มักมีนิสัยแบบนี้ครับ จ่ายยาเกิน แจ้งหมอไหมไม่แจ้ง ไม่แจ้งเพราะอะไรเพราะคิดว่า มียาเหลือมันดีกว่าขาด ขาดเหลืออะไร หรือเป็นอะไรครั้งหน้า จะได้ไม่ต้องไปหาหมอ ต่อให้หมอถาม ก็จะตอบว่าไม่เหลือ เขาไม่คิดหรอกมันเปลืองงบประเทศ งบสาธารณสุขอะไร ไม่ใช้ก็ทิ้ง เดี๋ยวไปบอกหมอ เดี๋ยวคราวนี้หมอให้ยามาพอดี เกิดฉุกเฉินอะไร ต้องไปหาหมอให้เสียเวลาอีก ถ้าไม่แก้ปมความคิดนี้ สำรวจ ติตามผล ให้ตายก็แก้ไม่ได้ครับ จากคุณ : นอกวงการ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 16:37:58

ความคิดเห็นที่ 12 ยาเคมีบำบัดไม่ค่อยมีผลขอเกินขอเผื่อเหลือครับ จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 17:17:28

ความคิดเห็นที่ 13 ก็เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดี แทนที่จะออกมาพูดแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ดึงดูดความสนใจ ลงทุนก็น้อยกว่าการโฆษณาทางทีวี จากคุณ : popyim เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 18:26:37

ความคิดเห็นที่ 14 #11 ถึงได้กลับมามีระบบเก็บตัง 30 บาทไงครับ แม้จะทำให้คนเข้าถึงยากขึ้น แต่ก็ลดปัญหามารพ. เพื่อขอยาโดยไม่จำเป็นได้ ส่วนเรื่องถ้าไม่มี 30 บาท ทำยังไง ปกติก็ลงสิทธิอนาถาไปก็ฟรีแล้ว ส่วนพวกที่โวยว่าถ้าใช้เหมือนโดยดูถูก ผมว่าพวกนี้มีอันจะกินที่จะจ่ายเองอยู่แล้ว แต่หัวหมอไม่ยอมจ่ายมากกว่า จากคุณ : Toukung เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 19:12:16

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดที่เคยได้รับฟังจากคนไข้ 1.... ไปตรวจแล้วต้องมียากลับบ้าน 2......ได้รับยาจำนวนมาก= ได้รับรักษาดี ............................... จากคุณ : ชิงเยี่ยม (ชิงเยี่ยม) เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 19:20:47

ความคิดเห็นที่ 16 แต่เราว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณค่ะ ยาเก่าของคนอื่นที่เอามาคืน มันไม่หมดอายุ  แต่การเก็บรักษาล่ะคะแล้วใครอยากจะใช้ต่อไหม  ของสถานีอนามัยเราถ้าเป็นยาเบาหวาน ความดัน เราจะให้ไปอย่างจำกัด  นัด 84วัน ได้ยาไป 85 เม็ด  นัด 91วัน ได้ยาไป95 เม็ด  ทุกครั้งต้องเอายาเก่ามาด้วย เราก็จะหักลบยาเก่าด้วยถ้ามันเหลือสะสมเรื่อยๆจนเกิน 5 เม็ด เราก็หักออก ของเราเลยไม่มีใครเอายามาแลกไข่ จากคุณ : worwae เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 19:51:43

ความคิดเห็นที่ 17 แล้วต่อไปคนไข้จะกั๊กยาไว้มาขอแลกไข่ เฮ้อ จากคุณ : worwae เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 19:53:57

ความคิดเห็นที่ 18 คนแถวบ้าน   ยาที่เหลือโดยมากเป็นยาเบาหวาน  ความดัน   ยาลดไขมันในเลือด   ถามเขาก็บอก ไม่ได้เป็นความดัน ไขมันก็ไม่เกิน เลยไม่กิน กินแต่ยาเบาหวาน จากคุณ : Ninjax เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 20:29:43

ความคิดเห็นที่ 19 คคห.16  ยอดเยี่ยมเลยครับ  ถ้าหมอทุกคนรู้จักคิดหาวิธีการที่เหมาะสมจัดการกับคนไข้ได้ ไม่ต้องรอใครสั่ง  คนไข้ก็จะได้รับการบริการที่ดีไปด้วยครับ จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:24:48

ความคิดเห็นที่ 20 #19 หมอส่วนใหญ่จะจ่ายยาตามรอบวันนัดไม่ให้เกินอยู่แล้วครับ อย่างนัด30วันก็จ่ายยา30วันหรือบวกลบนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่ที่ได้ไปเกินๆจนมีเอามาแลกไข่น่ะ มาไม่กี่เหตุผลหรอก (1) อ้างว่ายาหาย ลืมยา มาขอเพิ่ม (2) ขอยาไปเผื่ออาการไม่ดีขึ้น เผื่อลืม เผื่อคนในบ้าน เผื่อคนข้างบ้าน (3) มาแล้วต้องได้ยาเยอะๆ ถือว่าหมอรักษาดี ให้ไปน้อยๆหาว่าหมอเลี้ยงไข้ แทนที่จะเอาเวลามาแขวะในการโพสข้อความ เอาเวลาไปศึกษาพฤติกรรมคนมาโรงพยาบาล ก่อนไหม จากคุณ : nightdoc เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:45:57

ความคิดเห็นที่ 21 เดิมเป็น 30บาทรักษาทุกโรคก็ดีอยู่แล้ว   ใครหนอมาเปลี่ยนเป็นฟรีรักษาทุกโรค   ทำให้ชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นอะไรก็มาโรงพยาบาลเพื่อมาบอกว่าเป็นโน่นเป็นนี่ จะได้ยาฟรีไปเก็บไว้    และส่วนมากก็ไม่ได้ใช้     เมื่อก่อนเคยไปออกหน่วยแพทย์ในต่างจังหวัด   พอชาวบ้านรู้ว่าฟรีก็มากันมากมายเพื่อมารับยาไปเก็บไว้    ถ้าเก็บ 30บาท  เห็นว่าดีกว่าแจกฟรี   อย่างน้อยเขาจะยั้งคิดบ้างว่าควรมาเอายาหรือไม่ จากคุณ : เจ๊แจงแมงวัน เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:12:35

ความคิดเห็นที่ 22 คคห.20 ครับ   ดีครับ ถ้าหมอโรงพยาบาลทุกคน ทำอย่างคุณว่า  แต่ผมไม่ใช่หมอโรงพยาบาล จะไปนั่งศึกษาก็คงเป็นการก้าวล่วงหน้าที่กระมังครับ  ดีไม่ดีหมอเขาจะไล่ หาว่าไปจับผิดเขาซะ อีก  ถ้าคุณหมอรู้ดีแล้ว ก็ช่วยกระจายความรู้ไปให้หมอที่เขาไม่รู้ทำให้จ่ายยาเกิน ดีกว่าไหมครับ การที่มียารับคืนมากขนาดนี้ คงมีหมอที่ไม่มีความรู้เหมือนคุณหมออยู่เยอะมากทีเดียว  หวังว่า คุณหมอจะยินดีให้ความรู้นี้ แจกจ่ายไปยังหมอทุกคนนะครับ จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 22:26:27

ความคิดเห็นที่ 23 อาจจะต้องไปถึงระบบรพ.นะ เรื่องยาเหลือ ยาขาดเนี่่ย อย่างในรพ.ที่เราเคยอยู่ จะมี print ใบออกมาเลย ว่า คนไข้คนนี้เหลือยากี่เม็ด (อิงจากประวัติ visit ที่ผ่านมา คำนวณโดยโปรแกรมค่ะ) จะเป็นการแบ่งเบาภาระคุณหมอ เวลาคิดคำนวณยาด้วยค่ะ หรือบางทีคุณหมอก็จะไม่เขียนจำนวนเม็ด เขียนแค่ว่าให้กี่วัน แล้วทางห้องยาจะมาคำนวณให้เองค่ะ เราว่าหลายๆรพ.น่าจะเริ่มทำแล้ว แต่คงยังไม่เสถียรน่ะค่ะ โดยเฉพาะรพ.ต่างจังหวัดคงยากใหญ่ อันนี้ก็ต้องมาช่วยๆกันต่อไป อย่าเพิ่งดราม่ากันนะค้าาา ^^ จากคุณ : รถเต่าสีฟ้า เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 23:54:41

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าเป็น รพ.รัฐ ทีมี เภสัชกร เพียงพอ ก็จะช่วยเรื่องนี้ได้เยอะครับ .. ที่ รพ.กำแพงเพชร ( ขอชมหน่อยละกัน ) .. เมื่อคนไข้ไปรับยา ที่ห้องยา จะมี เภสัชกร สอบถามเรื่องการใช้ยา จำนวนยา และ แนะนำให้ผู้ป่วย (ญาติ) นำยาเดิมมาด้วยเสมอ แล้วก็ปรับปริมาณยาที่จะให้ไป เภสัชกร เล่าให้ฟังว่า ก็มีคนไข้ (ญาติ) บ่น เหมือนกันว่า เสียเวลา หมอสั่งอะไรก็จ่าย ๆ มาเหอะ T-T   เรื่องแบบนี้ ต้องช่วยกัน ทั้ง ผู้ป่วย ญาติ แพทย์ พยาบาล เภสัช ผสส/อสม ฯลฯ ... ส่วนโครงการนี้ ผมเห็นด้วยว่า " มีประโยชน์บ้าง " .. แต่ก็เห็นด้วยกับ พญ.เชิดชู ว่า น่าจะมีการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม  ( หรือ เก็บข้อมูลไปวิเคราะห์แล้ว แต่ไม่ได้บอกให้รับรู้กัน??? ) สิ่งทีเกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึง หนึ่งในปัญหาของระบบสาธารณสุข ของบ้านเรา .. จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 00:26:23

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านบางความเห็นแล้วก็เพลียค่ะ คนไข้มียาเหลือ ก็โทษความผิดหมอที่ไม่รู้จักแก้ปัญหา ความจริงในสังคมนี้คืออะไร เป็นเบาหวานมาคุยเรื่องปรับยาเบาหวานก็ไม่ค่อยสนใจ พอพูดจบ ขอยาแก้ปวดด้วยนะหมอ ยาแก้ชาด้วย ยาให้กินข้าวได้ ยานอนหลับ ยาน้ำโรคกระเพาะ ยานวด ฯลฯ สรุปได้ยาไป 10 ตัว เปนยาที่จำเป็น 3 ตัว ถามว่าไม่ให้ได้ไหม ตอบแบบโลกสวย ได้ค่ะ --> หมอที่ดีต้องอธิบายคนไข้ไงคะ ต้องรักษาให้ครอบคลุม ในความเป็นจริง แค่ถามว่าอาการเป็นยังไงคะป้า ---> หมอก้อสั่งๆมาเถอะ ทำไมสั่งไม่ได้ ก็เคยได้ไปนี่นา บางทีมันก็เป็นน่ะ เอาไปติดๆไว้ บางคนจดมาเป็นรายการ ว่าจะเอาอะไรบ้าง และต้องสั่งให้ตามนี้ ถ้าไม่ได้ก็ลุกขึ้นโวยหน้าห้องตรวจ "หมอไร้จรรยาบรรณ" (เอิ่มมม คุณคนไข้คะ จรรยาบรรณแพทย์มีอะไรบ้าง ลองบอกหมอหน่อยสิคะ แล้วหมอผิดข้อไหน) อีกพวก ยาเหลือ เพราะไม่กิน เป็นความดัน เป็นไขมันในเลือด แต่ไม่ค่อยกินยา เพราะไม่มีอาการ ผ่านการพูดคุยกะแพทย์ เภสัช และ สหวิชาชีพมาแล้วทั้งหมด ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ให้เอายามาคืนก็ไม่เอามา แต่ว่ามาตรวจตามนัดทุกครั้ง คุณจะให้ทำอย่างไรคะ ไม่จ่ายยาหรอ?? เคยเจออีกประเภท ยานอกบัญชีที่คนไข้ต้องเสียเงินเอง อธิบายแล้วก็ยืนยันว่าจะเอาให้ได้ เคยได้มาตลอด ทำไมหมอถึงจะไม่จ่าย ถ้าไม่มียาตัวนี้ต้องตายแน่ๆ แต่พอเดินไปห้องการเงินต้องจ่ายขึ้นมาจริงๆ ทีนี้เดินมาโวยวายเสียงดัง "หมอจะสั่งทำไม ก็รู้ๆอยู่แล้วว่ามันต้องจ่ายเงิน มันแพง หมอมีส่วนได้ด้วยใช่ไม๊" ปล. ดิชั้นเชื่อว่า หมอทุกคนคงมีความรู้ว่า 1 สัปดาห์มี 7 วัน และ 1 เดือนมี 30 วัน คงไม่มีใครไม่รู้หรอกค่ะ ว่าถ้าจะนัดคนไข้ครั้งต่อไปกี่วัน แล้วจะต้องให้ยากี่เม็ด จากคุณ : เชี่ยวหมุน แต่ชื่นใจ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 01:03:59

ความคิดเห็นที่ 26 ก็เพราะแจกฟรีมากนัก คนไข้เลยไม่กินไงครับ จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 01:06:22

ความคิดเห็นที่ 27 ของผม นัด 84 วัน ให้ 84 เม็ด ครับไม่มีเผื่อเหลือ ทำหาย มาขอไหม่ และ นัดครั้งต่อไปให้ นำยาเก่ามาด้วยทุกครั้ง เพื่อนับเม็ดยา ยาใหนเหลือก็แปลได้ว่า คนไข้ไม่กิน แล้วจึงหาเหตุผลว่า ไม่กินเพราะอะไร ไม่อยากกิน กินแล้วมีผลข้างเคียง ไม่มีญาติดูแลเรื่องการกินยาถ้าอายุมากๆ  หรือไม่รักตัวเอง ไม่รับผิดชอบตัวเอง เวลายาเหลือ ก็ให้คนไข้คืนยาเก่าก่อน แล้วค่อยสั่งยาไหม่ ช่วงโครงการไข่แลกยา เภสัชขอยาคืน คนไข้ไม่ให้ บอกว่า เอาไว้แลกไข่ เราหน้าแหกเลย มันทำให้เราคิดว่า คนที่มา รพ ทุกวันเนี่ย มีใครขอยาเพิ่มเผื่อไปแลกไข่บ้างไม๊ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 07:10:38

ความคิดเห็นที่ 28 เอ่อ  หมอคานู ครับ  นัด 84 วัน ให้ 84 เม็ด แล้วมันจะเหลือยามาให้นับเหรอกครับ อย่างคุณหมอวอแว น่าจะโอเคกว่าไหมครับ ให้ยาเกินจำนวนวันไป วันสองวัน เพราะฉะนั้น กินหมดก็ไม่ได้  ยังไงก็ต้องเหลือมาให้นับ อ่ะครับ สำหรับคุณหมอ ที่ทำอย่างไรก็มีเหตุผลมาแย้งให้ทำไม่ได้ นั้น  น่าจะนำปัญหา เข้าที่ประชุมของโรงพยาบาลแล้วหาทางช่วยกันแก้ปัญหาครับ  บางครั้งคนเดียว มันคิดไม่ออก  ลองฟังความเห็นของเพื่อนร่วมงานด้วย จะดีกว่าไหมครับ จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:44:18

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่ครับ ทำมานานแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของ Drug reconsile  ใครยาเหลือ ก็แปลได้เลยว่าไม่กินยา เราก็จะคัดคนไข้ออกมา เพื่อหาสาเหตุการไม่กินยา ว่าเกิดจากอะไร หมอก็จะได้จัดยาตามพฤติกรรมของคนไข้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถ้าให้ยาเกิน ก็ต้องนับทุกคน เสียเวลา และทำให้ไม่ทราบพฤติกรรมการกินยาของคนไข้ แต่ถ้าให้ยาพอดี ใครยาเหลือ ก็เหมือนเป็นสัญญาณให้ alert ทันที ว่าคนไข้คนนี้มีปัญหา เราก็จะเข้าไปวิเคราะห์ปัญหา หมอไม่ใช่มีหน้าที่แต่ ตรวจ วินิฉัย จ่ายยา จบแค่นี้ไม่ใช่หมอ แต่หมอต้องดูถึงบ้านชุมชน พฤติกรรมของคนไข้ เพราะมันมีส่วนในการรักษาโรค จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 10:17:18

ความคิดเห็นที่ 30 คำแนะนำของคุณ กินลมชมทะเล หมอรู้กันหมดแล้ว  และได้พยายามแก้ไข ทุกวิถีทาง  แต่ผลก้คือ ยังมียามาแลกไข่จำนวนมหาศาล  ปัญหามันแก้ไม่ได้ ง่ายๆแบบที่คุณคิดหรอก จากคุณ : Sono เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 10:58:57

ความคิดเห็นที่ 31 ประเด็นที่ยาพอดี ไม่เหลือมาให้นับ  กับคนไข้ไม่เอายาที่เหลือมาให้นับ แยกกัน อย่างไรครับ  คือ คนไข้กินยาไม่ครบ หรือไม่กินยาแต่มาตรวจอยู่เรื่อยๆ  พอหมอ ถามก็บอกว่ากินยาหมดแล้ว  คนไข้ประเภทนี้ก็คงแยกจากคนไข้ที่กินยาตามหมอ สั่งไม่ได้กระมังครับ แต่ก็โอเคครับ  ผมคนนอก  ก็ตามสบายคุณหมอทั้งหลายที่แก้ได้หรือแก้ไม่ได้ ก็ค่อยๆว่ากันไปเอง ล่ะกันครับ จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 14:51:41

ความคิดเห็นที่ 32 คุณกินลม ชมทะเลคะ เราไม่ได้เป็นคุณหมอนะคะ (เกรงใจคุณหมอๆเค้า) เราเป็นพยาบาลตัวกระจ้อยที่อยู่ประจำสถานีอนามัย แต่คนไข้ก็เรียกหมอเหมือนกันหมด ของเราที่่จ่ายยาเกินไปนิดนึง เผื่อลุงป้าที่ทำยาตกหล่น แบบจะแกะกินแล้วร่วงใต้ถุน(อยู่บ้านนอกค่ะ) เค้าก็จะลำบาก แล้วท่าให้แบบพอดีเป๊ะ คนไข้ เราเค้าจะเกิดอาการหวั่นๆแบบจะไม่พอ เกิดทำหายล่ะ ก็เลยเผื่อไปนิดนึงแล้วพอยาใกล้จะหมด เค้าก็รีบดูวันนัด มันก็จะกระตุ้นไปในตัวว่ายาจะหมดแล้ว ใกล้ถึงนัดแล้ว เราอาจจะอาศัยแค่ถามแค่ดูจากยาไม่ได้ คือกินยาตลอด แต่ความดัน น้ำตาลไม่ดี มันบ่งบอกอะไรหรือเปล่า จริงๆกินไหม หรือพฤติกรรมการบริโภคด้วย แต่คนไข้ของเราคนที่กินยาเค้าจะคว้ามาหมดทั้งถุง เหลือสิบเม็ดก็มี เหลือสองเม็ดก็มี เหลือเป็นสี่สิบเม็ดก็มี  เราก็ต้องดูเป็นคนคนไป เพราะคนไข้บางคนมาบอกเรา ผมกินยาทุกวันเลยหมอ อ้าว..แล้วทำไมยาเหลือสี่สิบ พอแอบถามญาติ ไม่ค่อยกินหรอก นั่นแน่ บอกกินยาทุกวัน แต่แอบเหลือหลักฐานมาให้เห็นกันจะจะ และที่เราว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ ด้วยเราเห็นจากเฟสบุ๊คเจ้าหน้าที่ด้วยกันนี่แหละค่ะ รับยาเก่าคนไข้เบาหวานคนเดียวประมาณสามร้อยเม็ด เราก็เฮ้ย..จะไม่กลับไปเช็คหน่อยเหรอที่ผ่านมาเราดูแลเรื่องยาคนไข้กันยังไง แล้วเอายาเก่ามาแลกไข่แล้ว เดือนหน้าก็มารับยาเบาหวานใหม่อีกเหรอ  แล้วหลักเกณฑ์การรับแลกยาก็ไม่ได้ชี้แจงรายละเอียด ปุ๊ปปั๊บโทรมาสั่งเลย (อาจจะเป็นเฉพาะหน่วยงานของเรานะคะ) ยิ่งมีกระแสว่าจะมีรอบสอง คนไข้ก็ได้กั๊กยาไว้แลกไข่กันบ้างล่ะงานนี้ จากคุณ : worwae เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 19:38:59

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าคนไข้ตั้งใจจะโกหกขนาดนั้น ไม่มาตรวจน่าจะง่ายกว่านะครับ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 20:05:49

ความคิดเห็นที่ 34 ได้ไข่ดีกว่าได้ยา?!? จากคุณ : Freedom and Justice เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 06:48:22

ความคิดเห็นที่ 35 ต้องแก้ที่คนไข้นะ ต้นเหตุที่สุดแล้วแหละ - - หมอคิดระบบมาดีแค่ไหน แต่ถ้าคนไข้ไม่ทำ ก็คงทำอะไรไม่ได้ จากคุณ : temp_ver2 (temp_ver2) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 11:17:14

ความคิดเห็นที่ 36 ไข่แลกยาเก่า ไอเดียดีนะ เสียดายระบบจัดเก็บข้อมูล ปีหน้าเอาใหม่นะ ไหนๆก็ไหนๆ แล้ว ปีหน้า ทำให้ครบวงจร นะคะ จากคุณ : ยิ้มเดียว เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 11:29:39

ความคิดเห็นที่ 37 เท่าที่ทราบ ข้อมูลคนเอายามาแลกไข่มีครับ เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ควบคุมการใช้ยาในแต่ละครั้ง เป็นมุกเด็ดของกระทรวงสาธารณสุขล่ะ จากคุณ : หมอดาริน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 19:26:16

ความคิดเห็นที่ 38 คนไข้ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกหรอกค่ะหมอคานู แต่สงสัยว่ากลัวเราจะดุมั้งคะ ทั้งๆที่เราก็ว่าเราไม่ดุนะคะ ลุงคนที่ว่าเค้ามาตามนัดทุกครั้ง แต่ยาก็เหลือทุกครั้งครั้งละสี่สิบห้าสิบ แก้ไม่ได้เลยค่ะ แต่แกก็ดีนะคะยาเหลือก็เอามาคืนตลอด แต่ดูจากน้ำตาลแกแล้วอยู่ในระดับที่รับได้ ก็เลยไม่ได้เข้มกับแกมาก จากคุณ : worwae เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 20:50:34

ความคิดเห็นที่ 39 ใช่ กระทรวงนี้ Fail แต่ไร ไม่ว่ายุคไหน รัฐมนตรีคนไหน พรรคไหน ทำโครงการเอาหน้า ไม่สนใจว่าผู้ปฏิงานจะเป็นเช่น ไร คุณภาพของโครงการจะเป็นเช่นไร ประชาชนได้ประโยชน์ จริง ไหม ได้หน้า ได้โครงการ ได้เงิน แล้วประโยชน์ได้จริงไหม เช่น เปลี่ยน จาก อนามัยเป็น โรงพยาบาลส่งเริมสุขภาพตำบล ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเท่าไหร่หรอกนอกจากชื่อ ที่สวยหรู จะเปิด lab โดย ฝึก คน ม.3 ม.6 บ้างไปตรวจ ผลเชื่อได้ หรือเปล่า แล้วคนเหล่านี้ มีความรู้ หรือ ผลเป็น อาจบอกไม่เป็น ผลไม่เป็นอาจบอกเป็น แล้วอย่างนี้ จะเชื่อได้ไหม ให้ความสำคัญในแต่ละิชาชีพ ก็ไม่เท่ากัน มีมากกว่า 2 มาตรฐาน ข้างนอกสวยหรู ข้างในกลวง จากคุณ : สา เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 22:58:09 A:61.19.158.202 X: TicketID:235145

ความคิดเห็นที่ 40 ยาแลกไข่เป็นโครงการที่ดี เพราะทำให้เห็นความยิ่งใหญ่ของปัญหารู้กันอยู่แต่ไม่มีการใส่ใจหรือพยายามหาทางแก้อย่างมีประสิทธิภาพมานานแล้ว ส่วนระบบสาธารณสุขเพี้ยน ทำให้ใช้ยาฟุ่มเฟือยเป็นปัญหาที่มีอยู่แล้วไม่ว่าจะมีการแลกไข่หรือไม่ ไข่ห้าฟองราคาไม่เกิน 20 ถ้าประชาชนไม่ยอมกินยายอมเสี่ยงตายกับโรค เพื่อจะเก็บยามาแลกไข่ ยอมเสีย 30 บาทไปหาหมอเอายา และยอมเสียค่าเดินทางไปกลับไปรอแลกไข่ ถ้าคุณคิดว่าเป็นความผิดของประชาชนที่เห็นแก่ได้ ก็ไม่ต่างกับการที่คุณคิดว่าเขาคงอยากตายมาก ญาติเขาคงดีใจมากที่เขาตายเพราะจะได้ค่าชดเชย อะไรทำนองนั้น ลองคิดดูโดยไม่อคติว่ามันเป็นความจริงได้แค่ไหน ประกันสุขภาพก็เป็นโครงการที่ดี แม้จะมีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอนในหลายจุด การแลกไข่ชี้ให้เห็นปัญหาหนึ่งว่าต้องรีบแก้ไขเสียที จากคุณ : KAVINT เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 02:19:19

ความคิดเห็นที่ 41 ปัญหาคือ ใน ตจว. รพ. อยู่ไกลจากบ้านไม่น้อย เวลาคนไข้ขอยา อาจจะขอเผื่อไว้เลย อย่าง คนรู้จักผมคนหนึ่ง ต้องไปรับยาความดัน เดือนละครั้ง เดินทางจากบ้าน ไป รพ. ประมาณ 40 กม. ไปกลับ 80 กม. เป็นหญิงแก่ 67 ปีแล้ว ค่ารถก็ไปกลับ เกือบสองร้อยบาทได้ เวลาไปหาหมอที ก็ขอยาเผื่อไว้ สองเดือนเลย มาบ่อยๆไม่ได้ ส่วนคนที่เอายาไปแลกไข่ เค้าจะรวมๆกันหมู่บ้าน แล้วก็ให้คนไปเอาคนเดียว เอาไข่มาแบ่งกันครับ จากคุณ : กบกินกะลา เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 17:31:18

ความคิดเห็นที่ 42 ทางการแพทย์ ห้ามมองอะไรด้านเดียว ยิ่งฟันธง โดยไม่ดู side effect, ADR ยิ่งน่ากลัว การจ่ายยาเกินเหมือนกัน แน่ใจหรือว่า มีแต่ปัญหา ไม่มีข้อเสีย นัดคนไข้ 3 เดือน = 12 อาทิตย์ จ่ายยา 84 เม็ด คนไข้มีเหตุจำเป็นให้มาตามนัดไม่ได้ อีก 1 หรือ 2 อาทิตย์ ถึงจะมาได้ มีปัญหาไหม อย่ามองแค่ NNT .. number needed to treat ให้มองถึง NNH .. number needed to harm ด้วย --------------- ต่างจังหวัด เป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ใน กทม เอง เมื่อสองปีที่แล้ว มีงานกีฬาสี แข่งขันเผาเมือง คนไข้มา รพ. ไม่ได้ .. ขาดนัด 2 อาทิตย์ พบว่า 4 ราย .. 2 ราย เกิด CVA 1 ราย เกิด MI 1 ราย .. renal failure ปีที่แล้ว .. น้ำท่วมใหญ่ คนไข้มา รพ ไม่ได้เป็นเดือน มีปัญหาสิบเอ็ดราย ปัญหาระดับ severe ทั้งนั้น -------------------------------------------------------- จากตัวอย่างที่ว่ามาให้ฟัง คนไข้ สิบห้าราย นั้น .. ปัญหาเกิดเฉพาะผู้ที่ได้รับยาตรงพอดีตามจำนวนวันนัด ไม่มียาเหลือเผื่อ ในขณะที่คนไข้ที่มียาเหลือ, มียาสะสม พบเคสที่มีปัญหาเพียง 2 รายเท่านั้น (ปี 2554) เพราะทันทีที่มา รพ.ไม่ได้แน่นอน 100% ผป แก้ปัญหาด้วยการลดปริมาณยาลง การกินยาไม่ครบปริมาณ อาจจะไม่ดีในระยะยาว แต่ยังไงๆ ก็มีระยะยาว ให้หาทางแก้ปัญหา -------------------------------------------------------- ก่อนจะบอกว่า "แค่สิบห้ารายเอง มันคุ้มหรือที่จะต้องเสียเงินเป็นล้านๆ" ก็ให้ตอบคำถามก่อนว่า ถ้าสิบห้ารายนั้น เป็นญาติเราหละ และโปรดรับข้อมูลเพิ่มว่า .. สิบห้ารายที่ว่านี้ พบในแผนกเดียวเท่านั้น ชีวิตคน มีค่า มีราคาเท่าไหร่หนอ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 19:35:38

ความคิดเห็นที่ 43 การให้ยาเกินพอดี ไม่ใช่เรื่องที่ดี การให้ยาพอดีๆ ไม่ใช่จะไม่มีปัญหา สิ่งสำคัญ คือ เรามีข้อมูลไหมว่า พฤติกรรมการบริโภคยาของประชาชนไทย เป็นอย่างไร เมื่อไม่มีข้อมูลพื้นฐาน เราก็ตัดสินโดยอารมณ์ ความคิดชั่วแล่น ประสบการณ์ส่วนตัว ความเห็นจากคนอื่น ถูกผิด ไม่รู้เหมือนกัน ก็ได้แต่ว่ากันไป .. ตามประสบการณ์ส่วนตัว จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 19:52:17

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้าเราคัดกรองว่า....โรคเบื้องต้นที่แค่เป็นหวัด เป็นไข้ ท้องเสีย ปวดเมนส์ เจ็บคอ...เราไม่จ่ายยา และแนะนำวิธีปฎิบัติ โดยพยาบาล  และเก็บเงินสำหรับโรคเบื้องต้นนี้ แต่ฟรีสำหรับโรคพิเศษร้ายแรงเรื้อรัง ..จะคัดกรองไปได้ไหมคะ??  เพราะเชื่อว่า ร้อยละ 75ของผู้ป่วยแต่ละวัน คือ โรคไม่ร้ายแรงและป้องกันตนได้ และดูแลรักษาเบื้องต้นได้ (ขอเพียงใส่ใจความรู้สาธารณสุข) จากคุณ : บ้านดอกชวนชมสารพัดสี เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 23:28:17

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่รู้ระบบสาธารณสุขนะคะ แต่ขอแชร์ ข้อมูลนิดนึงละกัน ในฐานะเป็นคนไข้คนนึง และเพื่อนๆญาติ ๆ ด้วยค่ะ - คนมักไม่ค่อยกินยากัน ถ้าหายก็เลิกกินกันแล้วอ่ะค่ะ แบบว่าถ้ายาเค้าบอกว่าต้องกินให้หมดนะ มี 10 เม็ด ถึงหายแล้วก็ต้องกิน แต่ทีนี้พอหาย ไม่มีอาการแล้ว คนก็ไม่กินแล้วค่ะ เก็บๆไว้ดีกว่า เผื่อเป็นอีก จะได้เอายานี้มากิน หรือเอายานี้เป็น ตย. ไปขอหมอใหม่ (คนแก่มักเป็นเลยอ่ะแบบนี้) - ขอยาเกิน ก็อารมณ์ประมาณ์กรณีแรกเลย ขอยาเผื่อไว้เลย เพราะถ้าเป็นอีกจะได้ไม่ต้องมาหาหมออีก (เราว่านะ กว่าจะเป็นอีก ก็คงหายาไม่เจอ หรือไม่ก็ยาหมดอายุแล้วค่ะ) คนแก่มักไม่ค่อยกินยาเท่าไรอ่ะ ยกตย.ยายเราอ่ะค่ะ ป่วยบ่อยๆ น้าก้พาหมอนะ เอกชน แกชอบไม่ค่อยกินยา แกบอกว่าเปลือง ชอบกั๊กยาอีก บอกว่าไม่อยากไปหาหมออีก เราว่าน่าจะเป็นสาเหตุนึงนะ ที่ทำให้บ้านมียาเหลือ แล้วอีกอย่างคนเราชอบบ้ายา นู่นก็ขอยา ขอกินยาเพิ่ม..แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้กินอ่ะ จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 03:11:33

ความคิดเห็นที่ 46 น่าจะลองดัดแปลงจากระบบแบบญี่ปุ่นดูนะครับ มีการเก็บค่าประกันสุขภาพทุกปีเหมือนทำประกัน และต้องจ่ายค่ารักษา 30% ส่วนใครที่ไม่มีจ่ายก็ลงทะเบียนทำบัตรยกเว้นอะไรก็ว่ากันไป เหล่าคนไข้จะได้พยายามรักษาสุขภาพกันบ้าง ......................แต่ขืนชูนโยบายนี้ไม่มีใครเลือกเข้าสภาแหงๆ "OTL จากคุณ : Laevateinn เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 05:49:08

ความคิดเห็นที่ 47 ยา รพ. ฟรี ไม่เสียเงิน  ..คือ ยาไม่ดี ยาดี...ต้องแพง คนเลยไปหาซื้อยาที่โฆษณาตามวิทยุ ว่ารักษาหายทุกโรค  ขวดละ 2000-3000 (มันแพง มันก็ต้องดีซี  มันไม่ใช่ยาอันตราย ถ้าอันตราย เค้าจะให้โฆษณาได้ยังไง) หรือ ไปกินน้ำส้วม เพื่อรักษาโรค เพราะอะไร จากคุณ : jobikung เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 09:04:01

ความคิดเห็นที่ 48 #43 เห็นด้วยตามนั้นเลยครับ ควรมีการทำรายงานการวิจัย ให้เป็นข้อมูลพื้นฐานเก็บไว้ แล้วอ้างอิงเชิงสถิติ ไม่ใช่เอาตามนโยบายซื้อใจซื้อเสียงประชาชน แล้วมาเบียดบังคนทำงานและระบบงานแบบนี้ จากคุณ : nightdoc เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 16:26:28

ความคิดเห็นที่ 49 โครงการนี้ ผมมองว่าเป็นศิลปะ ผมให้ "ผ่าน"ครับ จากคุณ : ผ่านมา (pasad) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 19:13:18

ความคิดเห็นที่ 50 คงไม่มีระบบไหน ที่ดีสุด ทุกคนยอมรับ .. ในดีมีเสีย ในเสียมีดี .. ไม่ว่าระบบไหน ไม่ว่าอะไร ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย .. เลือกที่มี ข้อดี (ของประชาชนคนส่วนใหญ่) มากที่สุด  และ มีข้อเสีย (ที่ยอมรับได้) น้อยที่สุด .. เลือก แล้วก็คิด ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้ดีขึ้นกว่า ที่เคยมีมา .. ถ้าได้แบบนี้ ก็น่าพอใจแล้วครับ .. ปล. ระบบประกันสุขภาพ  ( บัตรสุขภาพ เหมาจ่าย๕๐๐บาท ต่อครอบครัวต่อปี  บัตรทองจ่าย ๓๐ บาทต่อคนต่อครั้ง  หรือ บัตรทอง ไม่เสียค่าใช้จ่าย )  ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่นกัน ว่าแต่ สิ่งที่ท่านผู้บริหาร  นักการเมือง .." คิดดี คิดรอบคอบ " .. จริงหรือ ?? ก็เป็นเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อไป .. จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 14:37:21

ความคิดเห็นที่ 51 คนที่จะต้องคิดดี คิดรอบคอบ นั่นคือคุณหมอที่เสนอโครงการครับ  ผมว่าไม่มี นักการเมืองคนไหน(ที่ไม่ใช่หมอ)จะรู้ดี รู้ลึก รู้ละเอียดรอบคอบเท่ากับหมอเอง หรอกครับ   นักการเมืองที่มาบริหารกระทรวงฯก็ได้แต่เชื่อในตัวคุณหมอทั้งนั้น แหละครับ  ดังนั้นพวกคุณหมอเองจะต้องร่วมกันคิด ร่วมกันเสนอ ผลักดันให้ นักการเมืองยอมรับในสิ่งที่ถูกต้องครับ   ส่วนใครที่บอกว่านักการเมืองมาโกงกิน ก็ต้องสอบถามว่าคุณหมอท่านไหนที่ร่วมโครงการนั้นๆบ้างครับ  ช่วยกันลากออก มาให้หมด  นักการเมืองโกงกินไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่มีข้าราชการคอยช่วยอยู่ ถ้าข้าราชการประจำเก็บข้อมูลของนักการเมืองที่โกงกินเสนอ ปปช.ก็จบแล้วครับ จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 15:54:01

ความคิดเห็นที่ 52 " คนที่จะต้องคิดดี คิดรอบคอบ นั่นคือคุณหมอที่เสนอโครงการครับ  ผมว่าไม่มีนักการเมืองคนไหน(ที่ไม่ใช่หมอ)จะรู้ดี รู้ลึก รู้ละเอียดรอบคอบเท่ากับหมอเองหรอกครับ   นักการเมืองที่มาบริหารกระทรวงฯก็ได้แต่เชื่อในตัวคุณหมอทั้งนั้นแหละครับ " ............ ถ้า นักการเมืองเป็นอย่างที่คุณเขียนไว้ ... เราก็คงได้ระบบสุขภาพ แบบที่คุณหมอสงวน คิดฝันไว้แล้วครับ  ..   หลักฐานที่ผมนำมายืนยันว่า นักการเมือง ไม่ได้เชื่อในตัวหมอ (นักวิชาการ) ก็คือ ระบบบัตรสุขภาพ (บัตรทอง) ที่มีปัญหาเรื้อรังยุ่งเหยิงในขณะนี้  ส่วนหนึ่งก็เพราะ นักการเมือง ที่ได้เป็นรัฐบาลทั้งสองฝ่าย คิดและทำแบบนักการเมือง .. แล้วผมก็เชื่อว่า ระบบสุขภาพ (สิทธิราชการ ประกันสังคม บัตรสุขภาพ)  ก็จะยุ่งเหยิงสับสนมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้ายังคิดและตัดสินใจด้วยการเมืองแบบที่ผ่านมา ............ ผมไม่ได้บอกว่า หมอ ดีทั้งหมด หมอก็เป็นคนธรรมดา มีทั้งดี ทั้งไม่ดี  ... แต่ก็ไม่อยากให้ คุณกินลมชมทะเล (และผู้ที่เข้ามาอ่านข้อความของคุณ) คิดและเชื่อแบบที่คุณเขียนไว้เพียงด้านเดียว เท่านั้น .. ...........  ผมได้อ่านหลายความเห็นฯ ทำให้รู้สึกว่า คุณกินลมชมทะเล อาจมีความรู้สึกด้านลบกับหมอ แต่ก็อยากให้เปิดใจบ้างว่า หมอที่ดี ๆ รวมถึง พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข นักวิชาการฯลฯ ดี ๆ ยังมีอยู่ ไม่เช่นนั้นระบบสุขภาพของประเทศไทย คงล้มเหลวไปตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว .. ปล.  เรื่องระบบสุขภาพ (บัตรทอง บัตรสุขภาพ) ผมและหัวหน้้าฝ่ายวิชาการ รพท/รพศ ในขณะนั้น เกือบร้อยคน และ นักวิชาการสาธารณสุข อีกมากมาย ที่ช่วยกันคิดช่วยกันวางแผน และ รับทราบความเป็นมา ความเป็นไป ในตอนที่เริ่มต้นเป็นอย่างดี .. ถ้านักการเมือง ทำตามขั้นตอนที่วางไว้ ค่อย ๆ ปรับ (ใช้เวลาหลายปี) ปัญหาจะน้อยมาก แต่นักการเมือง ใจร้อนอยากได้ผลงานเร็ว ๆ  ผลจึงเป็นอย่างที่เห็น แน่นอนว่า ต้องยกเครดิต ความดีความชอบให้นักการเมือง ที่กล้าตัดสินใจ เอาโครงการนี้มาทำ (ในขณะที่อีกพรรค ได้รับการเสนอก่อน ไม่ยอมตัดสินใจ) แต่ สิ่งทีเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ นักการเมืองก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 00:30:48

ความคิดเห็นที่ 53 ยาเก่าแลกไข่ใหม่ ยาใหม่แลกไข่หมอ? ก็แค่อยากตัดพ้อ ทำไปทำไมเมื่อเธอไม่มีใจให้กัน ขนาดฉัน ทบทวนการใช้ยา พาญาติมาให้ความรู้ ออกดูเยี่ยมบ้าน ยังทำให้เธอใช้ยาอย่างถูกต้องไม่ได้เลย "ไข่ คงช่วยเธอได้มั๊ง" จากคุณ : หมอเกรียน เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 55 11:36:21 A:182.52.133.254 X: TicketID:312493