ความคิดเห็นที่ 1 การที่เราเข้านอนรักษาตัวในโรงพยาบาลครั้งนี้  เพราะเราเป็นเบาหวานมาประมาณ 1 ปีแล้ว  และพอตั้งท้อง เลยต้องวิ่งไปหาหมอเบาหวานเป็นการด่วน เพื่องดยากินทั้งหมด และเปลี่ยนเป็นการฉีดอินซูลินแทน พอเราเทสว่าตั้งครรภ์ วันรุ่งขึ้นจึงรีบไปโรงพยาบาล  และได้เจอหมอคนใหม่นี้ หมอก็บอกว่าต้องเข้านอนโรงพยาบาลเพื่อปรับยา เราก็พอรู้ เพราะท้องก่อนๆก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน ก็ไม่มีอะไร  เข้านอนไป อย่างแรก สำหรับหมอคนนี้คือ  เรารู้สึกว่าเค้าตัดสินใจอะไรเองไม่ได้เลย  ตั้งแต่วันที่เราเจอวันแรก เค้าก็ต้องไปปรึกษาหมออีกคน  ให้หมออีกคนจองห้องให้  ซึ่งในกรณีของเรา ก็นอนอนาถาเท่านั้น เพราะเป็นคนไข้เฝ้าระวัง ครั้งนี้ที่นอนโรงพยาบาล ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ  ที่ปกติก็นอนในห้องสามัญของสูติฯ และมีหมอสูติฯมาเยี่ยมทุกวัน  และเจอหมอเบาหวานช่วงบ่ายๆ ไม่ทุกวัน เราเอง ปรับเป็นยาฉีดตั้งแต่วันแรกที่เข้านอนโรงพยาบาลเลย การฉีดยาครั้งนี้แปลกมาก  เพราะเมื่อนึกถึงในครั้งก่อนๆที่เคยเข้ามาปรับ จะเห็นว่าหมอ ปรับยาเพิ่ม หรือลดทีละ 2-4 unit เท่านั้น แต่ครั้งนี้ หมอปรับยา ค่อนข้างก้าวกระโดดเลยทีเดียว เช่น เดิมให้ลองฉีดที่ 20 อีกวัน ก็ฉีดเพิ่ม เป็น 35Unit ซึ่งก็แม้แต่เราก็ว่ามันเยอะไป และแล้วก็เกิดอาการน้ำตาลต่ำ ต้องมานั่งกินกลูโคสจนได้ ในขณะที่บางวัน ให้ฉีด 35Unit ไปแล้ว ก็ลดลงมาเหลือ 12 Unit ทำให้น้ำตาลสูงปรี๊ดดด จนเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ หมอก็เริ่มมาคุยว่า จริงๆ ทางอาจารย์หมอคิดว่า ในกรณีของเรา อยากให้ลองใช้ยาตัวใหม่  เป็นอินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็วขึ้น  แต่ราคาก็แพงกว่าหลายเท่าตัว ขึ้นอยู่กับว่า เราจะยอมใช้ไหม  เราก็ถามไปว่า แล้วจะมีผลกับลูกในท้องเราไหม ( เพราะแค่เป็นเบาหวาน ก็น่ากลัวจะแย่แล้ว) หมอก็อึกอัก ตอบได้แต่ว่า ไม่น่าจะ เพราะมันก็คืออินซูลินชนิดหนึ่ง !$@!%$ เราก็ตอบหมอไปว่า เราไม่อยากเปลี่ยน  ท้องก่อนๆ เราก็ฉีดแค่อินซูลินแบบ R ( แบบใส) และแบบ N (แบบขุ่น) ไม่ได้ฉีดแบบแปลกๆนี่คะ  หมอก็เงียบไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  จากนั้นเราก็พยายามหาข้อมูล เท่าที่พอหาได้จากคนที่นอนโรงพยาบาลอยู่ เช่น ถามพยาบาลที่ห้องพัก  เพราะห้องพักที่เราอยู่ เป็นห้องสามัญสำหรับคนไข้ตั้งครรภ์ ที่มีโรงเบาหวานแทรกซ้อนโดยตรง และเราเองก็น้ำตาลต่ำ (ประมาณ 50++) บ่อยครั้งจากการปรับยาเยอะๆของหมอ จึงต้องไปอยู่ในห้องกับพี่ๆพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการ  แต่พี่ๆพยาบาลก็ไม่มีใครเคยรู้จักยาตัวนี้  ลองเช็คกับเพื่อนๆ ที่เค้ามีคนรู้จักเป็นเภสัช  ก็ไม่รู้จัก  โดยบอกแค่ว่า ปกติ ก็มีอินซูลินแบบ R และ N และ แบบผสม 70/30 ประมาณนั้น แม้แต่แบบผสมเอง เค้ายังไม่นิยมใช้ในคนตั้งครรภ์เลย จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 20:49:47

ความคิดเห็นที่ 2 โดยเวลาที่ผ่านไป  เราพอรู้แล้วว่า เราต้องฉีดยาประมาณเท่าไหร่ เพราะพอฉีดประมาณนี้ น้ำตาลก็คุมได้ดี ( ก่อนอาหาร 90-100 ) หลังอาหาร ( 120-150 ) ประมาณนั้น แต่ก็ยังไม่มีวี่แววได้กลับบ้าน  แล้วหมอก็ปรับยาสวิงงงงง ใหม่ พอปรับขึ้น  เราก็น้ำตาลต่ำ  จนเกิดอาการบ่อยๆ เฮ้อ จนผ่านมาใกล้จะ 2 อาทิตย์ ก็ยังไม่ได้กลับ  จนแม่สามีเราแปลกใจ โทรไปถามหมอ  หมอก็บอกประมาณว่า ยังคุมน้ำตาลไม่ได้  แม่สามีเลยบอกว่า ก็หมอเพิ่มยาทีละเยอะๆ เราก็น้ำตาลต่ำ  เวลาลดยา น้ำตาลมันก็ขึ้น ก็ถูกแล้ว  นี่จะ 2 อาทิตย์แล้ว  ทำไมหมอยังปรับยาไม่ลงตัวซะที  หมอเลยบอกแม่สามีว่า อีก 2 วัน จะให้กลับบ้านแล้ว  ก็จบไป พอในเวลาต่อมา กำหนดกลับบ้านวันพรุ่งนี้  หมอก็มาบอกตอนเย็นว่า ทางอาจารย์หมอเค้ายังไม่อยากให้เรากลับนะ  เค้าอยากคุมให้ดีกว่านี้ก่อน  อ๊ากกก ตอนมาคุย เค้ามากันเป็นทีมหมอ  เราก็ งง งง    พอหมอเดินกลับไป  เราเลยนึกได้ โทรฯไปคุยกับหมอ ( เบอร์ส่วนตัวหมอ )  สรุปคือ  ประมาณว่า จริงๆแล้ว อาจารย์หมอเค้าคิดว่า ยาอีกตัว น่าจะได้ผลดีกว่ากับเรา  และมันไม่ใช่ยาตัวใหม่อะไรนะ  เค้าวิจัยกับมาเกือบ 10 ปีแล้ว  เราเลยถามว่าแล้วเคยใช้กับคนท้องไหม  หมอก็ตอบแค่ว่า ไม่น่ามีผลอะไร เพราะมันก็คืออินซูลิน  !@!$@ เราเลยแบบว่า  แล้วถ้าเรายอมเปลี่ยนยา  เราจะได้กลับบ้านไหม  หมอตอบว่า ถ้าเรายอมเปลี่ยนยา หมอรับปากว่า จะให้กลับภายใน 2 วัน  ถ้าเกินกว่านั้น เราจะกลับเค้าก็ไม่ว่า ประมาณนั้น เราน้ำตาซึมเลย  รู้สึกร้องจี๊ดๆ เป็นหนูทดลองยังไงก็ไม่รู้ เลยตอบหมอไปว่า  OK เรายอมเปลี่ยนยา เราจะได้กลับบ้าน  หมอจะสั่งยาให้ได้เมื่อไหร่  หมอก็บอกว่า เค้าจะเปลี่ยนให้เลย ก็เริ่มฉีดพรุ่งนี้เช้าได้เลย (ตอนคุยกับหมอ ประมาณ ห้าโมงเย็นแล้ว) พอวางสาย  เราเลย แบบว่า นั่งร้องไห้เลยอ่ะ  นึกเลยว่า ทำไมเป็นแบบนี้  เราอยากกลับบ้าน เราเครียด  เราเหนื่อย  เราอยู่โรงพยาบาลเราไม่ได้พักอ่ะ  เอาแต่เข้าแลปเช็คโน่นๆ นี่ๆ ( เดี๋ยวเล่าต่อตอนท้าย )  แล้วคุณแฟนก็โทรฯมา   จริงๆคุณแฟนมาหาเราทุกวัน  พอเค้าเคลียร์งานเสร็จปุ๊ป เค้ามาหาเราทุกวัน  อยู่จนหมดเวลาเยี่ยม  เราก็ซึ้งแฟนมากๆตรงนี้  แม้เราจะบอกว่า เห็นงานยุ่ง วันนี้ไม่ต้องมานะ  แต่เค้าก็มาทุกวัน  มาอย่างเหนื่อย  มาอย่างโทรม  แต่ก็มา  ซึ้งมาก  คือเค้ารู้ว่าเรามันเด็กห้องแอร์  พอมาอยู่แบบนี้แล้วมันทรมาน  เค้าเลยเอากระติกน้ำแข็งมา 1 ใบ  ซื้อน้ำแข็งยูนิตมาใส่ให้ทุกวัน 2-3 ถุง เพื่อให้เราแช่ cool pack ( เอามาจากบ้าน 5 อัน ) และขวดน้ำ เพื่อให้มีน้ำเย็นกินดับร้อน   เราดีใจจริงๆ  ตัดสินใจไม่ผิดที่แต่งงานกับแฟนนะ  เราไม่เคยเสียใจเลย  ยังรู้สึกว่า เค้าดีกับเรามากๆ  เรายังไม่ดีกับเค้าขนาดนี้เลย  ฮือๆๆ ซึ้ง จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:02:31

ความคิดเห็นที่ 3 เฮ้อ รพ.รัฐ จากคุณ : ตังโอ๋ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:09:19

ความคิดเห็นที่ 4 ปาด จากคุณ : tangmae เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:09:35

ความคิดเห็นที่ 5 อ่ะ ต่อๆ  ทีนี้ พอคุณแฟนโทรฯมา เพราะรถติดมาก เค้ากลัวเราเหงา เลยโทรฯมาหาก่อน  เจอเราร้องไห้  นึกออกใช่ไหมว่า คนที่แต่งงานกันมาจะสิบปี ร้องไห้ไม่เกิน 1-2 ครั้งเนี่ย  พอได้ยินเสียงเราร้องไห้  เค้าแทบจะบินมาหาเราเลย  เค้าบอกเราว่า ตอนนั้นอยู่แยกพรานนกแล้ว  พอได้ยินเราร้องไห้  เค้าแทบขับรถไม่ได้เลย เราก็เล่าเรื่องคุยกับหมอให้เค้าฟัง  เราก็บอกว่า เราไม่อยากอยู่แล้ว  ฮือ !%#^%$#& พอคุณแฟนมาถึง โผล่ไปโต๊ะพยาบาล  บอกว่าตามหมอมาที เค้าจะคุยด้วย แล้วเค้าก็มาหาเราที่เตียง  เค้าดูโกรธมาก จนเราต้องปลอบเค้าแทนว่าให้ใจเย็นๆ  ผ่านไป 10 นาที ไม่มีท่าทีหมอจะมา เค้าเลยเอาเบอร์หมอจากเราโทรฯไปคุยเองว่า " ผม สามีคุณ...  ผมจะให้เค้าออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ตอนนี้ คุณหมออยู่ที่ไหน  ทำไมไม่ขึ้นมาสักที" หมอบอกยังไม่มีใครตาม ไม่รู้เรื่อง แล้วบอกว่าเดี๋ยวขึ้นมา ผ่านไปอีกเกือบครึ่ง ชม.  หมอมาทัน เป็นทีมแพทย์เดิม  แล้วก็มาคุยๆ  ว่า " ยาที่ผมจะให้ ไม่ใช่ยาใหม่นะครับ มันมีการวิจัยมาเกือบสิบปีแล้ว " แฟนบอกว่า ผมจะให้แฟนผมกลับบ้านวันนี้  ยาให้ฉีดยาเดิม ส่วนจำนวนที่ต้องฉีดให้หมอเขียนมา แต่ไม่เปลี่ยนยาตัวใหม่ ก็รอเคลียร์เรื่องที่จะกลับบ้านประมาณ 4 ชั่วโมง  อ่านไม่ผิดหรอกคะ  4 ชั่วโมง  โอ้ววว  มายยย ก๊อตตต จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:09:36

ความคิดเห็นที่ 6 แล้ว จะรักษา ต่อยังไง ล่ะ หากไปรักษาที่ใหม่ แล้วดีขึ้น รบกวนมาบอกเป็นวิทยาทานด้วย นะครับ จากคุณ : SuperCrazyBoy เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:10:57

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นใจหมอ เจอคนไข้เทวดา จากคุณ : นอกวงการ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:16:29

ความคิดเห็นที่ 8 โหวตให้ครับ จากคุณ : เขียนบน iPad (thongchai9309) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:20:00

ความคิดเห็นที่ 9 นี่คือเรื่องคร่าวๆที่เราเล่านะ  รายละเอียดปลีกย่อยมันเยอะ อ่ะ อ่ะ  มาต่อเรื่องการเข้า lab ตรวจ   คือ การมานอนครั้งนี้  หมอปรึกษาหมอเยอะแปลกๆอ่ะ มีหมอโภชนาการมา  แรกๆก็จัดการเรื่องอาหารเฉยๆ  ก็จำกัดอาหารเราว่า วันนึง ไม่เกิน 1,500 กิโลแคลลอรี่ พอผลตรวจแล็ปออกมา  กลายเป็นว่า มีคีโตนขึ้นสูง 4+  บอกว่าเราจะเป็นภาวะเลือดเป็นกรดอีก ทำการส่วน lab อีก  เพราะหาว่าเราจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1  เป็นงั้นไป จนทดลองเสร็จ ไม่ใช่  แต่คิดว่าเราขาดอาหาร ( ก็คงงั้นอ่ะ เราออกตัวกลม แถมท้องอีก จำกัดอาหารมาซะ )  เลยให้เราไปเข้า lab เข้าเครื่องทดลองการเผาผลาญพลังงาน  ตอนแรกก็มาบอกเราว่า มันเป็นเครื่องแคปซูล  เราเข้าไปนอน  แค่นั้น  เราก็กลัวกระทบกับลูกในท้องของเรา  ขอแล้ว ขออีกว่าเราไม่ตรวจนะ  เราก็ถามไปว่า ตรวจแล้วจะได้อะไร  เราไม่มีตังค์จ่ายนะ  หมอเค้าก็บอกว่า ค่าlab นี้แค่ 2-3 พันเอง  แล้วก็ไม่อันตรายกับเด็กในท้อง  เราก็ยื้อๆ ว่าเราไม่อยากตรวจอ่ะ  เค้าก็ไม่ให้  เราเลยถามไปตรงๆว่า  ตรวจแล้วจะมีอะไรดี  ถ้าผลมาว่า  ต้องลดอาหารเราอีก  เราก็อยู่ไม่ได้แล้ว กลับบ้านไปก็คงกินเยอะขึ้นอยู่ดี เพื่อให้อิ่ม  จริงไหม สุดท้าย  เราก็ต้องไปทำ lab เพราะมีเจ้าหน้าที่ มีหมอโภชนาการ มาคุยมากมายยย  จน เฮ้อ  ไม่พ้น ต้องไปทำ การทำคือ  ให้เรานอนบนเตียง  เอาหน้ากากมาครอบหัว ให้เราหายใจในหน้ากากนั้น  ดูอัตราการคายคาร์บอนของเรา เพื่อไปคำนวณว่าจริงๆแล้ว ร่างกายเราต้องการใช้พลังงานวันละเท่าไหร่ ผลที่ออกมา  โอ้วว แม่จ้าวววว  ร่างกายเราต้องได้อาหารอย่างน้อยวันละ 2,100 กิโลแคลอรี่ สุดท้าย  ต้องเพิ่มอาหาร  การเพิ่มอาหารของโรงพยาบาลดีมาก  คือ เพิ่มข้าวให้เป็น 3 ทัพพี แต่กับข้าวเท่าเดิม  อืม@#!%! นี่ยังไม่รวม  อาหารปูด ตุตุ  น้ำแกงฟักเน่าๆ ( ฟักมีสีน้ำตาลเกาะ รสเปรี้ยว )  นมกล่องบวมๆ  หรือแม้กระทั่ง นมกล่องบวมจนรั่ว  นมไหลในถาดอาหารเต็มไปหมด จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:22:08

ความคิดเห็นที่ 10 อ่ะ อ่ะ เอารูปวันนมไหล มาให้ดูเป็นหลักฐานคะ จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:23:06

ความคิดเห็นที่ 11   ความคิดเห็นที่ 7   เห็นใจหมอ เจอคนไข้เทวดา จากคุณ : นอกวงการ   เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:16:29     ถ้าคิดแบบนั้น  ขอให้คุณได้เจอเองนะคะ  เพี้ยง    จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:24:16

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นด้วยกับคห.11 ขอให้คห.7 เจอบ้างเอาให้จุกพูดไม่ออกไปเลย ใครไม่เคยผ่านเหตุการณ์ทำนองนี้คงไม่รู้ว่าเครียดแต่ไหนที่นอนในรพ.แบบไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่.... จากคุณ : คนอุดมเดชครับ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:34:15

ความคิดเห็นที่ 13 ความคิดเห็นที่ 6 MsgStatus(Msv[6], 6); แล้ว จะรักษา ต่อยังไง ล่ะ หากไปรักษาที่ใหม่ แล้วดีขึ้น รบกวนมาบอกเป็นวิทยาทานด้วย นะครับ จากคุณ : SuperCrazyBoy เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:10:57   สำหรับเรื่องการรักษาต่อ  เรายังชั่งใจอยู่นิดๆ ณ ตอนนี้ เรากลับมาบ้านได้หลายวันแล้ว ควบคุมน้ำตาลได้ในระดับที่ดี เราฉีดยาก่อนอาหาร ( เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน) รวม 4 เวลา  และเจาะเลือดวัดระดับน้ำตาลวันละ 7 รอบ ( ก่อนอาหาร และหลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น  รวม 6 + ก่อนนอน อีก 1 รอบ) เพื่อดูระดับน้ำตาล และปรับยาเอง  ตามหลักที่หมอคนก่อนได้สอนไว้ จริงการที่เรามารักษาที่นี่ เพราะหมอคนก่อน เป็นหมอที่ดี ละเอียดรอบคอบ และมีจิตวิทยาในการคุยกับคนไข้มากๆ  สามารถตัดสินใจในการรักษาเองได้ ( รักษาเป็นทีมหมอเหมื่อนกัน แต่ไม่ต้องมานั่งรอโทรฯถามหมออีกคนทุกครั้ง ) เพราะหมอคนนี้ คือ เวลาเราเจาะเลือด ( วันละ 8 ครั้ง ) 1. ก่อนอาหารเช้า 2. หลังอาหารเช้า 3. ก่อนอาหารกลางวัน 4. หลังอาหารกลางวัน 5. ก่อนอาหารเย็น 6. หลังอาหารเย็น 7. ก่อนนอน 8. ตอนนอน (ประมาณ ตี3) คือเวลาที่เราเจาะเลือดก่อนอาหาร คุณพยาบาลจะต้องโทรไปหาหมอ เพื่อถามจำนวนอินซูลินที่จะฉีดในก่อนอาหารในแต่ละมื้อ  แต่กับหมอคนนี้ ต้องรออีกประมาณ 5-10 นาที++ เพราะเค้าจะต้องถามหมออีกคนเสมอ !$@!   อ่ะ เลิกบ่นนะคะ  การรักษาต่อ  คือยังไง ก็ยังต้องไปหาหมอ (สักที่) เพราะต้องการผลlab เช่นน้ำตาลสะสม เพราะที่เราตรวจเองได้ที่บ้าน ก็แค่เจาะเลือดน้ำตาลปลายนิ้ว และเช็คความดันเท่านั้น กำลังคิดว่า จะกลับไปรักษาที่เดิม ( ค่ารักษาถูก และประวัติอยู่ที่นี่ (คราวนี้ก็ปาไปเกือบ3หมื่นแล้วนะ แพงค่าlab ค่าเตียงวันละ 300 เอง หุหุ )  หรือจะไปโรงพยาบาลเอกชนแถวบ้าน (เคยไป เจาะเลือดที 2-3พันอย่างน้อย) ตอนนี้ ยังคิด ๆ ๆ ไม่ตกอยู่  คือสำหรับเรา  ต้องการผลlab บางอย่าง เพื่อดูเบื้องต้น ในเรื่องของเบาหวาน ส่วนถ้าเรื่องการฝากครรภ์ เราคงไปฝากเอกชนใกฃ้บ้านมากกว่า  เพราะคงไปฝากที่นี่ไม่ได้  เท่าที่ถามๆดู หมอไม่รับฝากพิเศษสำหรับคนไข้ที่มีโรคแทรกซ้อนอย่างเราค่ะ จะให้หมอเวรมาทำคลอดให้ เราคงทำใจไม่ได้อ่ะ กลัวลูกเป็นอะไรไปคะ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 55 21:51:57 จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:36:01

ความคิดเห็นที่ 14 รอๆ จากคุณ : tangmae เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:38:16

ความคิดเห็นที่ 15 อ่ะ  ฝากรูปจากมือถือ  สิ่งที่ทำให้พอทำให้อยู่ที่โรงพยาบาลได้คะ ( ตอนประมาณ ตี5ครึ่ง) จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:39:13

ความคิดเห็นที่ 16 ตี 5 ครึ่ง สว่างขนาดนี้เลยหรือครับ แถวบ้านผมยังมืดสนิทเลยครับ จากคุณ : zenario เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:43:17

ความคิดเห็นที่ 17 การที่คนไข้มีความรู้ในระดับหนึ่งไม่ได้แปลว่าเป็นคนไข้เทวดา ไม่ได้แปลว่าคนไข้เรื่องมาก กลับกันผมแปลกใจว่าทำไมหมอถึงให้เหตุผลที่ดีกว่านี้ไม่ได้   คำถามของจขกทนั้นถูกต้องแล้วว่า การตรวจ การรักษาใดๆนั้นมันมีข้อดีอย่างไร ข้อเสียอย่างไร ไม่ทำได้หรือไม่ ทำแล้วจะเปลี่ยนการรักษาอย่างไร - หากหมอตอบไม่ได้เวลาไปสอบบอร์ด(หรือสอบนศพ.ก็ตามแต่ระดับโจทย์ง่ายกว่านี้)เหนื่อยแน่ๆครับเพราะคำถามเหล่านี้อาจารย์สามารถอัดได้และคำตอบจะไม่ง่ายๆแบบอธิบายคนไข้ครับ แต่เรื่องที่หมอเขาเหมือนจะมากเรื่อง พยายามตรวจมากมายนั้น จขกท เองก็ต้องอย่าลืมว่ามันแสดงว่าหมอเขาเอาใจใส่ และพยายามหาทางที่ดีที่สุดให้กับคุณ เพียงแต่ไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจได้เท่านั้นเอง ผมเองมองว่ามันดีกว่ารักษาแบบเหมาะโหลไปคนไข้ทุกคนทำเหมือนกัน แล้วสักวันก็ต้องพลาดหลุดเคสที่มีปัญหาจนได้ เรื่องที่หมอไม่มาทันที อันนี้ก็ปกติเพราะเขาไม่ได้จัดหมอไว้รอบริการญาตินะครับ ไม่ใช่เอกชน การที่หมอไม่รู้ว่าถูกตามก็ไม่แปลกเพราะพยาบาลอาจตามหมอท่านอื่นก็ได้เช่นหมอที่อวุโสอ่อนสุดก่อน หมอที่อยู่เวร ณ เวลานั้น เรื่องที่ใช้เวลากลับบ้านนาน อันนี้ตัวผมเองก็เบื่อนะโดยเฉพาะหากเป็นอายุรกรรมที่เตียงเต็มเกือบตลอด อยากจะเอาคนไข้รายใหม่นอนรพ.ใจจะขาดแต่ต้องมารอ ร๊อ รอ ขั้นตอน ระบบที่ยาวนาน แต่ก็อย่าลืมว่านีเป็นการกลับบ้านที่ไม่ได้คาดการณ์ดังนั้นมันก็ยิ่งต้องนานเพราะต้องมาคิดค่าใช้จ่ายต่างๆให้เรียบร้อยก่อน หากเป็นเคสที่มีแพลนกลับบ้านเขามักจะเริ่มเคลียร์ตรงนี้ไปพลางๆล่วงหน้าครับมันก็จะเร็วกว่านี้(นิดนึง) ส่วนเรื่องอาหารผมเองเฉยๆรพ.รัฐก็ประมาณนี้ครับ แต่ขอบอกว่าเวลาทำงาน(ซึ่งเกินเวลาประจำ)ได้กลิ่นอาหารแล้วอยากกินมากเลย ปล.แต่ระดับศิริราชผมมองว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องสื่อสารอยู่มากกว่าที่หมอจะไม่รู้เรื่อง จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:49:18

ความคิดเห็นที่ 18 ความคิดเห็นที่ 16 MsgStatus(Msv[16], 16); ตี 5 ครึ่ง สว่างขนาดนี้เลยหรือครับ แถวบ้านผมยังมืดสนิทเลยครับ จากคุณ : zenario เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:43:17 ใช้มือถือถ่ายจ้า  แต่เราก็ว่าดูสว่างๆนะ  อิอิ  ในรูป พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นคะ จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:53:15

ความคิดเห็นที่ 19 กลับไปดูรูปอีกครั้ง พบว่าตรงลายเซ็นต์แพทย์ ลงว่าเป็น แพทย์ประจำบ้านต่อยอด (Fellow) ซึ่งก็คือแพทย์ที่จบเฉพาะทางมาแล้ว แล้วมาเรียนต่อในสาขาย่อยๆอีก แสดงว่ามีความรู้พอสมควรแล้วครับ การที่แพทย์ท่านนั้นยังต้องโทรศัพท์รายงานแพทย์อีกคนก่อนสั่งการรักษา เดาว่าน่าจะโทรหาอาจารย์แพทย์ (Staff) ครับ ซึ่งผมเดาว่า 1.โรคของจขกท.อาจไม่ตรงไปตรงมาซะทีเดียว 2.แพทย์ท่านนั้นเอาใจใส่จขกท.ค่อนข้างดีพอสมควรครับ 3.หากแพทย์ท่านนั้นไม่สามารถอธิบายจขกท.ให้เข้าใจได้ น่าจะเป็นเรื่องความสามารถในการสื่อสารมากกว่าเรื่องความรู้ครับ (เพราะหมอเฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อ ส่วนใหญ่มักพูดไม่รู้เรื่องเท่าที่ผมเจอมานะครับ ไม่รู้ว่าที่รพ.นั้นจะเป็นแบบเดียวกันหรือไม่) 4.เรื่องการตามแพทย์แล้วไม่มา หรือนานมากๆๆๆกว่าจะมาเนี่ยปกติครับ เพราะแพทย์ 1 คนดูแลผู้ป่วยเป็นร้อย/วันครับ ทั้งดูผู้ป่วยใน ตรวจผู้ป่วยนอก รับปรึกษาจากแผนกอื่น (รับ consult) งานวิจัย งานสอนครับ เรื่องอื่นผมยังไม่ขอออกความเห็นครับ ยังอ่านไม่ละเอียด จากคุณ : zenario เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 22:02:24

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยกับคห.19 อย่างแรงค่ะ และไม่ว่ารพ.ไหนถ้าคนไข้ขอกลับบ้านโดยแพทย์มิได้อนุญาตก็ต้องเซ็นต์เอกสารนี้ค่ะ เพื่อยืนยันว่าคนไข้สมัครใจไม่รับการรักษาเองหมอไม่ได้ไล่คุณกลับไป   ส่วนของแพทย์และระบบแพทย์ เค้าก็มีระบบปรึกษาตามสายเค้าอ่ะค่ะ ถ้าคุณไม่มั่นใจในการรักษาไปเอกชนน่าจะสบายใจกว่านะคะ ส่วนเรื่องอื่นไม่อยากคอมเม้นต์นะคะกลัวคดีพลิกอีก 555 ปล.เราก็เพิ่งเจอมาเหมือนกันลูกเพิ่งแอดมิทที่นี่ มีแต่แพทย์ประจำบ้านมาตรวจแล้วโทรรายงานอาจารย์อยู่เป็นอาทิตย์ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของไข้ (อาจารย์) รพ.รัฐต้องทำใจค่ะ จากคุณ : Z-Cube เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 22:19:04

ความคิดเห็นที่ 21 ช่วงนี้เป็น season ใหม่ แพทย์ต่อยอด fellow เก่า พึ่งจบไป แพทย์ต่อยอดใหม่ เข้ามาแทนที่ บางคนจบจากสถาบันอื่น ก็มีสไตล์การทำงานตามวัฒนธรรมแต่ละที่ บางคนต้องมาเรียนต่อที่ศิริราชอาจยังปรับตัวไม่ได้ก็ได้ ขอบอกนิดนึงนะครับ เวลาหมอเรียนเฉพาะทางกัน season เริ่มที่ 1 มิย จบที่ 1 พค และเรียนเป็น loop ละ 1 เดือนนะครับ นี่ก็ต้นเดือน และช่วงต้นปี อาจเป็นหมอใหม่พึ่งเข้ามา ปรับตัวไม่ได้ก็เป็นได้ครับ เลยยังมีอะไรไม่เข้ารูปเข้ารอย ที่แน่ๆ ทำอะไรทุกครั้ง ทำ under อาจารย์แพทย์หมดครับ จากคุณ : vkp_nirvana เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 22:19:52

ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 17 MsgStatus(Msv[17], 17); การที่คนไข้มีความรู้ในระดับหนึ่งไม่ได้แปลว่าเป็นคนไข้เทวดา ไม่ได้แปลว่าคนไข้เรื่องมาก กลับกันผมแปลกใจว่าทำไมหมอถึงให้เหตุผลที่ดีกว่านี้ไม่ได้   คำถามของจขกทนั้นถูกต้องแล้วว่า การตรวจ การรักษาใดๆนั้นมันมีข้อดีอย่างไร ข้อเสียอย่างไร ไม่ทำได้หรือไม่ ทำแล้วจะเปลี่ยนการรักษาอย่างไร - หากหมอตอบไม่ได้เวลาไปสอบบอร์ด(หรือสอบนศพ.ก็ตามแต่ระดับโจทย์ง่ายกว่านี้)เหนื่อยแน่ๆครับเพราะคำถามเหล่านี้อาจารย์สามารถอัดได้และคำตอบจะไม่ง่ายๆแบบอธิบายคนไข้ครับ แต่เรื่องที่หมอเขาเหมือนจะมากเรื่อง พยายามตรวจมากมายนั้น จขกท เองก็ต้องอย่าลืมว่ามันแสดงว่าหมอเขาเอาใจใส่ และพยายามหาทางที่ดีที่สุดให้กับคุณ เพียงแต่ไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจได้เท่านั้นเอง ผมเองมองว่ามันดีกว่ารักษาแบบเหมาะโหลไปคนไข้ทุกคนทำเหมือนกัน แล้วสักวันก็ต้องพลาดหลุดเคสที่มีปัญหาจนได้ เรื่องที่หมอไม่มาทันที อันนี้ก็ปกติเพราะเขาไม่ได้จัดหมอไว้รอบริการญาตินะครับ ไม่ใช่เอกชน การที่หมอไม่รู้ว่าถูกตามก็ไม่แปลกเพราะพยาบาลอาจตามหมอท่านอื่นก็ได้เช่นหมอที่อวุโสอ่อนสุดก่อน หมอที่อยู่เวร ณ เวลานั้น เรื่องที่ใช้เวลากลับบ้านนาน อันนี้ตัวผมเองก็เบื่อนะโดยเฉพาะหากเป็นอายุรกรรมที่เตียงเต็มเกือบตลอด อยากจะเอาคนไข้รายใหม่นอนรพ.ใจจะขาดแต่ต้องมารอ ร๊อ รอ ขั้นตอน ระบบที่ยาวนาน แต่ก็อย่าลืมว่านีเป็นการกลับบ้านที่ไม่ได้คาดการณ์ดังนั้นมันก็ยิ่งต้องนานเพราะต้องมาคิดค่าใช้จ่ายต่างๆให้เรียบร้อยก่อน หากเป็นเคสที่มีแพลนกลับบ้านเขามักจะเริ่มเคลียร์ตรงนี้ไปพลางๆล่วงหน้าครับมันก็จะเร็วกว่านี้(นิดนึง) ส่วนเรื่องอาหารผมเองเฉยๆรพ.รัฐก็ประมาณนี้ครับ แต่ขอบอกว่าเวลาทำงาน(ซึ่งเกินเวลาประจำ)ได้กลิ่นอาหารแล้วอยากกินมากเลย ปล.แต่ระดับศิริราชผมมองว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องสื่อสารอยู่มากกว่าที่หมอจะไม่รู้เรื่อง จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 21:49:18 ถูกใจ : zenario, nongnew2000   ขอบคุณนะคะที่เข้าใจ สำหรับเราเอง การที่ป่วยเป็นโรคสักโรคนึง เราจะพยายามหาความรู้ เท่าที่จะพอหาได้ และด้วยความที่หมอคนก่อนเป็นคนที่น่ารักมาก หมอเค้าจะบอกว่า คนเป็นเบาหวาน ไม่ใช่ต้องห่อเหี่ยวในชีวิต  ยังสามารถกินได้ทุกอย่าง แต่ต้องจำกัดปริมาณ  อย่างเราชอบกินชอคโกแลต(ดาร์ก 70-80++) หมอก็ยังบอกว่า ยังพอกินได้ อาจจะกิน 1/2ชิ้น ( ชิ้นเล็กๆๆๆๆ เช่นประมาณ 1*1นิ้ว) ก็ประมาณนั้น กินได้ 2-3 สักทีนึง ซึ่งสำหรับเรา เป็นอะไรที่ชื่นใจสุดๆ เรายอมรับว่า ก่อนท้อง เราก็ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก  ตอนที่รู้ว่าเป็นเบาหวานครั้งแรก วัดน้ำตาลได้ 263 และ น้ำตาลสะสม 11 ซึ่งถือว่าสูงมาก หมอคนก่อน จะแนะนำการกินอาหาร การกินยา มาให้ และนัดยาวๆ เพราะเชื่อว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้  ซึ่งสามารถวัดได้จากน้ำตาลสะสม ( น้ำตาลในเลือด ถ้าคนหัวใส งดอาหารสักอาทิตย์ก่อนหาหมอ มันก็ลดแล้ว จริงป่ะ)  แต่น้ำตาลสะสมเราลดลงเรื่อยๆ  จนตอนนี้ ผลคือ 8.5 และน่าจะลดลงเรื่อยๆอีก  เพราะตั้งแต่รู้ว่าท้อง ก็คุมอาหารอย่างเคร่งครัด หยุดขนมทุกสิ่งอย่างเลย แห่ะๆ สำหรับเรื่องการทำ LAB นั้น เราพอเข้าใจว่า ถ้ามีการทำ มันจะได้ผลยืนยันที่หมอๆในทีมไม่ต้องมานั่งเถียงกันในบางกรณี ( เช่นเรื่องอาหารเรา จากคิดจะลดอาหาร กลายเป็นต้องเพิ่มซะงั้น )  แต่ที่ต้องถาม เพราะเรามีลูกอยู่ในท้อง การจะทำอะไร ต้องคำนึงถึงลูกเป็นอันดับแรก  กลัวจะกระทบเค้าเป็นที่สุด เพราะสำหรับหมอ  แม้บางอย่างที่มีความเสี่ยงกับเด็กในท้องได้ แต่คุ้มค่าในการทดลองสำหรับเค้า เค้าอาจจะมองที่การคุ้มมากกว่า  ในขณะที่ความเป็นแม่ของเรา  จะไม่ยอมให้อะไรมากระทบกับลูกในท้องของเราเลยคะ จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 22:20:00

ความคิดเห็นที่ 23 คห.15  ถ่ายจาก Samsung 2012:06:27  เมื่อเวลา 6:03:33 น. Samsung Electronics SGH-F480 | N/Amm F2.828125 N/A ISO100 | 2012:06:27 06:03:33 | ACDSee Pro 5 จากคุณ : Cupid MOMO เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 22:25:50

ความคิดเห็นที่ 24 ฟังจากที่เล่ามา ถ้าเราเป็นแพทย์คนแรกที่ดูแลจขกท.คงภูมิใจมาก ที่ดูแลคนไข้ได้ดี และให้ความรู้อย่างดีจนคนไข้สามารถดูแลตัวเองได้ดีมากเลยค่ะ แต่แพทย์คนที่สองเราก็รู้สึกว่าไม่ happy จริงๆ เป็นแพทย์ต่อยอดเบาหวาน หรือสูติแพทย์คะ  ไม่ได้อคตินะคะ คือจากประสบการณ์ ช่วงเดือนมิย.จะเป็นช่วงที่แพทย์หมุนเวียนกัน ง่ายๆเลยคือหมอใหม่นั่นแหละค่ะ เพิ่งจบไปใช้ทุนใหม่ๆ เพิ่งกลับมาเรียนเฉพาะทางฯลฯ สงสัยจขกท.จะเจอหมอใหม่เข้าให้แล้วล่ะค่ะ ส่วนแพทย์ท่านแรก ไม่ได้ใช้ทุนศิริราชหมดมั้งคะ น่าจะเรียนจบกลับไปใช้ทุนต้นสังกัดแล้ว หรือกลับไปทำงาน ถ้ายังจำชื่อได้ ลองเสริชกูเกิลดูก็ได้นะคะ ว่าหมอไปอยู่ที่ไหนแล้ว เผื่อตามไปได้ค่ะ จากคุณ : hellokittygirl เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 22:33:48

ความคิดเห็นที่ 25 อันที่จริง หมอที่ดูแลจขกท.จะดูเป็นทีม ซึ่งก็คือทีมอายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อ ซึ่งก็อาจจะมีอจ.หลายๆท่าน แต่เป็นอจ.ประจำที่ศิริราชนั่นแหละ การตัดสินใจ การดูแลต่างๆมาจากอาจารย์เป็นหลัก ส่วนแพทย์เจ้าของไข้เป็นผู้ำนำหลักการที่อจ.ให้มา มาสั่งการรักษา มาสื่อสารกับตัวคนไข้โดยละเอียดอีกทีนึง คือถ้าว่ากันโดยหลักๆแล้ว จขกท.ก็รักษากับแพทย์ทีมเดิมนั่นแหละ แต่แพทย์เจ้าของไข้เปลี่ยนไปเพราะท่านเก่าเรียนจบไปแล้ว ที่บอกแบบนี้เพราะความรู้สึกว่าเปลี่ยนหมอ แต่จริงๆมันไม่ใช่ อจ.ที่ดูแลก็อาจจะเป็นท่านเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่คนที่สื่อกับจขกท.เปลี่ยนไป เลยทำให้ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ แต่ท่านเก่าน่าจะเป็น fellow ชั้นปีที่สูงกว่า เลยดูคล่องตัวในการตัดสินใจมากกว่า ส่วนท่านใหม่คงเพิ่งเข้ามา การตัดสินใจสั่งการอะไรก็เลยต้องปรึกษา fellow รุ่นพี่หรืออจ.หลายทอดหน่อย แต่การรักษาของทั้งสองท่านก็คือต้องผ่านการการพิจารณาของอจ.มาแล้วเหมือนกัน แพทย์ท่านเดิมเขาก็มาเรียนเหมือนกัน ก่อนจะเก่งแบบที่จขกท.เห็นก็ผ่านจุดเริ่มต้นแบบนี้มาเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 00:11:09 จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 00:09:47

ความคิดเห็นที่ 26 จริงๆถ้าจขกท.ห่วงลูกในท้อง การฝากกับรรพ.อย่างศิริราชน่าจะดีที่สุดแล้ว คือความคิดจขกท.มันออกจะกลับตาลปัตรกับความจริงไปหน่อยค่ะ แต่คนทั่วไปก็มักคิดแบบจขกท.คือฝากพิเศษเอกชนน่าจะดีที่สุด (จาก คห.13) การที่อจ.ศิริราช(หรือรรพ.ส่วนใหญ่)ไม่รับฝากพิเศษเคสแบบนี้ เป็นเพราะเคสโรคซับซ้อนต้องการการดูแลที่ละเอียด ต้องมอบหมายลูกน้อง(หมอลูกศิษย์)คอยติดตามเคส ต้องพึ่งอายุรแพทย์ด้วย อจ.ดูแบบฝากพิเศษจะดูเองคนเดียวก็ปวดหัวตาย จึงมักไม่มีใครรับฝาก เพราะเคสมันยากเกิน ไม่ค้มค่าฝากพิเศษหรอก แล้วก็เสี่ยงทั้งหมอทั้งคนไข้ เรื่องคลอดกับแพทย์เวรไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าพูดถึงระดับโรงเรียนแพทย์แล้ว แพทย์เวรก็เป็นแพทย์ต่อเฉพาะทาง ไม่ใช่ไก่กาอาราเร่ซะเมื่อไหร่ ตอนจะคลอดจะมีหมอเบาหวานมาคอยปรับน้ำตาลให้อีกด้วย เราคิดว่าเอกชนที่จขกท.ไปฝากไม่น่าจะมีทั้งสูติแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารก+แพทย์อายุรกรรมต่อมไร้ท่อค่ะ เพราะเป็นระดับเฉพาะทางของเฉพาะทางอีกทีนึง ยิ่งจะเอาครบทั้งสองสาขาแล้วจะมาดูเต็มเวลาเราว่าหายากค่ะ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 00:55:55 จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 00:21:08

ความคิดเห็นที่ 27 มายืนยันว่า ฟัง Endocrine อธิบายไม่เคยรู้เรื่องเหมียนกันเลยขอรับ ฮี่ ฮี่ (ดีใจแทบบ้า นึกว่า เราเป็นอยุ่คนเดียว) และเป็นเหมือนกันหมดทุกที่ (ให้ตายเถอะ เขาสามารถถ่ายทอดกันจนลงลึก ถึง DNA ได้ด้วย สาขานี้ ขอคารวะ) จากคุณ : อัสสุชลแห่งตารา เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 00:33:14

ความคิดเห็นที่ 28 อ่านหัวกระทู้ตกใจ นึกว่าแค่จะกลับบ้าน โรงบาลบังคับเซ็นปฏิเสธการรักษา ...ก็ จขกท. ปฏิเสธการรักษาจริงๆก็ต้องเซ็นอยู่แล้วน่ะ ส่วนเรื่องอื่น ไม่ขอออกความเห็นมาก เราไม่ได้ฟังข้อมูลทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องตามหมอ (บอกผ่านพยาบาลด้วย) แล้วรอ 10 นาทีก็วีนแตก โทรเข้ามือถือหมอเลย อันนี้เราว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะ หมอโรงบาลรัฐมีงานต้องทำเยอะเลยค่ะ ตรวจคนไข้ ราวน์คนไข้ที่วอร์ด เข้าห้องผ่าตัด อยากให้เข้าใจกันหน่อยนะคะ ยังไงก็ขอให้ จขกท. ท้องนี้ไม่มีปัญหา คุมน้ำตาลได้ เจ้าตัวน้อยคลอดปลอดภัยแข็งแรง นะคะ จากคุณ : Winki เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 00:43:55

ความคิดเห็นที่ 29 อยากรบกวนถามชื่อยาที่จยกท. ได้รับครับ ไม่ทราบว่าพอจำได้มั้ยครับ ผมอยากขอเพื่อนำมาหาข้อมูล เพื่อเพิ่มเติมความรู้ครับ จากคุณ : mamakrapong เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 01:58:39

ความคิดเห็นที่ 30 ผมว่าการอ้างว่าปัญหาคือการสือสารนี่ ผมว่ามันเป็นการเลี่ยงปัญหาที่คลาสสิคมากๆๆๆ  ผมว่าทุกคนมีสิทธิในการรับรู้นะคับ ว่าจะรักษาเราแบบไหน ยาใหม่ ทดลองโปรเจค หรืออะไรหรือป่าว   ต่อให้เป็นรพ.รัฐก็เถอะคับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นฐาน และในกรณีนี้ก็ไม่ด่วนถึงกับเสียชีวิต  ถ้าผมเป็นสามี ผมก็โกรธ ไอ้เรื่องอาหาร ,การเอาใจใส่ ,แอร์ไม่เย็น ห้องน้ำสกปรก ไรนี่ ผมยอมรับครับ ถ้าจะไปรักษาที่รพ.ของรัฐ แต่เรื่องข้อมูลการรักษาต้องเท่าเทียมกันคับ จากคุณ : taisecd เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 02:34:07

ความคิดเห็นที่ 31 ผมว่าปัญหาเกิดจากคนไข้เก่งกว่าหมอมากกว่า เท่าทีอ่านหมอก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยนะครับ แค่แนวทางการรักษาไม่เหมือนจขกท.เท่านั้นเอง จากคุณ : p เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 03:53:43 A:110.168.91.209 X: TicketID:358360

ความคิดเห็นที่ 32 คนไข้ น่าจะเหมาะกับโรงพยาบาลเอกชนมากกว่า ศิริราชนี่แค่ได้เตียงก็เรียกว่าบุญมากทีเดียว ส่วนใหญ่ไปจะโดนหมอหลอกให้ไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนใกล้เคียง การรักษา คงต้องพึ่งหมอเป็นหลัก เราจะเลือกหมอคนไหนก็น่าจะเป็นสิทธิของเรา ถ้าไม่ฉุกเฉิน การขอย้ายไปรักษาที่อื่นเพื่อความสะดวก ก็๋เป็นเรื่องธรรมดามากๆ จากคุณ : letpost เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 07:32:43

ความคิดเห็นที่ 33 เราว่านะ จขกท น่าจะทำตามคำแนะนำของหมอตั้งแต่แรกแล้ว คำว่ายาใหม่ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเอามาลองใช้กับผู้ป่วยได้ ยาที่เอาออกมาใช้ตามรพ.ได้นั้นผ่านการวิจัยมาแล้วทั้งในสัตว์และในคนว่ามีประโยชน์จริงและไม่มีอันตราย จะเอายามาวิจัยกับผู้ป่วย ต้องผ่านคณะกรรมการจริยธรรมของรพ.ก่อน ผู้ป่วยต้องทราบว่าเป็นการวิจัยแล้วต้องลงนามยินยอมจึงจะเอามาใช้กับผู้ป่วยได้ ยานี้ใหม่กว่าตัวอื่นไง แต่ไม่ได้ใหม่จนไม่หมอเฉพาะทางรู้จัก และพยาบาลที่ไม่ติดตามวิชาการก็ไม่รู้จักได้ แพทย์ประจำบ้านต่อยอด คือ fellow เป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว กำลังมาฝึกอบรมเฉพาะทาง 2 ปี แพทย์ท่านนี้คงเป็น fellow เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ การดูแลผู้ป่วยตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงต้องดูแลเป็นทีม ต้องปรึกษาหารือกันตลอด เมื่อครั้งก่อนที่ จขกท รับการรักษาที่นี่ การเรียนการสอนคงยังไม่เป็นระบบอย่างนี้ จึง one man show ได้ นับว่า จขกท ดวงดีที่ผ่านมาได้ไม่เป็นอะไร กลับไปเถอะค่ะ เท่าที่เล่ามา จขกท โชคดีนักหนาแล้วที่ได้รับการดูแลที่รพ.นี้ ไม่ใช่ใครต่อใครรอยากนอนรพ.นี้แล้วจะได้นอนนะ เขารับเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ ด้วยความเป็นห่วงนะคะ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ถ้าคุมได้ไม่ดี มีผลเสียมากมายทั้งต่อคุณแม่และลูกในท้อง กลับไปเถอะค่ะ หรือถ้าไม่อยากกลับเข้าไปจริงๆ ขอให้ไปฝากครรภ์ต่อกับสูติแพทย์ที่จบการต่อยอดด้านมารดาและทารกในครรภ์มาแล้วค่ะ จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 08:49:21 A:110.171.23.42 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 34 ศิริราชเป็นโรงเรียนแพทย์ แพทย์ที่มาดูแลต้องมีการปรึกษาอาจารย์เป็นขั้นๆไปซึ่งเป็นปกติครับ การใช้ยาชนิดใหม่ๆก็เหมือนกัน ศิริราชน่าจะมียาใหม่ๆใช้เป็นแห่งแรกๆ ซึ่งน่าจะดีกว่ายาเดิมด้วยซ้ำ คนที่ปรับยาเป็นแพทย์เฉพาะทาง+อาจารย์แพทย์คงไม่ปรับยามั่วๆแน่ ศิริราชเตียงไม่เคยพอไม่มีใครอยากให้คนไข้นอนนานๆหรอก จขกท.โทรตามหมอ หมอไม่มาทันทีอาจตรวจคนไข้รายอื่นอยู่ ซึ่งจขกท.ก็ไม่ได้มีอาการฉุกเฉินที่แพทย์จะต้องมาทันที เรื่องอาหารไม่ดี ทำใจเถอะครับ รพ.เอกชนอาหารก็ไม่อร่อยเท่าไหร่เหมือนกัน จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 08:49:51

ความคิดเห็นที่ 35 อ้อ ลืมบอกไปว่าคุณหมอคงห่วง จขกท มากถึงกับให้เบอร์มือถือไว้เลย น่าชื่นชมคุณหมอนะคะ การให้เบอร์มือถือนี่ไม่จำเป็นจริงๆหมอไม่ไห้ค่ะ เพราะจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย แม้แต่เวลานอน คุณหมอคนนี้น่าจะเป็นหมอที่ดีคนหนึ่ง เพราะเท่าที่ จขกท เล่ามา เขารับกับอารมณ์ของ จขกท และสามีได้ดี จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 08:59:14 A:110.171.23.42 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 36 ยาที่พูดถึง เข้าใจว่าน่าจะเป็นอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เ็ร็ว ไม่ทราบว่าตัวไหนแน่ แต่ที่รพ.เราใช้กับคนท้องคือ insulin aspart แต่ที่ศิริราชอาจจะเป็นยาใหม่กว่า ดีกว่าตัวนี้ก็ได้ (เราไม่ได้เป็นหมอด้านนี้ก็ไม่ทราบรายละเอียดค่ะ รู้จักเท่าที่เคยเห็นเคยใช้) ซึ่งยาพวกนี้คนเป็นเบาหวานทั่วๆไปไม่ได้ใช้ ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่จะใช้กับคนท้องหรือคนที่ควบคุมน้ำตาลยากค่ะ อย่างที่พี่ OG บอกค่ะ ยาใหม่แต่ไม่ใช่ยาวิจัย พอจขกท.ไประแวงว่าแพทย์กำลังทำการทดลองยา เลยยิ่งไปกันใหญ่ ทีมแพทย์ที่ดูแลก็คงพยายามเต็มที่ที่จะคุมน้ำตาลให้ได้ตามเป้าแบบอุดมคติ แต่อาจจะสื่อสารกับคนไข้ไม่ดีพอ ทำให้เกิดความเครียด และทนต่อการนอนรพ.อย่างยาวนานไม่ได้ แต่เรื่องการรักษา คิดว่าได้ทำไปตามมาตรฐานที่สูงสุดเท่าที่หญิงโรคเบาหวานที่กำลังตั้งครรภ์พึงจะได้รับค่ะ จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 09:28:56

ความคิดเห็นที่ 37 เอกสารนี่คนไข้ต้องเซ็นทุกที่ละค่ะไม่ว่าเอกชน หรือรัฐบาล ในกรณีที่คนไข้ขอออกจากโรงพยาบาล ไม่ยินยอมรับการรักษา ก่อนแพทย์อนุญาตกลับบ้าน  และการขอกลับบ้านตอนเย็นหลังเวลาราชการส่วนใหญ่มักจะช้าอยู่แล้วค่ะเพราะหมอ พยาบาล จนท.อาจกลับบ้านไปแล้วต้องตามตัวมาใหม่ จากคุณ : แม่ปริม (sbvryvr) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 09:39:18

ความคิดเห็นที่ 39 เราไม่ได้เป็นเบาหวานตอนท้อง ไม่ได้ป่วยร้ายแรง แต่เราเข้าใจเลย การเข้าแล็ป ทดลองยา เราเป็นแค่โรคผิวหนังนี้ล่ะ กว่าจะได้ยาที่ถูกกับตัวเรา ก็เข้าแล็ป ขูดผื่น ไปไม่รู้กี่รอบ หมอส่วนใหญ่เขามักจะใช้คำว่าต้องทดลองยาก่อน หมายความว่า ยาไม่ได้อยู่ในการวิจัยนะ แต่ทดลองยาว่ามันถูกกับคนไข้หรือเปล่า กว่าจะได้ยาที่ถูกกับคนไข้จริง ๆ ก็ต้องทดลองยานานเหมือนกัน เราว่าหมอคงใช้คำที่อธิบายแล้วคุณเข้าใจว่าคุณเป็นหนูทดลองของบริษัทยา มากกว่าทดลองยาเพื่อให้รู้ว่าถูกกับร่างกายคุณหรือเปล่า ส่วนอาหารคนไข้นี้นะ ห่วยเหมือนกันทั่วโลก ขนาดนอนโรคพยาบาลต่างประเทศ แล้วไม่ต้องคุมอาหารยังเจออาหารห่วย(สำหรับเรานะ หรือเรากินยากก็ไม่รู้) เลย เค็ม มีแต่พาสต้าราดชีสทุกวัน ๆ เหมือนไม่เต็มใจทำกับข้าว จากคุณ : มนชิจัง เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 13:41:19

ความคิดเห็นที่ 40 เพราะสำหรับหมอ  แม้บางอย่างที่มีความเสี่ยงกับเด็กในท้องได้ แต่คุ้มค่าในการทดลองสำหรับเค้า เค้าอาจจะมองที่การคุ้มมากกว่า  ในขณะที่ความเป็นแม่ของเรา  จะไม่ยอมให้อะไรมากระทบกับลูกในท้องของเราเลยคะ จากคุณ : nongnew2000     เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 22:20:00     เราไม่ได้เป็นหมอแต่อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกไม่ดีมากๆ  ยาที่จะนำมาใช้กับคนมันต้องมีการวิจัยและการรับรองตามขั้นตอนแล้วทั้งนั้น  ไม่ใช่ใครอยากเอายาอะไรมาทดลองกับคนไข้ก็ได้นะคะ  การที่หมอจะพิจารณาให้ยาแต่ละอย่างโดยเฉพาะคนท้องเนี่ย  เค้าต้องประเมินถึงผลที่มีต่อเด็กในท้องอยู่ในอันดับแรก ๆเลยนะคะ คุณประเมินอาการของโรคต่ำไปรึเปล่า  อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับครั้งก่อนเลย  มันอาจจะไม่เหมือนกันเลยก็ได้  เพราะถ้าเคสไม่ซับซ้อนปัญหาเยอะ  เราว่าคงไม่มีหมอคนไหนมาดูแลขนาดนี้หรอก  เพราะรพ.รัฐคนไข้มากมายก่ายกองซะขนาดนั้น  การจะไปฝากท้องที่เอกชนที่มีหมอเฉพาะทางด้านนี้คงต้องเป็นเอกชนใหญ่ ๆและค่าใช่จ่ายคงแพงมากด้วย   อย่างไรก็ขอให้จขกท.และลูกปลอดภัยในการตั้งครรภ์ค่ะ จากคุณ : bussayayee เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 14:51:52

ความคิดเห็นที่ 41 คุณมีสามีที่น่ารัก และเป็นห่วงคุณมากๆ แล้วยังมีหมอที่ตั้งใจดูแลรักษาคุณอีกด้วย เพราะไม่มีหมอคนใหน ที่ให้เบอร์ส่วนตัวกับ ผู้ป่วยง่ายๆหรอกนะคะ  ขออย่าให้ คุณหมอคนนั้นคงรู้สึกแบบเดียวกับ  จขกท เลยที่ .....ซึ้ง!  เข็ด!..... จากคุณ : - (สมหนิง) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 14:59:20

ความคิดเห็นที่ 42 จขกท.นะคะ ตอนนี้ สำหรับเรา ตัดสินใจแล้วว่า จะกลับไปรักษาตามนัดหมอ ที่คลีนิคเบาหวานโดยตรงของทางโรงพยาบาล ส่วนเรื่องการฝากครรภ์ คงกลับมาที่โรงพยาบาลเอกชนแถวบ้านคะ  ทีมหมอที่นี่ก็ครบครันคะ เพราะเป็นโรงพยาบาลใหญ่และมีทุกแผนก ปัญหา  อาจจะเป็นเรื่องการสื่อสารจริงๆก็ได้นะ  เรื่องการลองยา  อ่านจากหลายๆความคิดเห็น  เราอาจจะเข้าใจผิด   แต่เราพยายามถามหมอแล้ว เราอยากได้คำยืนยันว่ายาตัวใหม่นี้ ไม่มีผลกับเด็กในท้องจริงๆ ซึ่งตรงนี้ หมอยินยันกับเราไม่ได้  เราจึงไม่ยอมลองยาใหม่ จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 15:19:28

ความคิดเห็นที่ 43 ไม่มียาอะไร ยืนยันได้ว่าไม่มีผลในทางลบได้100%หรอกครับ ต่อให้คุณกินน้ำเปล่า ถ้ามากไปหรือน้อยไปยังมีผลทางลบกับเด็กในท้องคุณเลย ถ้าคุณจะให้เค้ายืนยัน ยังไงคำตอบมันก็คือ มีอ่ะครับ แต่ไม่ว่าตัวไหนมันก็มีเหมือนกันเท่านั้นแหละ จากคุณ : p เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 15:47:10 A:124.121.230.42 X: TicketID:358360

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ จขกท.คงเข้าใจผิดเรื่องลองยาใหม่อ่ะเนอะ เป็นปัญหาด้านการสื่อสารนะครับ อธิบายซ้ำอีกรอบ อิอิ ยาใหม่ ไม่ได้ใหม่ซิงเป็นที่แรกในโลกหรอกครับ ยาใหม่อาจหมายถึงว่า ยาเพิ่งเข้าประเทศไทย อยู่เมืองนอกมาหลายปีดีดัก แต่ต้องเข้าใจส่วนนึงเพิ่มเติมครับ ว่ายาแต่ละตัว โอกาสการใช้กับคนตั้งท้อง ก็น้อยกว่าคนทั่วไปแน่ๆ ดังนั้น ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์นั้น อาจจะไม่ชัดเจน บอกไม่ได้แน่นอน ก็เลยตามนั้นครับ จากคุณ : Bazophil เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 16:40:55

ความคิดเห็นที่ 45 เอาใจช่วยนะคะ คุณแม่สู้ๆ จากคุณ : .เชอร์รี่. เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 00:20:44

ความคิดเห็นที่ 46 แพทย์ประจำบ้านต้องปรึกษาอาจารย์หรือแพทย์ที่ดูแลแต่ละด้านก่อนให้การรักษา... เช่นคุณเป็นเบาหวาน ต้องปรึกษาendocrine medมาดูเวลามีอาการเปลี่ยนแปลงหมอคนที่ดูอยู่ทุกวันไม่ได้เฉพาะทางด้านนั้นหมอเค้าอาจจะรักษาได้แต่เค้าไม่มีสิทํิ์สั่งรักษาต้องแจ้งแพทย์ที่ดูแลด้านนั้นๆก่อนเสมอ. แต่ละขั้นตอนจะนานไปอีกเพราะว่านอกเวลาราชการแพทย์ที่อยู่ประจำหอผู้ป่วยต้องแจ้งแพทย์ที่สูงกว่าแจ่้งแพทย์ต่อมไร้ท่อและแจ้งอาจารย์. การที่ว่าตัดสินใจไม่ได้เลยนี่น่าจะเป็นที่ระบบเรื่องอาหารที่คิดว่าน้อยไป ปรกติแล้วไปอ่านหนังสือดูก็ดีนะว่าคนท้องโดยเฉพาะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ต้องการอาหารเป็นสัดส่วนอย่างไรกี่กิโลแคลอรี่ต่อนน.ตัวก่อนตั้งครรภ์ แล้วจะรู้ว่าไมไ่ด่ต้องการเยอะเท่าไหร่ ที่กินๆอยู่ทุกวันนี่เกินไปแล้วด้วยซ้ำแล้วอัตราส่วนcarbohydrate ก็มากที่สุดส่วนเรื่องยาไม่มียาตัวไหนไม่มีผลข้างเคียงหรอก แต่ถ้าเบาหวานคุมไม่ดีน่ะมีแน่หมอเค้าต้องชั่งrisk benefitแล้วทั้งนั้น. ...... เรื่องฝากพิเศษถ้าเป็นคนไข้เสี่ยงสูงต้องดูแลใกล้ชิดห้องพิเศษดูให้ไม่ได้เพราะมันแยกกัน ต้องอยู่ที่ที่จะดูแลได้ดีที่สุดฝากไปแล้วก็ไม่ได้โดยระบบ.... บางอย่างมันก็ดูเหมือนไร้ซึ่งประโยชน์ที่จะอธิบายแต่บางคนก็คิดมากไปจนเกิดเรื่องต่างๆนานา..... เรื่องปฏิเสธการรักษานี่คุณก็ปฏิเสธจริงๆเลยล่ะ. เพราะตราบใดที่น้ำตาลยังไม่ดีลูกในครรภ์ก็ยิ่งเสี่ยงเรื่องอาหารนี่ไม่ขอพูดถึงดูเหมือนจขกท. จะดวงไม่ดีเลยจริงๆ จากคุณ : Sterling เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 15:09:29

ความคิดเห็นที่ 47 จขกท.นะคะ สรุปแล้วนะคะ  อาทิตย์หน้านี้ หมอมีนัดตรวจซ้ำ  เราคงกลับไปตรวจที่เดิม  ส่วนเรื่องยา เราว่าคงไม่ได้เปลี่ยน ( ถ้าหมอไม่ได้ถามอีก )  เพราะจากการที่เรากลับมาที่บ้าน  ระดับน้ำตาลถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี  อาจจะเพราะได้พักผ่อนเยอะด้วย  และไม่เครียด  และฉีดยาเท่าเดิมๆ ( ปรับบ้างทีละ 2U ในช่วงแรกๆ ) จริงๆ  เราว่า เพราะท้องหรือเปล่าไม่รู้ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ ซะ  ออกนอยๆไปบ้าง สงสารคุณแฟน  และ คงต้องสงสารหมอ  เพราะพอนอนโรงพยาบาลนานๆเข้า คนไข้ที่เคยน่ารัก  ออกจะนอยๆไปไงไม่รู้  ถ้าไปบังเอิญเจอหมอคนเดิมด้วย คงขอโทษเค้าซะหน่อย  แห่ะๆ จากคุณ : nongnew2000 เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 21:04:11

ความคิดเห็นที่ 48 จขกท น่ารักจริง ขอให้การตั้งครรภ์ปลอดภัยทั้งแม่และลูกนะคะ จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 21:44:26 A:110.171.23.42 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 49 อ่านแล้ว สงสาร fellow มากกว่าคนไข้แฮะ... เจอเคสยาก (ทั้งโรคและอารมณ์) ตอนเริ่มเทรนกันเลย เผลอๆโดนฝั่งอาจารย์วีนมาอีกด้วย ฮ่ะฮ่ะ.... ------------------------------------------------------ จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 15:17:01

ความคิดเห็นที่ 50 เอาใจช่วยจขกท.ค่ะ เป็นการเจ็บป่วยที่ค่อนข้างเครียด เพราะต้องดูแลลูกในท้องไปด้วย ยังไงถ้ามีลูกพอตามแผนแล้วก็ทำหมันเถอะนะคะ ส่วนหมอก็ ไม่เป็นไรค่ะ ถือเป็นบททดสอบเล็กๆ จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 15:29:23

ความคิดเห็นที่ 51 ศิริราชเป็นโรงเรียนแพทย์ การปรีกษาอาจารย์เป็นขั้นตอนที่ต้องทำอยู่แล้ว ถ้าพิจารณาดูดีๆ หมอที่ดูแลเขามีความตั้งใจ เพราะห่วงคุณและลูก ผู้ป่วยในคงมีล้นมือพอควร น่าเห็นใจ จขกท คงกังวลทั้งลูกทั้งตัวเอง ถ้าไปรพ.เอกชน น่าจะพอใจมากกว่า เพราะหมอคงอธิบายให้ฟังได้อย้่างมีเวลา ตามที่ต้องการ   ส่วนการเซ็นไม่สมัครอยู่ ก็ทำตามปกติถ้าผู้ป่ว่ยและญาติต้องการออกจากโรงพยาบาล จากคุณ : หิวบ่อยบ่อย เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 01:44:49

ความคิดเห็นที่ 52 หมอดีมากเลยอ่ะที่ให้เบอร์ส่วนตัว เอกชนยังไม่ให้เลย หมอเอกชนที่ให้เบอร์ก็จะเป็นหมอใหญ่ เก่ง มากกว่าหมอเด็กๆธรรมดาซะิีอีก จากคุณ : angelzpuu เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 55 22:49:39

ความคิดเห็นที่ 53 เห็นใจทั้ง2ฝ่ายนะครับ ว่าแต่ Fellow ใหม่ ใครเนี่ยมาถึงก็ดังเลย ไม่แน่ปีนี้สอบอาจจะได้ออกGDMซะที เก็งมาตั้งนานแล้ว ปล.ผมเป็นendocrineแต่พูดรู้เรื่องนะครับ จากคุณ : Losatan เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 17:59:16