ความคิดเห็นที่ 1 บัตรทอง อันนี้ขึ้นกับ สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ที่มา สมัยรัฐบาลหนึ่ง เห็นว่าคนไทยหลายคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการบริการทางด้านสาธารณสุขได้ เนี่องจากข้อจำกัดด้านฐานะ ก็เลยตั้งอันนี้ขึ้นมา หลักการณ์ คือว่า รัฐบาลต้องการให้คนรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลใกล้บ้าน โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือ เสียในอัตราที่รับได้ ก็คือว่าสำหรับคนไทยทุกคน ที่ไม่มีสิทธิ์รักษาพยาบาลอื่นๆ จะได้สิทธิ์นี้โดยอัตโนมัติ โดยในบัตรทองจะระบุรพ. ที่สามารถเข้ารับบริการได้ 2 แห่ง ซึ่งให้ไปตามชื่อของสถานพยาบาลอันล่างก่อน ถ้าไม่สามารถรักษาได้ เค้าจะส่งมาที่สถานพยาบาลอันบน ชื่อสถานพยาบาลที่อยู่ในบัตร โดยทั่วไปก็มาจากทะเบียนบ้านว่าอยู่ในเขตไหน ใกล้รพ. อะไรก็เป็นชื่อรพ.นั้นๆ ซึ่งข้อดีคือทำให้คนไข้ไม่แห่ไปยังรพ.ที่เป็นโรงเรียนแพทย์มากเกินไป (แต่ก็แก้ไม่ค่อยได้หรอกครับ 55) แต่ก็สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลได้ กรณีที่ทะเบียนบ้านอยู่แห่งหนึ่ง แต่ไปทำงานอีกจังหวัดหนึ่ง อะไรประมาณนี้ เมื่อก่อนการเปลี่ยนค่อนข้างยุ่งยากมาก แต่ปัจจุบันไม่ทราบครับ การเข้ารักษาพยาบาล ก็เข้าตามรพ.ที่ระบุไว้ในบัตรอ่ะครับ แต่ว่ากรณีฉุกเฉิน สามารถเข้ารพ.รัฐบาลที่ไหนก็ได้ (รพ.เอกชน ไม่แน่ใจครับ) แต่คำว่าฉุกเฉิน หลายคนยังเข้าใจผิดเล็กน้อยครับ ฉุกเฉิน คือ โรคที่ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะเกิดอันตรายถึงชีวิต หรือพิการ ประมาณนี้ครับ ส่วนกรณีไม่ฉุกเฉิน แต่เป็นโรคที่เป็นหนัก เช่น มะเร็ง ไม่สามารถใช้ได้นะครับ หากว่าสถานพยาบาลในบัตรไม่สามารถรักษาได้ แพทย์ก็จะส่งผู้ป่วยไปยังรพ.ที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งโดยทั่วไป จะเป็นตามนี้ครับ รพ.ประจำอำเภอ -> รพ.ประจำจังหวัด -> รพ.ศูนย/รพ.มหาราช -> รพ.ราชวิถี ส่วนเรื่องการที่จะย้ายไปรพ.จุฬาฯ, รพ.รามาฯ, รพ.ศิริราช ฯลฯ อันนี้เป็นไปได้ยากครับ เรื่องยา อันนี้พักไว้ก่อน อ่านหัวข้อถัดไปก่อนจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เงินค่ารักษารพ. ได้มาจากไหน ต้องเข้าใจก่อนว่ารพ.มีต้นทุนในการรักษา ไม่ใช่อค์กรการกุศล ต้องจ่ายค่าจ้างพนักงาน ค่น้ำ ค่าไฟ ค่าซื้อยา ฯลฯ เรื่องเงินเนี่ย ทางสปสช. จะกำหนดงบประมาณต่อคนต่อปีให้ แล้วดูว่ารพ.นั้นๆมีรับคนไข้บัตรทองกี่คนก็คูณเข้าไป เช่น กำหนดที่ 3000 บาท/คน/ปี (ตัวเลขสมมติ จำตัวเลขจริงๆไม่ได้ครับ) ถ้าในรพ.นั้นมีคนไข้บัตรทอง 100 คน ทางสปสช.ก็จะนำเงินมาให้รพ. ปีละ 300000 บาท เมื่อทางรพ.ได้งบประมาณจากสปสช.แล้ว ซึ่งเป็นงบแบบเหมาจ่าย แปลว่าถ้ารพ.จ่ายค่ายา สำหรับคนไข้บัตรทองเกินปีละ 3 แสน ก็ควักเนื้อเอาเอง แต่ถ้าไม่ถึงก็เป็นกำไร เก็บไว้บริหารรพ.ต่อไปครับ ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายาที่ผู้ป่วยสปสช.ได้รับมักจะเป็นยาราคาถูก ที่ผลิตในประเทศไทย (ไม่ได้พูดถึงคุณภาพยานะครับ เรื่องคุณภาพยา ไว้มีโอกาสจะบ่นอีกครั้งครับ) เพราะว่าเนื่องจากงบที่ได้จากทางสปสช.เนี่ยน้อยนิดมากๆครับ แต่ถามว่าได้ผลในการรักษาดีไหม ขอตอบว่าในหลายๆครั้งดีกว่ายาที่นำเข้าจากต่างประเทศด้วยซ้ำครับ แต่ที่ไม่ดีก็มีนะ คงเหมือนสุภาษิตไทยที่บอกว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" มั๊งครับ 55 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 55 15:03:17 จากคุณ : zenario เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 11:12:45

ความคิดเห็นที่ 2 ประกันสังคม อันนี้คล้ายๆบัตรทองครับ แต่เปลี่ยนเจ้าภาพ เนื่องจากว่าคนวัยทำงาน มีรายได้ รัฐบาลเลยเหมือนว่าให้ช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายเพื่อการประหยัดงบประมาณ (อันที่จริงประกันสังคมเกิดมาก่อนบัตรทอง) ทุกคนที่ทำงานในระบบเอกชนจะถูกหักเงินรายเดือนเพื่อส่งสำนักงานประกันสังคม โรงยาบาลที่ใช้สิทธิ์ได้ ก็จะระบุในบัตรประกันสังคม ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นรพ. ที่ใกล้สถานที่ทำงาน ยกเว้นกรณีที่รพ.นั้นรับประกันสังคมจนเต็มและไม่สามารถรับเพิ่มได้แล้วก็จะต้องไปเลือกรพ. อื่นๆต่อไป (หลังๆก็จะออกแนวมั่วๆหน่อยครับ 55) พอทางสำนักงานประกันสังคม ได้เงินที่หักมาแล้วก็จะนำเงินนั้นมาจัดสรรเป็นงบประมาณให้แก่รพ.ค่างๆที่รับประกันสังคม ก็คล้ายๆกับบัตรทองนั่นเอง แล้วถ้าจำไม่ผิดงบประมาณที่ให้รพ.ก็จะน้อยนิดพอๆกับบัตรทอง หรืออาจจะน้อยกว่าด้วย เพราะว่าทางสำนักงานประกันสังคมได้หักเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าดำเนินการ อันนี้เป็นสาเหตุที่สิทธิ์ประเภทนี้ได้รับการบ่นถึงมากที่สุด เพราะเสมือนเป็นบัตรทองแบบช่วยจ่ายเองด้วย 55 เรื่องยาก็เหมือนบัตรทองครับ เนื่องจากว่างบประมาณเป็นแบบเหมาจ่าย ส่วนใหญ่ทางผอ.รพ.จะกำหนดให้ว่าทั้งบัตรทองและประกันสังคม จะให้ใช้เฉพาะยาที่ผลิตในประเทศไทยครับ ส่วนเรื่องการแยกห้องตรวจ แยกการบริการ หรืออะไรทำนองนี้เท่าที่ผมได้สัมผัสมายังไม่เคยเจอนะครับ แต่ถ้าให้เดา เดาว่าเป็นเรื่องการแยกบริหารเรื่องยามากกว่าครับ จากคุณ : zenario เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 11:25:50

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ได้เข้ารพ มานานมาก รู้สึกเอ๋อไปเลย จากคุณ : ArtApiLek เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 11:47:33

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อไปก็ สิทธิ์เบิกจ่ายตรง (ข้าราชการ) เป็นสิทธิ์ที่สำหรับตัวผมเองมองว่า วุ่นวาย ที่สุดครับ ที่มา คือว่า เมื่อก่อนนู้นข้าราชการ และพ่อแม่ เวลาไปรักษาพยาบาลก็จ่ายเงินก็ แล้วเอาใบเสร็จไปเบิกเองที่หน่วยงานตนเองในภายหลัง ซึ่งทางหน่วยงานก็ทำเรื่องเบิกจาก กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง แต่ว่าพอช่วงหลังเพื่อความสะดวกก็เลยเป็นว่าเวลาที่คนไข้สิทธิ์ข้าราชการมารพ. ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเองไปก่อนแล้วรอเบิกให้เสียเวลา คือเอายาไป แล้วทางรพ.จะทำเรื่องเบิกค่ายาจากกรมบัญชีกลางเอง ซึ่งจะสังเกตุได้ว่าสิทธิ์อันนี้ไม่เหมือน บัตรทอง และ ประกันสังคม คือรพ.จ่ายค่ายาไปเท่าไหร่ ก็เบิกคืนได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นหลายๆรพ.เลยนิยมที่จะจ่ายยาราคาแพงให้คนไข้กลุ่มนี้ เพราะได้กำไรดีมีเงินบริหารรพ. คิดง่ายๆนะครับ สมมติว่ากำไรค่ายา 10% ถ้าคนไข้คนหนึ่งแพทย์จ่ายยารวมราคาแล้วได้ 500 บาท ทางรพ.ก็จะได้กำไร 50 บาท แต่ถ้าจ่ายยาที่รวมราคาแล้วได้ 5000 บาท ทางรพ.ก็จะกำไร 500 บาท ทั้งที่ต้นทุนค่าแรงบุคลากร ค่าน้ำ ค่าไฟ เท่ากัน แต่ได้เงินมาบริหารรพ.มากกว่าเห็นๆครับ แต่เรื่องมันมีอยู่ว่าทุกอย่างเมื่อมันเกินความพอดี มันก็เริ่มไม่ดี ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อนระหว่างหมอที่จ่ายยาแพง หรือ คนไข้ที่ชอบขอยาราคาแพง (ส่วนใหญ่เข้าใจว่ายาราคาแพงคือยาดี ซึ่งไม่จริงเสมอไป) หลังจากนั้นก็เลยเกิดเป็นวิกฤตด้านงบประมาณ คือ คนไข้ได้ยาแพง เอาเท่าไหร่ก็ได้ เพราะว่าไม่ต้องสำรองเงินจ่ายก่อนแล้ว ทางกรมบัญชีกลางเองก็มีปัญหาที่ต้องเริ่มประหยัดรายจ่ายเพราะว่าประเทศเราไม่ได้น่ำรวยเนอะ ปล.เดี๋ยวมาต่ออีกทีครับ ประชุมแล้ว จากคุณ : zenario เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 13:22:00

ความคิดเห็นที่ 5 กระทู้ ดี ๆ แบบนี้ ต้องโหวตตตตตตตตตตตตตตต จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 14:23:27

ความคิดเห็นที่ 6 บ่นๆต่อ ก็หลังจากนั้น กรมบัญีกลางก็เริ่มมีมาตรการแปลกๆนั่นคือ การเรียกเงินคืน แต่ไม่ได้เรียกเงินจากคนไข้นะครับ เป็นการเรียกเงินคืนจากรพ. หรือจากหมอที่สั่งจ่ายยา ที่ทางกรมบัญชีกลางเห็นว่า "ไม่เหมาะสม" ซึ่งก็ต้องเข้าใจนิดนึงว่าคำว่า "ไม่เหมาะสม" ในแง่ของการดูแลงบประมาณ กับคำว่า "ไม่เหมาะสม" สำหรับการดูแลสุขภาพ มันแตกต่างกันพอสมควร แต่ทั้งนี้ด้วยความที่กลัวเสียคะแนนเสียง ทางกรมบัญชีกลางยังยืนยันว่า สามารถจ่ายยาได้ทุกตัวตามแต่ "แพทย์เห็นสมควร" แต่ไม่ได้บอกว่าถ้ากรมบัญชีกลางเห็นว่าไม่สมควรแล้ว จะทำการเรียกเงินคืน เหอๆ แล้วแพทย์ที่ไหนจะกล้าสั่งยาล่ะครับ จริงอยู่ว่าที่ผ่านมาเมื่อกรมบัญชีกลางเรียกเงินคืน โดยทั่วไปจะเรียกเงินคืนจากรพ. ไม่ได้เรียกเงินคืนจากแพทย์ที่ทำการจ่ายยา แต่ก็ไม่ได้มีระเบียบข้อไหนที่ระบุว่าให้เรียกคืนจากรพ. หรือเรียกคืนจากแพทย์กันแน่ ที่ผ่านมาบางรพ.ก็มีทั้งเอาเงินรพ.ออก บางรพ.ให้แพทย์ออกก็มี ซึ่งถ้ามองในแง่ความเหมาะสม ถ้าเรียกเงินคืนจากรพ. ก็ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ เพราะผอ. ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยตอนสั่งยาต้องมานั่งปวดหัวตอนโดนเรียกเงินคืน ผอ.บางท่านถึงขั้นโดนตั้งกรรมการสอบสวน ทำนองว่าทำให้หน่วยงานเสียหาย ในขณะที่ถ้าจะมองว่าเรียกเงินคืนจากแพทย์เหมาะสมหรือไม่ ก็คงไม่เหมาะสมเช่นกัน เพราะมิฉะนั้นแพทย์ท่านไหนจะกล้าจ่ายยาราคาแพง (แม้บางครั้งจะจำเป็นจริงๆก็ตาม) จากเรื่องที่เล่ามาจะเห็นได้ว่า ถ้าพูดกันเรื่องความสบายใจในการจ่ายยาแล้ว แพทย์น่าจะสบายใจที่จะจ่ายยาในคนไข้บัตรทอง และประกันสังคมมากกว่า (อย่างน้อยก็มีผมคนนึงคิดอย่างนั้น) เพราะในส่วนสิทธิ์เบิกจ่ายตรงหากจ่ายยาราคาแพงไป วันนึงความซวยอาจมาเยือนได้ครับ จากคุณ : zenario เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 14:59:36

ความคิดเห็นที่ 7 แพทย์ที่ถูกเรียกเงิน สามารถฟ้องศาลได้ครับ   ตราบเท่าที่หมอจ่ายยาโดยบริสุทธิ์ ตามวิชาการ ลองปรึกษาทนายว่าจะฟ้องศาลไหนดีกว่ากันครับ จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 20:26:32

ความคิดเห็นที่ 8 ช่วยvote ค่ะ คุณหมอ คาดว่าน่าจะ ผอ. ด้วยใช่มั้ยค่ะ จากคุณ : แม่ต้นเองจ้า (แก้มบุ๋มสี่อัน) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 04:14:55

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบ่น ด้วยคน เราเป็นทันตแพทย์ค่ะ เราก็เบื่อมากกับไอ้สามกองทุนของประเภท มันมีแนวคิดบริหารกันแปลก ( เฉพาะงานทันตกรรมนะคะ งานอื่น ให้คนอื่นมาบ่น ) สิทธิบัตรทอง  เรามองว่าเป็นสิทธิทำให้ ้spoil       คนไข้ค่ะ จะมาทำฟันปีละกี่หนก็ได้ มาก็เพื่อรักษาอย่างเดียวไม่สนใจดูแลตนเองเลย  อย่างมีคนไข้คนหนึ่งบอกเราว่า ฟันผุเป็นความผิดของหมอ  เราฟังแล้วอึ้งค่ะ บ้าอ่ะเปล่า ชั้นก็ไม่อยากให้ผุหรอก ใครเค้าอยากทำงานหนักกันล่ะ  เนื่องจากบริการรักษาขั้นพื้นฐานมันฟรีหมด คนไข้ก็ไม่อยากดูแลสุขภาพตัวเองสักเท่าไหร่นะ สิทธิประกันสังคม เป็นลูกเมียน้อย แปลกนะเป็นสิทธิเดียวที่คนไข้ช่วยรัฐจ่าย แต่ได้ค่าทำฟันปีละ 600 ร้อย บ้าอะเปล่า กำหนดทำได้ครั้งละไม่เกิน  300 ในงาน ผุ อุด ถอน ที่เหลือจ่ายเอง อุดฟันสองด้าน รพ. รัฐตอนนี้ก็ปาไปซี่ละ430 แล้ว  ชั้นอยากเคลือบฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุก็ไม่ได้ จ่ายเอง   สิทธิเบิกได้  เป็นของคนรวยจ้า เงินก็ไม่ได้ช่วยรัฐสักนิด ได้มากกว่าชาวบ้าน โดยเฉพาะงานยุ่งยากซับซ้อน ต้องเสียเวลาทำมาก เช่น รักษารากฟัน ครอบฟัน ทำงานพวกนี้นะ สามารถทำงานอื่นๆเช่น เคลือบหลุมร่องฟัน ป้องกันผุได้ไม่รู้กี่คน ต่อกี่คน แต่แปลกที่กรมบัญชีกลางไม่จ่ายเรื่องงานส่งเสริมป้องกัน เอาแต่ไปให้งานรักษาอย่างเดียว จากคุณ : แม่ต้นเองจ้า (แก้มบุ๋มสี่อัน) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 04:32:24

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบความเห็น 7 แม้จะจ่ายยาถูกต้องตามหลักวิชาการ หรือแนวทางปฏิบัติสากล แต่ปัญหาคือยาเหล่านั้นอยู่นอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งสามารถใช้ได้เมื่อเห็นสมควรโดยกรมบัญชีกลางไม่ใช่แพทย์ที่สั่ง อย่างไรก็ตามแม้ยาหลายตัวจะมีการขออนุมัติก่อนการใช้จากกรมบัญชีกลาง (Pre-authorization) แต่ยังสามารถเรียกเงินคืนได้เนื่องจากเป็นการอนุมัติว่าใช้ได้แต่ไม่ได้บอกว่าเหมาะสม การฟ้องศาลนั้นยังจนปัญญาว่าจะพิสูจน์อย่างไร เพราะมันไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับยานอกบัญชียาหลัก (ยกเว้นยาหลายตัวที่มีคำสั่งห้ามเบิกชัดเจน) สำหรับโรคมะเร็งนั้น สิทธิต่างๆยังมีความเหลื่อมล้ำกันมากครับ โรคมะเร็งนั้นจะแปลกกว่าหลายโรคที่สิทธิรัฐวิสาหกิจจะต่างจากราชการจ่ายตรงอย่างมาก 1 ประกันสุขภาพถ้วนหน้า(บัตรทอง) และ ประกันสังคม ยาต้องเป็นยาในบัญชียาหลักเท่านั้น สูตรที่ใช้ต้องเป็นสูตรที่บังคับเท่านั้น 2 รัฐวิสาหกิจ ยาใช้ได้ทั้งหมดเทียบเท่าราชการ แต่ ยาหลายตัวไม่ต้องขออนุมัติ สูตรต่างๆตามข้อมูลที่มี (ไม่บังคับตายตัว) ยาส่วนมากซึ่งไม่ได้นอนรพ.ดังนั้นต้องสำรองจ่ายก่อนอาจสูงถึงเดือนละเป็นแสน ซึ่งคนไข้จำนวนมากไม่ไหว 3 ราชการจ่ายตรง ยาใช้ได้ทั้งหมดเทียบเท่ารัฐวิสาหกิจ แต่ ยาหลายตัวต้องขออนุมัติก่อนการใช้ สูตรต่างๆตามข้อมูลที่มี (บังคับในระดับหนึ่งสำหรับยาที่ต้องขออนุมัติ) ทำจ่ายตรงได้ยาแพงก็ไม่ต้องสำรองจ่าย ผมขอยกตัวอย่างโรค มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะสุดท้าย โดยใช้อัตราเท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิบัตรทอง ประกันสังคมให้เป็น 1.0x ดังนั้นหาก 2.0x หมายความว่าการรักษานั้นแพงกว่าสิ่งที่คนไข้บัตรทองจะได้รับ 2 เท่า อย่างไรก้ตามในการรักษาโรคมะเร็งนั้นจะมีปัญหาดื้อยาดังนั้นแม้จะใช้ยาถูกแต่สุดท้ายหากจะรักษาต่อไปเรื่อยๆสุดท้ายยาแพงก็เลี่ยงได้ยาก 1 มะเร็งปอด สิทธิบัตรทองประกันสังคม - ตามบัญชียาหลัก - สูตรแรก 1.0x - สูตรสอง 1.0x - สูตรต่อไป ไม่มีคำแนะนำ สิทธิบัตรทองประกันสังคม - ตามรพ.บางแห่ง - สูตรแรก 1.0x - สูตรสอง 1.0x - สูตรต่อไป 1.0x สิทธิราชการ รัฐวิสาหกิจ - สูตรแรก 1.0x - 4.0x - สูตรสอง 1.0x - 6.0x - สูตรต่อไป 1.0x - 6.0x 2 มะเร็งลำไส้ใหญ่ สิทธิบัตรทองประกันสังคม - ตามบัญชียาหลัก - สูตรแรก 1.0x - สูตรสอง 1.0x - 4.0x - สูตรต่อไป ไม่มีคำแนะนำ สิทธิบัตรทองประกันสังคม - ตามรพ.บางแห่ง - สูตรแรก 1.0x - 6.0x - สูตรสอง 1.0x - 6.0x - สูตรต่อไป 1.0x - 6.0x สิทธิราชการ รัฐวิสาหกิจ จ่ายเอง ประกันชีวิต - สูตรแรก 1.0x - 50.0x - สูตรสอง 1.0x - 50.0x - สูตรต่อไป 1.0x - 50.0x สาเหตุที่การรักษารพ.บางแห่งแพงกว่าไม่ใช่เพราะยาเดียวกันแต่ราคาแพงกว่านะครับแต่เป็นการใช้ยานอกบัญชียาหลักโดยรพ.เท่าทุนหรือขาดทุนเล็กน้อยเมื่อคิดตามการเบิก DRG ซึ่งตรงนี้อาจจะโดนเรียกคืนเงินได้ ในขณะที่สิทธิราชการนั้นยาราคาแพงกว่าเพราะมันมียานอกบัญชีที่มีแต่ยานอกเท่านั้นด้วย สิ่งที่ผมอยากได้คือการเพิ่มสิทธิบัตรทอง ประกันสังคม ให้สามารถใช้ยาที่ดีกว่านี้แต่เป็นยา local made ก็ได้ โดยอาจจะลดจากสิทธิราชการให้ใช้ได้แต่ local made เช่นกัน แล้วมี option ให้คนไข้ร่วมจ่ายได้ว่าจะเอา original หรือไม่ (จ่ายส่วนต่างจาก local) โดยวิธีนี้ทุกคนเท่าเทียม รัฐจ่ายเท่าเดิมหรือมากขึ้นเล็กน้อย (เพราะ 1 คนที่ราชการเปลี่ยนจาก original มาเป็น local รัฐจะประหยัดไปมากพอที่จะจ่ายให้สิทธิอื่น 1.5-2.5 คน) และคนมีเงินยังมีโอกาสจ่ายเงินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่(ความต่างระหว่างยา local กับ original) อย่างไรก็ตามเพื่อให้สิทธิราชการยังได้ประโยชน์เหนือกว่าสมกับการรับใช้ประเทศชาติด้วยเงินตอบแทนที่ต่ำกว่า อาจจะให้สิทธิราชการมีคิวพิเศษ ตรวจนอกเวลาฟรี พักห้องพิเศษเบิกได้เต็ม แทนให้เหมือนมาเอกชนน่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า คือ คุณทำงานบริการคนอื่น(ประชาชน)เมื่อเจ็บป่วยก็ควรได้รับการบริการที่ดีกว่าแต่คุณภาพ(ประสิทธิภาพ)เท่ากัน แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 10:09:56 จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 10:01:35

ความคิดเห็นที่ 11 คุณหมอแก้มบุ๋มครับ  ประกันสังคมเคยให้รักษาฟันฟรีไม่จำกัด นะครับ  แต่ตัวแทนแรงงาน มาขอเปลี่ยนกลับเพราะไม่ได้รับความสะดวกในการทำฟัน เนื่องจากต้องไปรับบริการ ที่สถานพยาบาลที่เลือกไว้เท่านั้นครับ  และคิวยาวเนื่องจากสถานพยาบาลไม่จัดหมอ ให้พอเพียงตามสัญญา  ตอนนั้นออกทีวี มีคนจากสมาคมทันตแพทย์เอกชนไทย ร่วม ด้วยครับ ดังนั้นในส่วนนี้จะโทษประกันสังคมไม่ได้ เพราะเป็นการเรียกร้องจากตัวแทนผู้ประกัน ตนเอง ครับ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 10:52:10 จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 10:51:45

ความคิดเห็นที่ 12 55 มีท่าน oncodog มาบ่นเพิ่มแล้วตรงใจผมยิ่งนัก ขอบคุณครับ โทษทีช่วงนี้ติดประชุมตจว.เล่นเน็ตผ่านมือถือเลยไม่สะดวกพิมพ์ครับ จากคุณ : zenario เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 00:07:57