ความคิดเห็นที่ 1 คุมอาหารก่อนนะคะ ปรึกษาการทานอาหารกับโภชนากรค่ะ จากคุณ : วังยางท่าจีน (วังยางท่าจีน) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 08:41:29

ความคิดเห็นที่ 2 ควบคุมอาหารค่ะ ถ้าไม่ลดพฤติกรรมก็ตีองทานยาไปตลอด แต่ถ้าควบคุมอาหารแล้วยังไม่ลด ก็น่าจะผิดปกติอะไรเพิ่ม ก็จะได้หาที่มาต่อไป จากคุณ : บ้านนี้สีเขียว (บ้านนี้สีเขียว) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 08:45:33

ความคิดเห็นที่ 3 อายุเท่าไหร่ครับ มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้หรือไม่ 1 เป็นชาย อายุ 55 หญิง อายุ 45 2 สูบหรี่ 3 ไม่ออกกำลังกาย 4 เป็นเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง 5 มีประวัติครอบครัว เป็นโรคหัวใจ หรือเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 08:53:45

ความคิดเห็นที่ 4 กินเถอะ  ไปเอา Simva 10 mg. มากินก่อนก็ยังดี เพราะโคเลสเตอรอลมันเกิน 200 แล้ว แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 09:01:15 จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 09:00:35

ความคิดเห็นที่ 5 อายุ 44 ค่ะ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เป็นความดันทุกคน 5555 แถม ย่ากับยาย เป็นเบาหวานด้วยค่ะ คุมอาหารมา 3 เดือน และวิ่งทุกวันๆ ละ 40 นาทีก่อนที่จะมาตรวจครั้งสุดท้าย โคเลสเตอรอล ลดจากเดิม 236 เป็น 222 แต่ LDL ไม่ลดลงเลย หมอเลยให้กินยาค่ะ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 09:01:44 A:171.97.17.239 X: TicketID:146314

ความคิดเห็นที่ 6 อืม ก็ค่อนข้างคาบเส้นว่าควรกินยาหรือไม่กินนะครับ แต่ผมชอบเลือกวิธีไม่กินยามากกว่าครับ กินไปเดี๋ยวก็มีผลข้างเคียงอีก ช่วงนี้ลองออกกําลังกาย+ ควบคุมอาหารดูครับ ขอให้สุขภาพแข็งแรงครับ จากคุณ : เขียนบน iPhone (Jin Shuu Hei) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 09:03:20

ความคิดเห็นที่ 7 เรา 32 นะคะ ตอนที่หมอให้เริ่มกินยาคอเรสเตอรอลรวม 284 จำ LDL ไม่ได้แต่สูงค่ะ HDL แค่ 39 เอง เริ่มกินยาเดือนแรกคอเรสเตอรอลเหลือ 170 ก็ชะล่าใจไม่ออกกำลัง ไม่คุมน้ำหนักคิดว่ายาช่วยได้ กินยามา 2 ปี หมอนัดตรวจเลือดทุก 3 เดือนเพราะต้องดูการทำงานของตับด้วย สรุปตับเริ่มอักเสบค่ะ หมอเลยสั่งหยุดยาให้ไปออกกำลังกายคุมอาหารมา 4 เดือนถ้าไม่ได้ผลจะสั่งยาตัวใหม่ เราก็ปรับพฤติกรรมเลยค่ะน้ำหนักลดไป 10 กิโล ตรวจล่าสุดตับหายอักเสบเลยค่าตับปกติ คอเรสเตอรอลยังสูง 240 แต่ HDL 55 LDL ก็ยังสูง 100 กว่านี่แหละ แต่หมอบอกว่าเท่าที่ซักประวัิติยังไม่มีปัจจัยเสี่ยง ถ้าสามารถออกกำลังกาย คุมอาหารต่อไปได้เรื่อยๆก็ไม่ต้องกินยาค่ะเพราะยาบางตัวอาจทำให้ตับอักเสบได้ ตอนนี้หมอนัดห่างไปเป็น 6 เดือนแล้วค่ะ จากคุณ : สาวน้อยถอย Jazz เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 09:22:13

ความคิดเห็นที่ 8 ถาม คุณ สาวน้อยถอย Jazz กินยาอะไร จำได้มั้ยคะ ตับอักเสบเลยเหรอ น่ากลัวจังค่ะ ตอนนี้ก็พยายามคุมอาหารค่ะ แต่ นน.ไม่ลดเท่าไหร่ค่ะ ออกกำลังกายทุกวันค่ะ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 09:24:36 A:171.97.17.239 X: TicketID:146314

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้า Cholesterol ไม่เกิน 250 แล้วไม่มีโรคประจำตัวอื่น ผมว่าคุมอาหารดูก่อนได้ ส่วนน้ำตาล 98 ปกติครับ จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 09:28:23

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่ต้องกินครับ ไขมันต้อง 6 เดือนเจาะครั้งครับ ถึงจะเห็นผลแตกต่างได้บ้าง 3 เดือนเจาะมันเร็วไป จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 10:22:20

ความคิดเห็นที่ 11 น้ำตาลในเลือดก็ปกตินี่คะ จะขอเจาะซ้ำทำไมอ่ะ งงค่ะ จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 10:27:49

ความคิดเห็นที่ 12 อ่าน #7 แล้วรู้สึกว่ายาแผนปัจจุบันน่ากลัว จะรักษาคลอเรสเตอรอล แต่ได้โรคตับมาแทน จะว่าไป ตับอักเสบนี่ทำให้เป็นมะเร็งตับแล้วตาย เร็วกว่าและทรมาณกว่าเป็นไขมันในเส้นเลือดนะครับ จากคุณ : SweetJanuary เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 10:30:32

ความคิดเห็นที่ 13 ยาแผนปัจจุบันดูเหมือนน่ากลัว เพราะเขาศึกษาหาข้อเสียของมันมาอย่างละเอียด พอรู้แล้วก็บอกให้รู้ ไม่ได้ปล่อยไว้ไม่หาข้อเสียเหมือนอย่างอื่นครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 10:34:25

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบ คห.11 ค่ะ น้ำตาลล่าสุดได้ 98 แต่ก่อนหน้านั้น 102 ค่ะ มันลดลงจากที่เมื่อก่อนเคยเกินนิดนึง เลยไม่วางใจค่ะ ตอนนี้เลยลังเล ว่าควรกินยาต่อมั้ยคะ ยาที่กินอยู่คือ Atorvastatin 20 mg ค่ะ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 10:44:20 A:171.97.17.239 X: TicketID:146314

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบในฐานะที่เป็นหมอทั่วไป ไม่ใช่หมออายุรกรรม เวลาจะรักษาโรคอะไรที่ไม่ใช่โรคในสาขาของตัวเอง ก็จะหาแนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ ดูตามลิงค์นะคะ (แต่สำหรับหมอที่อยู่ในสาขานี้โดยตรง แต่ละท่านก็อาจมีวิธีการรักษาแตกต่างกันบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เช่น บางท่านอาจจะเน้นปรับพฤติกรรมนานหน่อย บางท่านอาจะเริ่มยาช้าหรือเ็ร็วต่างกันไป) อย่างจขกท.ถ้ามีความเสี่ยง ก็มีเรื่องความดันโลหิตสูง (ซึ่งก็สูงไม่มาก ขึ้นๆลงๆอีกตะหาก) น่าจะจัดในกลุ่ม 3 คือค่าไขมันเป้าหมายน่าจะต่ำกว่า 160 mg/dl แต่จะเริ่มให้ยาถ้าเกิน 190 นะคะ หรือเมื่อควบคุมโดยการปรับพฤติกรรม 3-6 เดือน แล้วยังเกิน 160 mg/dl อ่านฉบับเต็มได้ที่http://www.maeprikhos.go.th/CPGonline/Dyslipidemia.pdf มีคำแนะนำเรื่องอาหารด้วย แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 14:34:51 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 12:31:42 จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 10:49:55

ความคิดเห็นที่ 16 กินยา simvastatin ค่ะ จำไม่ได้ว่ากี่ mg เพราะหยุดไปประมาณปีนึงแล้ว จากคุณ : สาวน้อยถอย Jazz เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 10:54:50

ความคิดเห็นที่ 17 ปกติต้องคุมอาหารก่อน แล้วพบแพทย์อีกทีครับ จากคุณ : holyghost เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 13:14:11

ความคิดเห็นที่ 18 การพิจารณาว่าจะใช้ยาลดไขมันหรือไม่ จะดูจากค่าไขมันว่าสูงมากหรือไม่ และมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด  เช่น สูงอายุ เบาหวาน ความดันสูง สูบบุหรี่ อ้วน ประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือดในครอบครัว ตับไตมีปัญหาหรือไม่ เพราะยาลดไขมัน มีโอกาสทำให้ตับอักเสบได้ เอ็นซัยม์ของตับสูงขึ้น มีการทำลายกล้ามเนื้อ แล้วเกิดของเสียที่อาจทำให้ไตวายได้  แต่โอกาสในการเกิดมีไม่มาก แต่ถึงจะไม่มาก ถ้าไม่กินได้จะดีกว่า ยกเว้นจำเป็นจริงๆ ในกรณีของคนที่มีไขมันสูงจากปกติไม่มาก และไม่มีปัจจัยเสี่ยง แพทย์จึงเลือกวิธีการไม่ใช้ยาก่อน เมื่อไม่ได้ผลจึงจะเริ่มใช้ยา แต่ในกรณีก้ำกึ่ง แพทย์แต่ละท่านอาจตัดสินใจไม่เหมือนกัน บางคนอาจให้ยา บางคนอาจจะยังไม่ให้ยา ผมพบบ่อยๆว่า เวลาแนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมอาหารไขมัน บางทีผู้ป่วยก็ไม่รู้ว่าของที่ตัวเองกินมีไขมัน ผู้ป่วยมักจะคิดว่าของมันๆ ก็คือเนื้อขาว หรือเนื้อติดมันเท่านั้น จึงไม่ได้ระวังตัวอื่น ทำให้ควบคุมอาหารแล้วไขมันก็ไม่ลด อาหารที่มีไขมัน ได้แก่ ของที่มีไขมันสูงในตัว เช่นเนื้อสัตว์ ไม่ว่าเนื้อแดงหรือเนื้อขาวต่างก็มีไขมัน เพียงแต่เนื้อขาวมีไขมันสูงกว่า เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล พวก กุ้ง ปลาหมีก หอยนางรม  ไข่ นม เนย ครีม ส่วนพวกที่ไม่มีไขมันเลย คือพวกผักต่างๆ แต่ถ้ามากินในรูปสลัด ก็จะมีไขมันมาจากน้ำสลัด ซึ่งต้องระวัง วิธืปรุงอาหารก็ต้องระวัง พวกแกงกะทิ(แกงที่มีการใส่มะพร้าว รวมถึงขนมที่มีกะทิ เช่น กล้วยบวชชีด้วย) ของทอด(อะไรที่ทอดในน้ำมัน เช่น ไก่ทอด หมูทอด ผักชึบแป้งทอด ไข่ดาว ไข่เจียว กล้วยแขก ฯลฯ) ของผัด(ผักไม่มีไขมัน แต่พอมาผัด จะเริ่มมีไขมัน ถ้าผักสด ผักรวก ผักต้ม จะไม่มีไขมัน)  อาหารพวกนี้ ถ้ากินมาก โคเลสเตอรอลจะสูง แต่ถ้าพวกแป้ง และน้ำตาล ซึ่งมักจะมาในรูปของอาหาร ขนมหวาน ของขบเคี้ยว ขนมซองๆ เข่นมั่นฝรั่งบางทอดกรอบ และแอลกอฮอล์ พวกนี้จะทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูง การออกกำลังกายก็จะช่วยลดไขมัน โดยจะลดไขมันเลวพวก LDL และเพิ่มไขมันดีพวก HDL มาป้องกันหัวใจ   การหยุดสูบบุหรี่ก็จะทำให้HDLสูงขึ้น อาหารบางชนิดก็ช่วยลดไขมัน เช่นกระเทียม ชาเขียว พวกนี้จะลดโคเลสเตอรอล ถ้าน้ำมันปลาจะลดไตรกลีเซอไรด์ จากคุณ : ลูนาติก เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 14:36:14

ความคิดเห็นที่ 19 คำตอบของ จขกท คือ คุณหมอถูกทั้งคู่ครับ รพ.เอกชน การกินยาที่ระดับไขมันนี้ไม่ได้อันตรายมาก แต่ไม่รู้ว่าจะได้ประโยชน์คุ้มค่ามั้ย (ไม่สน) รพ.รัฐ การกินยาที่ระดับไขมันนี้ไม่มีข้อมูลว่าได้ประโยชน์ในคนที่ความเสี่ยงน้อย ไม่คุ้มค่า การรักษาใดๆ(หรือไม่รักษาใดๆ) มีข้อดีข้อเสียเสมอ  และ มองในอีกมิติคือคุ้มค่าหรือไม่ แม้แต่จะดูตามคำแนะนำในความเห็น 15 คำถามคือ สมมุติว่าไม่มีปัจจัยเสี่ยง ทำไมต้อง 190 ทำไมไม่ 200 หรือ 180 ท้าวความเดิมคือ โรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นรู้กันดีว่าปัจจัยที่สำคัญคือสิ่งแวดล้อมโดยมีพันธุกรรมเป็นส่วนประกอบ คำถามคือใครเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย จึงเป็นที่มาของการศึกษา ฟามิ่งแฮม ที่ทำมาตั้งแต่ 1940-50 จนถึงปัจจุบัน ข้อมูลที่ได้นั้นมีรายละเอียดมากมายนัก จนจำไม่ไหว จึงนำมาปรับปรุงให้เหลือแต่ตัวแปรสำคัญที่อยู่ในคำแนะนำในแนวทางรักษาทั่วโลก จนต่อมาเราก็จำเอาแต่ว่ามีปัจจัยเสี่ยงใดบ้าง ในการรักษาด้วยยาลดไขมันเองก็ทำการศึกษาในช่วงแรกก็เอาคนที่มีปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด มากบ้างน้อยบ้าง แต่ระดับไขมันสูงกว่าปกติ (> 95 - 97.5 percentile ของคนปกติ)  แต่ผลการศึกษากลับพบว่าเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงตามการศึกษาฟามิ่งแฮมต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด มากกว่า 10% ในเวลา 10 ปีข้างหน้าที่ได้ประโยชน์จากการรักษาเมื่อเทียบกับผลข้างเคียง จึงนำมาเป็นระดับที่แนะนำในปัจจุบันว่า มีความเสี่ยงน้อยเริ่มยาช้า มีความเสี่ยงมากเริ่มยาเร็ว เพราะความเสี่ยงที่น้อยกว่านั้นมันไม่ "คุ้มค่า" กับการรักษา ไม่ใช่ว่าเกิดโทษ ในการศึกษายาลดไขมันใหม่ๆนั้น ตัวชี้วัดกลับเป็นระดับของการลดไขมันซึ่งเชื่อว่าส่งผลต่ออัตรารอดชีวิตที่มากขึ้น หากประสิทธิภาพเท่ากันก็จะแข่งด้วยผลข้างเคียง จนยารุ่นใหม่ๆมีผลข้างเคียงที่น้อยลงมาก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเลขเดิมที่ใช้กันมันยังเหมาะสมหรือไม่จริงๆที่น่ากลัวกว่าตับอักเสบของ Simvast คือภาวะกล้ามเนื้อสลาย ดังนั้นเราจึงขาดข้อมูลที่ดีว่าในคนที่ต่ำกว่าระดับที่แนะนำในปัจจุบัน(แต่สูงกว่าคนปกติ)การกินยาจะได้ประโยชน์มั้ยเพราะผลข้างเคียงมันน้อยลงแล้ว ตอนนี้อาจจะคุ้มค่าก็ได้ อย่างไรก็ตามในคนที่เป็นโรคหัวใจกลับพบว่าการคุมระดับไขมันแบบเข้มงวดคือ LDL น้อยกว่า 100 หรือ 70 มีโอกาสรอดจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า จึงทำให้การเริ่มยาในกลุ่มนี้เริ่มได้เร็ว และนำไปสู่แนวโน้มที่จะเริ่มยาเร็วขึ้นในปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่ต่ำลงไป เล่ามาเสียนานสรุปว่าข้อมูลที่ผมพอรู้เมื่ออย่างน้อย 4-5 ปีที่ผ่านมานั้นการรักษาตามเกณฑ์แบบรพ.รัฐได้ประโยชน์แน่ๆ แต่เอาตามรพ.เอกชนซึ่งอเมริกาก็มีแนวโน้มทำแบบนี้ก็อาจจะได้ประโยชน์ หรืออย่างมากไม่ได้ประโยชน์แต่ไม่คุ้มค่า (ข้อมูลปัจจุบันอาจจะได้ประโยชน์แล้วก็ได้...ไม่รู้ แต่อย่าลืมว่ากินยาก็เสี่ยงผลข้างเคียงด้วยนะ) นอกจากนี้วิธีประเมินความเสี่ยงโดยใช้ปัจจัยไม่กี่ตัวก็อาจจะหยาบเกินไปจนหลุดคนไข้บางคนที่อาจจะได้ประโยชน์ และคำแนะนำต่างๆเองก็ใช้ค่าที่ไม่เท่ากัน ในทางปฏิบัติหมอแต่ละคนอาจจะเริ่มเร็วช้าต่างกันบ้าง ในความเห็นส่วนตัวหาก จขกท เป็นแม่ผม ผมไม่ให้กินยาครับ (ครอบครัวฝั่งแม่ยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงทางครอบครัว) ในตอนนี้ประโยชน์น่าจะไม่คุ้มครับ แต่แม่ผมจริงๆนั้น มีปัจจัยเสี่ยงสองข้อคืออายุและความดันสูง แต่ก็ยังดื้อไม่ยอมกินยาที่สั่งอยู่ดี 0.0a ปล. เรื่องตับอักเสบจากยาไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งเพราะเราไม่ได้ซี้ซั้วให้กินไปนานๆ อักเสบก็หยุดยามันก็หายอักเสบครับ ปล.2 ผมจบมานานเหมือนกันอาจจะจำผิดบ้าง หรือตกหล่นข้อมูลใหม่ๆบ้าง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ปล.3 จริงๆบ้านเราก็มีข้อมูล EGAT study ที่ทำในการไฟฟ้า ติดตามมานานน่าจะเอามาลองเปรียบเทียบดูว่ามันเหมือนหรือต่างกับการศึกษาต่างประเทศเพราะสภาพแวดล้อมบ้านเรามันก็ต่างกันอยู่แล้ว ชาติพันธุ์ก็ต่างกัน  (จริงๆมันคงมีแหละแต่ขี้เกียจตามไปอ่าน) จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 14:53:40

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณ คุณหมอใจดี และผู้รู้หลายท่านสละเวลามาตอบ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 15:11:50 A:171.97.17.239 X: TicketID:146314

ความคิดเห็นที่ 21 วิธีมองว่าการรักษานั้นคุ้มค่าหรือไม่อีกวิธี คือมองว่า จากการศึกษาต่างๆนั้นความเสี่ยงที่ลดได้จะอยู่ที่ราวๆ 30% แปลว่าถ้าเรามีความเสี่ยง 5% การกินยา จะเหลือความเสี่ยง 3.5% ลดได้ 1.5% แต่ถ้าเรามีความเสี่ยง 20% การกินยา จะเหลือความเสี่ยง 14% ลดได้ถึง 6% เอาตามข้อมูลที่มีมาคิดปัจจัยเสี่ยง (สมมุติว่าในครอบครัวไม่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ) ที่ 10% ข้างหน้าโอกาสเกิดโรคหัวใจจะอยู่ที่ <1% แต่ถ้ามาดูใหม่ปีหน้า(แก่ขึ้น 1 ปีค่าอื่นๆคงเดิม) โอกาสเสี่ยงจะเท่ากับ 1% การกินยาลดได้ 30% ก็จะเหลือ 0.7% ยาลดได้ 0.3% ถามว่าคุ้มมั้ย จขกท คงต้องเป็นคนตอบเอง (ค่ายาราวๆ 20000 บาทต่อปีกินไปสามสิบปีอาจจะป้องกันได้ หรือ อาจจะไม่มีประโยชน์เลยก็ได้) แต่ในมุมมองทางเศรษฐกิจ ไม่คุ้มแน่ๆครับ Ref: UpToDate 19.1 อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆก็มีอีกมากมายหลายสิบตัว การจะตรวจแล้วเอามาคิดจะเพิ่มความซับซ้อนของข้อมูลมากขึ้นไปอีก จน จะหาความถูกผิดชัดเจนนี่ยากครับ สุดท้ายอยากจะฝากว่าไม่ว่าจะกินหรือไม่กินยาก็ควรปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมไขมัน อย่าลืมว่าปัจจัยเสี่ยงหนึ่งคืออายุเพิ่มขึ้นทุกปี อย่าปล่อยให้เรามีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆด้วยทั้งที่มันลดได้ครับ (แต่อายุเพิ่มขึ้นทุกปี) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 15:14:02 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 15:12:58 จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 15:12:31

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นด้วยกับคุณ oncodag ครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าเลยครับ คุณขอถาม ควรจะถามกับแพทย์ที่รักษาโดยตรงจะดีที่สุดครับ จากคุณ : HengKung เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 19:31:00

ความคิดเห็นที่ 23 แล้วแต่ดุลยพินิจของแต่ละคนเลยครับ ถ้าผลเลือดเป็นแบบนี้.. ถ้าไม่มีความเสี่ยงอื่น .. ผมจะแนะนำให้คนไข้เปลี่ยนการดำเนินชีวิต คือ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารลดไขมัน ฯลฯ.. ซึ่งบางคนก็สำเร็จ บางคนก็ไม่สำเร็จ. แต่ถ้าอายุ 44 ปี แล้วเป็นเบาหวาน ความดันด้วย แถมซ้ำร้ายยังสูบบุหรี่อีก.. ก็กินดีกว่าครับ.. ความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเยอะเหลือเกิน แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 19:50:38 จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 19:49:12

ความคิดเห็นที่ 24 สำหรับผม ก็แล้วแต่คนไข้เลยครับ เพราะถือว่าเขาไม่สามารถปรับlife styleให้ระดับไขมันลงได้เอง ก็ใช้ยาช่วยให้คุมได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ายังไม่อยากทานยา ก็ต้องเข้มงวดกับตัวเองให้มากขึ้น เพราะLDLยังไม่ถึงเกณฑ์ต้องเริ่มยา ส่วนจขกท. มีทั้งความดันโลหิตสูง +ไขมันสูง มีความเสี่ยงเรื่องเบาหวานจากประวัติตระกูล น่าจะคุมเรื่องอาหารหวานด้วย กันการเป็นเบาหวานในอนาคต จากคุณ : Toukung เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 20:29:42

ความคิดเห็นที่ 25 กระทู้นี้หมอตอบเยอะแล้วเราว่าหมอแต่ละคนก็ความเห็นต่างกันได้ไม่ใช่แต่เอกชลหรือรัฐบาลแต่ในความเห็นเราน่าจะลองคุมดูก่อนเพิ่มไขมันดีเช่นคาโนล่า รำข้าวทำอาหารน้ำมันมะกอกซดเพียวๆเลยเพราะไม่ทนความร้อนแต่น้ำมันดีใดๆไม่ควรเกิน4ชตต่อวันเพิ่มไฟเบอร์ในอาหารเช่นข้าวกล้องเส้นหมี่ข้าวกล้อง. รำข้าวโอ๊ตแฟล็กซีดอัลมอนด์ทานตะวัน ลูกเดือยตัวเราเองไม่เคยคุมอาหารเท่าไหร่แต่เราไม่ค่อยกินเนื้อแดงเท่านั้น อาหารทะเลเรากินนะเยอะด้วยเพราะไงก็มีโอเมก้า3 hdlเรา80ทั้งที่เราก็ไม่ได้ออกกำลังกายหักโหมแค่เดินเร็ววันละ40-60นาทีกับปั่นจักรยานเล่น พวกเบเกอรี่ก็ระวังหน่อยเพราะโดยมากใส่มาการีน ถ้าคุณกินยาลดไขมันคุณต้องกินq10เสริมเราว่าสัก100มก น่าจะพอฟักทองช่วยลดน้ำตาลในเลือดเพราะมีโครเมียมแล้วก็พวกมะระ หวานเป็นลมขมเป็นยา. จากคุณ : เสี่ยวหมิง เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 09:36:18

ความคิดเห็นที่ 26 หมอคงกลัวว่าถ้าคุณกินแล้วตับพัง ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้ที่ตรงตามตำราจะแพ้คดีได้ ถ้าคิดคะแนนความเสี่ยงแล้วไม่มากพอ หรือยังคุมอาหารไม่เต็มที่ ก็ยังไม่ให้ยา จากคุณ : meezaa เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 17:40:08

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าจะกิน ตามหลักที่เรียน น่าจะ start ที่ simvastatin มากกว่า Atorvastatin นะคะ แต่ โรงพยาบาลเอกชน อาจจะเน้นจ่ายยาแพงก่อน จากคุณ : K-sAnDiiz เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 55 00:35:35