ความคิดเห็นที่ 1 ข้อมูลจากวิกิพีเดียครับ ภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือด (อังกฤษ: amniotic fluid embolism) เป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติศาสตร์ที่พบน้อยและยังไม่เป็นที่เข้าใจแน่ชัด เกิดจากการที่มีน้ำคร่ำ หรือเส้นผม หรือเศษชิ้นเนื้อต่างๆ ของทารกหลุดเข้าสู่กระแสเลือดของมารดาผ่านทางรกในขณะคลอดและทำให้เกิดอาการแพ้ ภาวะนี้ทำให้เกิดความล้มเหลวในระบบหัวใจและปอด ทำให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัว และเป็นอันตรายถึงชีวิตแก่มารดาได้ ในปี พ.ศ. 2484 Steiner และ Luschbaugh อธิบายภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือดเป็นครั้งแรก หลังจากพบเศษชิ้นเนื้อของทารกในเส้นเลือดปอดของมารดาที่เสียชีวิตขณะคลอด ข้อมูลปัจจุบันจาก National Amniotic Fluid Embolus Registry ทำให้เชื่อว่ากลไกการเกิดโรคนี้คล้ายคลึงกับภาวะแพ้รุนแรงมากกว่าภาวะเส้นเลือดอุดตัน ทำให้มีการเสนอให้ใช้คำว่า กลุ่มอาการแพ้รุนแรงจากการตั้งครรภ์ (Anaphylactoid syndrome of pregnancy) ขึ้นใช้แทนคำเดิม[ใครกล่าว?] เนื่องจากในมารดาที่มีอาการและอาการแสดงเข้ากันได้กับภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือดนั้นไม่ได้พบเศษชิ้นเนื้อของทารกหรือน้ำคร่ำในเส้นเลือดปอดเสมอไป การวินิจฉัยภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือดมักได้จากการชันสูตรโดยพบเซลล์สความัสของทารกในเส้นเลือดปอดของมารดา อย่างไรก็ดี เซลล์สความัสของทารกก็พบได้บ่อยในเส้นเลือดของมารดาที่ไม่มีอาการ สำหรับในมารดาที่มีอาการรุนแรงมากนั้นการพบเซลล์สความัสของทารกในตัวอย่างเลือดที่ได้จาก distal port ของ pulmonary artery catheter ถือว่าทำให้นึกถึงภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือดแต่ไม่ใช่เกณฑ์การวินิจฉัย การวินิจฉัยในปัจจุบันใช้การวินิจฉัยโดยการคัดออกที่มีพื้นฐานอยู่บนอาการแสดงทางคลินิก โดยยังต้องนึกถึงสาเหตุอื่นที่ทำให้มี hemodynamic instability ด้วย [แก้] อุบัติการณ์ภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือดนั้นพบน้อยมาก การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ประมาณไว้ว่าเกิดขึ้นหนึ่งรายต่อการคลอด 8,000-80,000 ครั้ง การศึกษาชิ้นหนึ่งติดตามกลุ่มประชากรย้อนหลังในการเกิด 3 ล้านครั้ง พบว่ามีกรณีน้ำคร่ำอุดหลอดเลือด 7.7 รายต่อการเกิด 100,000 ครั้ง จากคุณ : พี่อ๋อง เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 17:33:03

ความคิดเห็นที่ 2 กรณีเห็นใจครับ แต่ ท่านอาสา ท่านวิจารณ์เร็วไปหน่อย เลยคราม่ากันใหญ่ เห็นใจ ผู้สูญเสีย และเป็นกำลังใจ และฝากให้ท่านอาสา ก็ทุ่มเทต่อไปนะครับ  อย่าท้อ แต่ต้องมีวิจารณญาณที่ดีกว่านี้ จากคุณ : SuperCrazyBoy เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 17:37:01

ความคิดเห็นที่ 3 การช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 มาตรา 41 นั้น มันมีข้อดีและข้อเสีย ข้อเสีย  มันทำให้เข้าใจผิดว่า  ที่ให้เงินทดแทนนั้น เพราะเกิดจากความผิดพลาดทางการรักษาพยาบาล และหลายๆครั้งที่แพทย์ฺหรือบุคคลากรทางการพยาบาลหรือทางโรงพยาบาล ให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินทดแทนกับญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิตหรือพิการ ไม่ว่าจะเป็นเงินส่วนตัว  หรือจากโรงพยาบาล หรือเงินตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ใช่ว่าจะเป็นความผิดพลาดจากการรักษาพยาบาลเสมอไป แต่เพราะความเห็นใจ เสียใจในสิ่งที่สูญเสียนั้น อยากให้เข้าใจตรงนี้ด้วยค่ะ จากคุณ : ดาวเหนือเมื่อยามฟ้าสาง เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 19:03:01

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นใจทั้งสองฝ่ายนะครับ ฝ่ายสูญเสียทางแพทย์หรือโรงพยาบาลก็ไม่สามารถป้องกันได้หรอกครับ เพราะภาวะของน้ำคร่ำนี้เราไม่สามารถป้องกันได้ ต้องดูเหตุและผลประกอบกันไปนะครับ ผมทำงานในโรงพยาบาล เจอมาเยอะครับ บางรายเด็กสำลักน้ำคร่ำ ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่ทัน เด็กก็อาจไม่เต็มร้อยได้ ส่วนทางอาสา ผมก็เห็นใจนะครับ เขาทำงานด้านการช่วยเหลือ เขาคงไม่อยากให้ใครตายหรอกครับ จากคุณ : จวนจีฮู เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 19:39:35

ความคิดเห็นที่ 5 การยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือ เบื้องต้น(มาตรา 41) เกณฑ์การพิจารณา           ผู้มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ได้แก่ คณะอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นซึ่งมีอยู่ในทุกจังหวัดคณะกรรมการดังกล่าวจะทำหน้าที่พิจารณาว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้รับบริการควรได้รับเงินช่วยเหลือตามข้อบังคับหรือไม่เพียงใดหากควรได้รับเงิน ช่วยเหลือก็จะพิจารณาโดยคำนึงถึงความรุนแรงของความเสียหายและเศณษฐานะของผู้เสียหายด้วย โดยมีขั้นตอน ดังนี้    1.  พิจารณาตามเกณฑ์ที่กำหนดในข้อบังคับ  คือ       ผู้รับบริการต้องเป็นผู้มีสิทธิตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 และเป็นผู้ได้รับความเสียหาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องเป็นความเสียหายที่เกิดจากการให้บริการสาธารณสุข       ต้องเป็นการให้บริการสาธารณสุขของหน่วยบริการความเสียหายที่เกิดจากการให้บริการสาธารณสุข ต้องไม่เกิดจาก - การดำเนินไปตามพยาธิสภาพโรค - เหตุแทรกซ้อนของโรคที่เป็นไปตามสภาพปกติธรรมดาของโรคนั้นและได้มีการวินิจฉัยและรักษาตามมาตรฐานทั่วไป ต้องยื่นคำร้องภายใน 1 ปี  นับจากทราบความเสียหาย ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด หรือผลพิสูจน์ทางการแพทย์      2.  พิจารณาถึงประเภทของความเสียหาย      3.  พิจารณาถึงความรุนแรงและเศรษฐานะของผู้เสียหาย (จากเวปของสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ) http://www.nhso.go.th/FrontEnd/page-forpeople_privilege.aspx ผมรบกวนถามผู้รู้ เป็นความรุ้หน่อยครับ สงสัยว่าในกรณีนี้ ภาวะน้ำคร่ำเข้าสู่กระแสเลือด (Amniotic fluid embolism syndrome) เป็นภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ของผู้ป่วยเอง ซึ่ง(ถ้า)แพทย์ได้จินิจฉัยและรักษาตามมาตรฐานทั่วไปแล้วยังเกิดการเสียชีวิต ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 1. ผู้เสียหายยังจะเข้ากับหลักเกณฑ์การรับเงินช่วยเหลือหรือไม่ครับ? จากคุณ : downsyndr เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 23:13:29

ความคิดเห็นที่ 6 สิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ คือ คำแถลงของหน่วยงานราชการไทย เพราะว่าส่วนใหญ่จะช่วยพวกกันเอง จากคุณ : พุงโตกว่า เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 23:52:57

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ เชื่อดาราดีกว่าสินะครับ ขอโทษนะครับ ที่หมอไม่มีเวลาไปสร้างภาพให้ดูดีเหมือนอาชีพอื่นๆ จากคุณ : LiLz เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 01:12:49

ความคิดเห็นที่ 8 คห6 ปิดตา ปิดหูไว้นะครับ แล้วใช้ความรู้สึกต่อไป ซักวันถ้าหมอใช้ความรู้สึกรักษาญาติคุณบ้างแล้วจะรู้สึก จากคุณ : yokenolf เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 01:29:39

ความคิดเห็นที่ 9 ถึง  ความคิดเห็นที่ 6 ด้วยความเคารพ มีแฟนเพจของดารานักบุญ ( ที่สร้างตราบาปให้หมอ ) ไปถามหมอที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษโน่น สรุปว่าเคสนี้โอกาสรอดยากมาก เค้าคุยกันเรื่องนี้จนทะลุไปถึงใหนต่อใหน.... จากคุณ : - (สมหนิง) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 12:02:30

ความคิดเห็นที่ 10 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ หลายคนก็คงได้ประสบการณ์ นำไปปรับใช้ต่อไป ... บางครั้งอาจดูโหดร้าย แต่นี่ก็คือ ความจริง ของสังคมไทย ที่บางคนคิดกับ หมอ ... หมอ ๆ ก็ต้องปรับตัว ปรับวิธีการทำงาน .. อย่ามองโลกสวยเกินไปนัก   แต่ก็อย่าถึงกับหมดศรัทธาในวิชาชีพ  ผมยังเชื่อว่า คนไทย ส่วนใหญ่ ยังมองภาพหมอ ในแง่ดี .. โรคน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือด .... ( ความรู้ ประกอบ การติดตามข่าว ) http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=4&gblog=69 มดลูกแตก ..... ( ความรู้ ประกอบการติดตามข่าว ) http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=4&gblog=68 โชคดีที่ไม่เรียนวิชาสูติศาสตร์ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=7&gblog=14 จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 13:04:54

ความคิดเห็นที่ 11 คห 6 หาโปรตีนกินบ้างนะ พยายามให้สมองโตกว่าพุงด้วยนะคะ : ) จากคุณ : j o y z เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 14:07:31

ความคิดเห็นที่ 12 เป็นกำลังใจให้ทั้งฝ่ายสูญเสีย และ หมอ(ที่ทำเต็มที่แล้ว แต่ข่าวที่ออกมาก่อนหน้า คงน่าจะจิตตกไปเยอะทีเดียว) เอ่อ...คือว่า คคห.6 อ่านให้เยอะๆ วิเคราะห์ให้มากๆ ก่อนวิจารย์ดีกว่านะ สร้างสรรค์กว่าค่ะ จากคุณ : jkpn1207 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 14:43:47

ความคิดเห็นที่ 13 หายไปเกือบอาทิตย์ นึกว่าเรื่องจะจบแ้ล้วสะอีก ^^ จากคุณ : TOSHy เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 15:09:37

ความคิดเห็นที่ 14 คงจบยากเพราะดาราต้นทางยังไม่เอารูปและคำกล่าวนั้นออก จนถึงวันนี้ก็ยังมีคนแชร์และเข้าไปด่าหมออยู่อย่างต่อเนื่องครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 15:22:22

ความคิดเห็นที่ 15 @ 11"""ให้ 100 like ค่ะ.. จากคุณ : LR""" เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 17:54:37 A:101.109.100.155 X: TicketID:368943

ความคิดเห็นที่ 16 ทุกวันนี้ยังคงมีคนที่เข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการคลอดอยู่มาก วันก่อนผมเจอคุณแม่คนหนึ่งปากมดลูกเปิด 9 cm แล้ว ญาติที่มาเยี่ยมถามผมว่า ทําไมไม่รีบผ่า จะให้คนไข้ทรมานทําไม เพราะเป็นสิทธิสามสิบบาทใช่มั้ยเลยไม่ได้ผ่า จ่ายเงินเองก็ได้ เลยได้เลคเชอร์ญาติคนไข้ไปประมาณ 15 นาที ไม่คาดหวังคําขอโทษหรอกครับ ผมทําใจแล้ว คงได้แต่ทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดต่อไป จากคุณ : เขียนบน iPhone (Jin Shuu Hei) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 18:21:45

ความคิดเห็นที่ 17 บ้านเมืองที่กำลังวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะคนไทยโดยเฉพาะชนชั้นกลาง ที่พอรับข่าวสารอะไรมาก็จะเชื่อทันทีโดยไม่มีการคิดไตร่ตรองว่า ข่าวสารนั้น มันเป็นไปได้หรือเปล่า ข้อมูลนั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วก็เกิดอคติขึ้นมาในใจ แม้เมื่อต่อมาความจริงปรากฎ ก็ไม่ยังยอมเพราะอคติมันฝังเข้าไปในกระแส เลือดแล้ว น่าสงสารประเทศจริงๆ หลวงพ่อ ปอ.ปยุตโต ท่านเคยเทศน์ว่า ยุคนี้เป็นยุคข้อมูล ข่าวสาร แต่ไม่ใช่ว่าจะดี เพราะข้อมูลข่าวสารทุกวันนี้ ทำให้เกิดโมหะมากกว่าทำให้เกิตปัญญา จากคุณ : Mazzor เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 18:47:47

ความคิดเห็นที่ 18 คห 6 ครับ แล้วคุณว่า คนไข้ที่ปวดท้องคลอด แล้วจู่ๆแน่น หายใจไม่ออก หน้าเขียว จนช๊อคเกิดจากอะไรครับ 1. โดนไสยศาตร์ 2. เป็นโรคหมอทำ 3. ไม่รู้ กูว่าหมอผิดแหง่ๆ ไม่ต้องเอาเหตุผลมาพูด กูไม่รู้หรอก จากคุณ : วิชยุ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 19:22:29

ความคิดเห็นที่ 19 สรุปว่ายังมีคนอ่านหนังสือไม่เกิน  8 บรรทัดอยู่ 1 คนในกระทู้นี้ จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 20:06:54

ความคิดเห็นที่ 20 เท่ไม่ดูเวล่ำเวลา หล่อไม่ดู กะละเทสะ จากคุณ : ไม่หล่อจริง อย่าหยิ่งใส่ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 21:45:46

ความคิดเห็นที่ 22 เท่ไม่ดูเวล่ำเวลา หล่อไม่ดู กะละเทสะ จากคุณ : ไม่หล่อจริง อย่าหยิ่งใส่ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 21:46:32

ความคิดเห็นที่ 23 แมว หมี ยาราไนก้า กล้ามปู รีดนมวัว สุนัขระทึกรฤกชาติ รู้อะไรไหมครับ อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านอ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัดแล้ว ยินดีด้วย จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 22:36:52

ความคิดเห็นที่ 24 ข่าวเงียบกริบ ผิดกับตอนที่รุมกันด่า จากคุณ : ชีนะ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 00:17:14

ความคิดเห็นที่ 25 เห็นรุมด่า6 กันหมดเลย ถามหน่อยเถอะครับว่า พวกท่านเชื่อคำแถลงของรัฐทุกเรื่องเลยหรือ และอีก1คำถาม ให้คุณหมอทุกท่านช่วยตอบหน่อย ในกรณีนี้ ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้แล้วนั้น สำหรับแม่อาจจะช่วยไม่ได้ แต่เด็กในท้องละครับ ถ้าไม่ย้ายแม่ไป หมอในรพ.แรกสามารถช่วยได้ไหมครับ ท่านอื่นช่วยมาเม้นท์ก็ได้นะครับ ขอเป็นวิชาการนะครับ จากคุณ : เชลเก่า เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 01:33:48 A:27.130.118.236 X: TicketID:346541

ความคิดเห็นที่ 26 คห.25 คะ เราว่าช่วยไม่ได้อะคะ เพราะถ้าช่วยเด็กก็คือต้องเอาเด็กออกจากท้องเเม่ โรงบาลไม่มีห้องผ่าตัด ถ้าเอาเด็กออกก็คงต้องใช่มีดอีโต้ผ่าเเล้วละ กรณีนั้นเเม่ตาย 100%   เเถมการจะช่วยทีมันต้องมีการเซ็นชื่อยอมรับจากฝ่ายสามีว่า ถ้าผ่าเอาเด็กออก เเม่เดี้ยง 100% ด้วย ถ้าไม่มีการเซ็นชื่อก่อน ฝ่ายสามีสามารถฟ้องร้องโรงบาลได้คะ เเต่ที่จริง โรงบาลลำลูกกาก็ไม่มีห้องผ่าคลอด คุณหมอเขาคงไม่อยากเอามีอีโต้ไปผ่าเด็กออกนะ = =" ยังไงก็ช่วยไม่ได้คะ ถ้าไม่ได้ย้ายโรงบาล   ปล. อาจจะผิดไปขอโทษทีนะ เราไม่ใช่หมอ เเต่มีเเม่เป็นพยาบาล จากคุณ : คนที่เดินผ่านมา เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 02:00:19

ความคิดเห็นที่ 27 คำถามแรกนะครับ - ขอตอบตรงๆเลยว่า ไม่เชื่อก็ควรจะเชื่อ เพราะลักษณะอาการเนี่ย ช่างเหมือนกับในตำราที่ อ.ทั้งหลายสั่งสอนกันมา และเป็นโรคที่หมอสูติทุกคนกลัวที่สุดครับ เพราะอยู่ดีดีก็เป็น หมอที่ รพ.ดังกล่าวก็วินิจฉัยได้ถูกต้องในเวลาไม่กี่วินาที ..โรคนี้วินิจฉัยได้ง่ายๆ จากอาการครับ.. ถ้ามีการพูดเท็จเกิดขึ้น ก็แสดงว่า ผู้ป่วยไม่ได้มีลักษณะอาการดังกล่าว ซึ่งอย่าลืมนะครับว่า สามีผู้ตายก็เป็นคนเล่าเหตุการณ์เอง และ จนท รพ. ก็อยู่ในเหตุการณ์หลายคน และหากจะไม่เชื่อผลชันสูตรซึ่งเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คุณไม่เชื่อว่าโลกเป็นทรงกลมหรอกครับ คำถามที่สอง หมอ รพ.แรกได้ช่วยแล้วครับ ด้วยการรักษาเบื้องต้น และส่งต่อ - ทำไมไม่ทำคลอด -> น่าจะทำไม่ได้ครับ เพราะปากมดลูกไม่เปิด จะตำรวจ รึแทกซี่ก็ไม่มีทางทำได้ - ทำไมไม่ผ่าคลอด -> การผ่าตัดไม่ได้ใช้แค่มีดนะครับ มีแค่มีดยังทำกับข้าวไม่ได้เลย ถ้าผ่าในสภาพไม่พร้อมถึงเป็นเด็ก+แม่ที่สมบูรณ์ก็รอดยากครับ ผมไม่ใช่หมอสูตินะครับ ถ้าอยากให้ละเอียดกว่านี้ คงต้องรบกวน หมอสูติ และ หมอเด็กแล้วล่ะครับ จากคุณ : LiLz เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 02:07:55

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเป็นหมอผ่าตัด แต่ไม่ใช่ สูติ-นรีแพทย์ ขออนุญาตตอบ คคห 25 นะครับ ในกรณีที่ เราสามารถทราบได้ว่า มารดาเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือด และทราบแน่ชัดว่า มารดาจะเสียชีวิตแน่นอนแล้ว การจะช่วยทารกนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ อย่างแรกคือ มารดาเมื่อเกิดภาวะนี้แล้ว อาจจะมีเวลาชีวิตของมารดาเหลือน้อยมาก ในเวลาไม่นาน ความดันเลือดอาจจะต่ำจนวัดไม่ได้ นั่นหมายถึงเลือดที่ผ่านรก เพื่อไปเลี้ยงเด็กที่ลดน้อยลง ทารกจะทนขาดเลือดได้นานเท่าไหร่กันครับ ? ในสถานการณ์จริง เราไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารดาในขณะนั้น รู้แต่ว่ามารดาเกิดภาวะฉุกเฉิน หยุดหายใจ แพทย์ที่อยู่หน้างาน ต้องพยายามช่วยมารดาอย่างเต็มที่ การตัดสินใจในภาวะฉุกเฉินยากมากนะครับ มีเวลาให้หมอไม่นาน และจะตัดสินใจว่าจะผ่าตัดมารดา เพื่อช่วยเด็กออกมา โดยแลกกับชีวิตมารดา ไม่ใช่เรื่องที่แพทย์นึกอยากจะทำก็ทำนะครับ แพทย์ต้องแจ้งญาติให้ทราบก่อน และไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจกันง่ายๆ แม้ว่าญาติอยู่ตอนนั้น แต่มีกันหลายๆคน ก็ยืนเถียงกันไป 30 นาทีก็อาจจะยังไม่มีข้อสรุป คำยินยอมจากญาติ (informed consent) ให้อนุญาตทำการผ่าตัด ผมคิดว่าจำเป็นมาก แล้วในตอนนั้นญาติที่ต้องทำการตัดสินใจคือสามี.. ซึ่งก็ไม่ได้เฝ้าอยู่ ถ้าแพทย์ตัดสินใจ ผ่าตัดเพื่อนำทารกออกมาฉุกเฉิน แล้วในกรณีที่มารดาก็ช่วยไม่ได้ ทารกก็ช่วยไม่ได้ ทำให้เกิดการผ่าตัดที่สูญเปล่า.. สามีจะทำใจได้หรือเปล่าครับ ? จะเกิดคำถามอีกหรือเปล่าว่า "ถ้าหมอรู้ว่าช่วยทารกออกมาไม่ได้ แล้วจะผ่าตัดให้ภรรยาผมเจ็บตัวมากขึ้นอีกทำไม" จากกรณีข้างบน ถ้าทำผ่าตัดฉุกเฉินใน รพ.เอกชน แล้วสามีที่เป็นญาติไม่มีปัญญาจ่ายค่าผ่าตัด เสียทั้งภรรยาและลูกที่จะเกิดมา คุณดารา-กู้ภัยเกรียนแตกคนนึงจะมาดราม่าอีกรึเปล่าครับ "หมอไร้จรรยาบรรณ ผ่าตัดคนตาย เรียกเงินจากสามียากจนทั้งที่สามีต้องเสียทุกอย่าง" ผมว่าให้มารดามายืนอยู่หน้าห้องผ่าตัด แล้วนับ 1-2-3 เพื่อบอกแพทย์ว่า "ฉันจะมีภาวะน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือดแล้วนะ" ขั้นตอนในการรักษา เพื่อช่วยชีวิตมารดาหรือทารกในครรภ์ยังยากมากเลยครับ เรามองกรณีศึกษานี้อย่างย้อนหลัง แล้วเกิดคำถามว่า ทำไมหมอไม่ทำอย่างนั้น-อย่างนี้ ถ้าเราเป็นหมอในเหตุการณ์จริง ไม่ง่ายเหมือนมานั่งแชร์ความมักง่ายในเฟซบุ๊คหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 55 04:41:10 จากคุณ : IronYoJin เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 04:39:51

ความคิดเห็นที่ 29 ตอบ คคห.25 เพิ่มเติม ว่าเชื่อที่รัฐแถลงการณ์หรือไม่ - ตั้งแต่ดูข่าว ผมว่าก็เป็น amniotic fluid embolism แล้วครับ ถ้ารัฐมาแถลงการณ์บอกว่า ปวดจนกัดลิ้นขาดใจตาย นั่นผมถึงจะไม่เชื่อครับ - มีใครเคยเห็นคนท้อง ปวดจนกัดลิ้นขาดใจตายไหมครับ ? ผมเคยเห็นแต่ปวดมากจนสลบไปครับ จากคุณ : IronYoJin เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 10:15:25

ความคิดเห็นที่ 30 ชอบใจ คห 18 ถูกใจให้ล้านกีบเลย คือยังงัย หมอก็ผิดอยู่ดีต่อให้ทำดีสักแค่ไหน บางคนอธิบายก็ไม่เข้าใจ เค้่าอธิบายกันถึงดาวอังคารแล้ว นี่ยังอยู่แค่ว่าโลกกลมหรือเปล่า เพลียกับความคิดแบบนี้จริงๆ ตรวจคนไข้แต่ละที ภาวนาเลยขอให้เจอคนไข้ดีดีคุยกันรู้เรื่อง จะได้มีกำลังใจรักษาต่อไป จากคุณ : น้ำตาลกะข้าวตัง เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 10:27:15

ความคิดเห็นที่ 31 ชันสูตรศพแล้วยังมีคนไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะทำไงให้เชื่อแล้วล่ะครับ ภาวะน้ำคร่ำอุดตันหลอดเลือด โอกาสช่วยชีวิตคนไข้มีน้อยมาก ถ้าถามว่าจะช่วยเด็กได้มั้ย ตอนนั้นคนไข้ไม่สามารถคลอดเองได้แน่นอนต้องผ่าเท่านั้น รพ.แรกไม่สามารถผ่าตัดคลอดได้เลยส่งตัวไปรพอื่น ถ้าไปทันก็อาจมีโอกาสที่เด็กรอด แต่กรณีนี้ไปไม่ทันเด็กเลยเสียชีวิต แพทย์ที่รพ.แรกไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ภาวะนี้ต่อให้เกิดในรร.แพทย์ก็ยังไม่แน่ว่าจะช่วยเด็กไว้ได้ วิธีที่จะช่วยเด็กอีกวิธีคือ พอวินิจฉัยได้ว่าเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตัน ก็เอามีดผ่าท้องแม่ควักเด็กออกมาเลย อาจช่วยเด็กไว้ได้ แต่ใครจะทำ จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 11:23:10

ความคิดเห็นที่ 32 ขออนุญาตแชร์ความคิดเห็นครับ เห็นคุณหมอทั่วไปโดยเฉพาะหมอผ่าตัดมักกังวลเรื่องของการเซ็นต์ให้ความยินยอมในการทำหัตถการต่างๆของผู้ป่วยหรือญาติก่อนทำการรักษาหรือผ่าตัด เพราะกลัวญาติหรือผู้ป่วยจะฟ้องทีหลัง บางครั้งญาติอยู่ต่างจังหวัดไม่สามารถเดินทางมาเซ็นต์ให้ได้ทันที ทำให้ต้องเสียเวลาในการช่วยชีวิตผู้ป่วยไปอย่างน่าเสียดาย  ประมวลกฏหมายอาญา ม. 67 บัญญัติไว้ดังนี้ครับ  ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็น (๑) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ (๒) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถ หลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ คุณหมออาจอ้างมาตรา 67 ( 2 ) ในการยกเว้นโทษได้ในกรณีที่ถูกฟ้องครับ จากคุณ : หมอใหญ่ (หมอใหญ่) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 11:57:33

ความคิดเห็นที่ 33 #32 จากกรณีคดีร่อนพิบูลย์ ใช้มาตรานี้ช่วยได้หรือเปล่าครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 12:34:29

ความคิดเห็นที่ 34 สำหรับความเห็น 32 "เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยง ให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ คุณหมออาจอ้างมาตรา 67 ( 2 ) ในการยกเว้นโทษได้ในกรณีที่ถูกฟ้องครับ" ปัญหาคือคุณต้องพิสูจน์ว่า 1) ภยันตรายที่ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ 2) ภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 3) การกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ถ้าดูจากกระแสที่เกิดแม้จนเมื่อมีผลการชันสูตรออกมาแล้ว คุณคิดว่าการพิสูจน์ 3 ข้อที่ว่าจะเป็นที่พอใจของผู้ไหลตามกระแสหรือไม่ ในข้อ 1 แม้จนบัดนี้ยังมีคนเชื่อว่าให้ตำรวจหรือกู้ภัยทำคลอดก็จะไม่ตาย ในข้อ 2 แม้จนบัดนี้ก็ยังมีคนไม่ฟังคำอธิบายเรื่อง AFE ในข้อ 3 แม้จนบัดนี้ก็ยังมีคนพูดเรื่องการผ่าเอาเด็กออกโดยยอมให้แม่เสียชีวิต สำหรับความเห็น 33 ในกรณีที่ว่า คำพิพากษาระบุไปแล้วว่าเป็นความผิดของแพทย์ที่ดำเนินการโดย ไม่พร้อม ซึ่งหมายความว่าไม่เข้าข้อยกเว้นตาม 2) ข้างต้น แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 55 13:27:38 จากคุณ : Away from Thailand เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 13:05:21

ความคิดเห็นที่ 35 เคยเจอตอนอยู่เวรค่ะ ผู้คลอดเป็นท้องที่สอง แรกรับตอนแปดโมงปากมดลูกเปิด 1 ซม.ตอนสิบโมงเริมเปิดเป็น3ซม ก็ดูแลประมินคนไข้ไปเรื่อยๆประมาณสี่โมงเย็น8ซม เกือบจะคลอแล้ว มีญาติมาขู่ว่าหากห้าโมงเย็นแล้วยังไม่คลอดจะย้ายโรงพยาบาล เราเลยไม่เข้าใจว่าเวลาคลอดคนเรา มันกำหนดกันได้ด้วยเหรอ มันก็ต้องมียืดหยุ่นกันบ้าง จะมาเป๊ะๆไม่ได้ เรามีมาตรฐานการดูแลโดยใช้พาโทกราฟอยู่แล้ว กว่าจะอธิบายให้เข้าใจก็แย่เหมือนกันค่ะ จากคุณ : norikosung เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 14:35:07

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นใจคุณหมอที่แยู่ที่รพ นี้จริงๆ เห็นใจคุณหมอทั่วประเทศที่โดนตราหน้าว่า "ผิด" ตั้งแต่เข้ามาเป็นหมอ ไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะเกิดอย่างไร จบอย่างไร สนใจแค่ว่าได้ด่าอย่างเดียวก็พอแล้ว เห็นแล้วท้อใจจริงๆ จากคุณ : BarnYen เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 14:47:24

ความคิดเห็นที่ 37 คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้อ่านออก แต่ไม่ชอบเรียนรู้ และไม่พยามรับรู้ จึงไม่มีความรู้แต่เชื่อว่าตนเองรู้ จากคุณ : Koi เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 18:02:09 A:115.87.255.60 X: TicketID:374995

ความคิดเห็นที่ 38 มีลูกมีหลานก็ไม่ต้องส่งมาเรียนหมอ พวกหมอๆก็เตรียมย้ายอาชีพ ต่อไปก็ปล่อยให้พวกเก่งแต่ปากมารักษาแทน จากคุณ : สาวก HANSON เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 19:03:55

ความคิดเห็นที่ 39 คือยังไง ก็จะ ด่า หมอ ให้ได้   งั้น ก็ไม่ต้องมาเถียงครับ  ปิดหูปิดตา ปิดรับข่าวสาร จากด้านที่ตัวเองไม่เชื่อต่อไปเถิด เวลาไม่สบาย  ปล่อยให้หายเองนะ เด๋ว เจอหมอไม่ดี หมอจะเลี้ยงไข้ หมอไม่มี จรรยาบรรณ ......... ยัง จะ แถ ให้ตัวเอง ถูกให้ได้ เซง จากคุณ : lordgnoran เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 20:13:16

ความคิดเห็นที่ 40 จะพยายามไม่ใส่ใจคำด่า เชื่อว่าทุกวันนี้ทำความดีมากกว่า พวกที่มาบั่นทอนจิตใจคนอื่นไปวันๆ ผมอโหสิให้นะครับ ปล. คุณเชื่ออะไรคุณก็ไปรักษาอย่างนั้นเถิด อย่ามาโรงพยาบาลเลย เพราะยังไงคุณก็ไม่เชื่อหมออยู่ดี แนะนำอะไรไปก็ไม่เคยทำได้ ยังมีคนไข้ดีๆ รอให้รักษาอีกมากครับ จากคุณ : Little Brother เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 22:43:25

ความคิดเห็นที่ 41 ผม25ครับ ขอบคุณหลายความเห็นที่ต่อท้ายกันมา เริ่มมีความรู้ ความถูกต้องมากขึ้น แต่สุดท้าย ก็มาด่าเอามันอีกตามเคย มันทำไม่ถูก เราต้องว่ามัน เชื่อผมเถอะ วันนี้เราด่า อีกไม่กี่วันถ้าพรุ่งนี้มีเรื่องใหม่มา เราก็เฮไปอีก ไม่มีประโยชน์ต่อใครและใดๆทั้งสิ้น หาความจริงและแก้ไขมันดีกว่า จากคุณ : เซลเก่า เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 02:53:37 A:27.130.206.121 X: TicketID:346541

ความคิดเห็นที่ 42 ความจริง-ผลชันสูตร เปิดเผย ชัยชนะของแพทย์ ? ชัยชนะของความจริง ? ความพ่ายแพ้ของการใช้อารมณ์ความรู้สึก ? การพ่ายแพ้ของฝ่ายกฎหมาย ? ผลจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ... แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาคือ  - สังคมไทยเปลี่ยนไป จากที่แพทย์คือผู้ช่วยชีวิต ให้ชีวิต กลายเป็น แพทย์คือข้ารับใช้ที่ต้องรักษาคนไข้ผู้เป็นนาย และต้องหาย+ไร้ภาวะแทรกซ้อนเท่านั้น สังคมเริ่มมีทิฐิกับแพทย์ ไม่ว่าแพทย์จะถูกหรือผิดก็ตาม - โอกาสแพทย์เสี่ยงถูกฟ้องร้องสูงขึ้นแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัย แม้จะทำสุดความสามารถ แม้จำทำดีที่สุดแล้ว - แพทย์ในระบบน่าจะเริ่มสร้างเกราะป้องกันตัวมากขึ้นอีก โดยการ ทำงานให้น้อยลง(แต่เพิ่มคุณภาพ) ไม่ทำสิ่งที่เสี่ยงแม้แต่เล็กน้อย ทั้งๆที่เคยทำได้สบายๆ ส่งต่อไปสถานบริการใหญ่กว่ามากขึ้น รวมถึงแนวโน้มจะออกจากระบบมากขึ้น เพราะแพทย์เป็นวิชาชีพที่ทางเลือกสูงมาก เงินเดือนเอกชนมากกว่า ทำคลินิกได้มากกว่า หรือแม้ไปสายอาชีพอื่น เพราะส่วนใหญ่แพทย์หัวดีอยู่แล้ว เปลี่ยนสายอาชีพโอกาสรุ่งก็มากขึ้น เมื่อไหร่ไฟที่เคยร้อนแรงและสดใสถูกสังคมทำมอดลงมากไป จนความอดทนและความดีเริ่มสู้ไม่ไหว เมื่อนั้นก็หลุดจากระบบ  - แพทย์นอกระบบก็คงคล้ายๆกัน เรียกเก็บค่ารักษาที่แพงมากขึ้นเพื่อการส่งตรวจ เพื่อค่ายาที่ดีๆแพงๆ ส่งพบแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น รวมถึงพยายยามทำกำไรสูงๆเพื่อพัฒนาตัวเองให้ความเสี่ยงน้อยที่สุด  - ระบบราชการควรไหมที่จะช่วยป้องกันแพทย์มากกว่านี้? - สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลคือใคร? ใครชนะ? ใครแพ้? - แพทย์ และ สังคมเรียนรู้อะไรจากกรณีนี้บ้าง? จากคุณ : suong119 (suong119) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 08:01:58

ความคิดเห็นที่ 43 ใครทนได้ก็ทนต่อไป ใครทนไม่ได้ก็เลิกทนไปทำอย่างอื่น คนที่ทนไม่ได้ก็เลยเลิกทนไปทำอย่างอื่นก็อาจจะโดนสังคมต่อว่าว่าที่ทนไม่ได้เพราะไม่มีจรรยาบรรณ (?) , เห็นแก่เงิน (?) , ยอมรับไม่ได้ก็อย่ามาทำอาชีพนี้ (?) เริ่มหลุดประเด็น จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 08:13:14

ความคิดเห็นที่ 44 ตอนนี้กรณีนี้ กำลังถูกโจมตีโดยคณะอคติหมอ แล้วครับ T______T https://www.facebook.com/photo.php?fbid=422358391161548&set=a.134530629944327.27100.132756276788429&type=1 จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 08:41:24

ความคิดเห็นที่ 45 ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียด้วยค่ะ เป็นกำลังใจให้คุณหมอที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจรักษาคนไข้ต่อไป ขอให้คุณบิณฑ์เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและตั้งใจทำความดีช่วยเหลือคนต่อไปค่ะ จากคุณ : คุณป้าจอมตะลอน เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 10:31:57

ความคิดเห็นที่ 46 สำหรับความเห็นที่34 ขออภัยที่ผมอาจอธิบายไม่ละเอียด ความเห็นของผมใน คห. 32 ไม่ได้พูดถึงกรณีเคสแม่ลูกตามหัวกระทู้นี้นะครับ สืบเนื่องจากความคิดเห็นก่อนหน้าพูดถึงเรื่อง inform consent กัน ผมก็เลยมีเจตนาที่จะบอกกล่าวหรือให้คำแนะนำสำหรับแพทย์ที่ต้องทำหัตถการกับผู้ป่วย และคิดว่าการเซ็นต์ใบยินยอม ( inform consent ) ให้ทำหัตถการต่างๆโดยญาติหรือตัวผู้ป่วยเองจะทำให้รอดจากการถูกฟ้องได้ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นมา จริงๆแล้วไม่ใช่เหมือนที่แพทย์คิด เพราะเคยมีคดีที่แพทย์ถูกตัดสินให้มีความผิดทั้งๆที่ให้ญาติเซ้นต์ใบยินยอมเรียบร้อยแล้ว เจตนาของผมต้องการบอกคุณหมอทั้งหลายว่า อย่ามัวแต่รอให้ญาติมาเซ้นต์ใบยินยอมจนบางครั้งทำให้การรักษาล่าช้าไป ขอให้คุณหมอช่วยชีวิตผู้ป่วยก่อนเป็นลำดับแรก โดยไม่ต้องมากังวลกับเรื่องใบยินยอมนี้ ถ้าเกิดปัญหาทีหลังเราอ้างมาตรา 67 (2) ดังกล่าวได้ครับเพราะเจตนาดีจะเป็นเกราะช่วยคุ้มภัยให้คุณหมอเอง ส่วนคำตอบสำหรับความเห็นที่ 33 ผมคิดเหมือนคุณครับ เพราะการอ้าง มาตรา 67 (2) ต้องเป็นกรณีที่เป็น case emergency จริงๆครับ  ส่วนคดีตามกระทู้เรื่องนี้ผมมีความคิดเห็นเหมือนแพทย์ส่วนใหญ่ครับ ว่าคุณบิณฑ์ให้ข้อมูลผ่านสื่อสาธารณะโดยที่ไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ดีก่อน และทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินความผิดหมอกับโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องไปเรียบร้อย ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเพราะคนในประเทศนี้ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้จริงๆคือเลือกที่จะบริโภคข้อมูลข่าวสารโดยที่ไม่ตรวจทานข้อมูลให้ดีก่อนหรือชอบแต่ฟังความด้านเดียวและตัดสินโดยใช้อารมณ์สาธารณะ จากคุณ : หมอใหญ่ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 11:20:52

ความคิดเห็นที่ 47 เรื่องแบบนี้พี่บิลล์ บอกต้องใช้ความรู้สึกพิจารณา จะใช้เหตุผลหรือกฎอะไรไม่ได้อ่ะ... จากคุณ : ใครล้มเหล้าต้องเจอกรู (Babbitry Boy) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 13:37:23

ความคิดเห็นที่ 48 สนุกจัง เอาอีกๆ จากคุณ : เพ็ชรสามสี1 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 21:07:04

ความคิดเห็นที่ 50 สำหรับ คห.49 ต้องขออนุญาตด่าในใจ แล้วกรวดน้ำให้นะครับ จากคุณ : Away from Thailand เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 55 07:45:22

ความคิดเห็นที่ 51 555+ คห. 50 กรวดน้ำแล้วอย่าลืมคว่ำขันนะคะ จะได้ไม่เจอะไม่เจออีก คห.49 นี่โพสเอาฮาเหรอคะ จากคุณ : บ้านสายไหม เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 55 08:22:26

ความคิดเห็นที่ 52 http://www.med.cmu.ac.th/dept/obgyn/2011/index.php?option=com_content&view=article&id=679:amniotic-fluid-embolism-syndrome&catid=45&Itemid=561 เทคนิคการรักษาที่ทันสมัย (Novel intervention)            มีการใช้วิธีรักษาใหม่ๆ ในผู้ป่วยภาวะน้ำคร่ำอุดกั้นปอด คือ 1. การสูดดม Nitric Oxide และใช้เครื่องมือช่วยการทำงานของหัวใจด้านล่างขวา ในผู้ป่วยที่มีความดันปอดสูง และหัวใจด้านล่างขวาทำงานล้มเหลว (48, 49) 2. การใช้ Cardiopulmonary Bypass/ Intraaortic Balloon Pump Counter pulsation และ ECMO ในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดออกซิเจนและหัวใจด้านล่างซ้ายทำงานล้มเหลว (22, 50) 3. การใช้สารประกอบ Factor VII7A ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด (49) สรุปและข้อแนะนำ (Summary and recommendations) 1.โรคน้ำคร่ำอุดกั้นปอดเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต เกิดระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอดไม่นาน มีลักษณะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงของความดันต่ำ ขาดออกซิเจนในเลือด ระบบหายใจล้มเหลว และเลือดแข็งตัวผิดปกติ 2.ภาวะน้ำคร่ำอุดกั้นปอดพบน้อยแต่ไม่สามารถทำนายได้และไม่สามารถป้องกันได้ 3.ภาวะน้ำคร่ำอุดกั้นปอดวินิจฉัยจากลักษณะที่ตรวจพบโดยรวมโดยแพทย์ควรสงสัยภาวะนี้ หากมีภาวะความดันต่ำหรือการหายใจผิดปกติเกิดขึ้นช่วงเจ็บครรภ์ คลอด หรือทันทีหลังคลอด โดยไม่พบสาเหตุอื่น 4.ไม่มีการรักษาที่เฉพาะของภาวะนี้ เป้าหมายของการรักษา คือ การแก้ไขภาวะขาดออกซิเจนและความดันต่ำเพื่อป้องกันภาวะขาดเลือดตามมาในมารดาและมีออกซิเจนเพียงพอสู่ลูกโดยอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ยากระตุ้นหัวใจ สารน้ำ และเลือด 5.ในภาวะน้ำคร่ำอุดกั้นปอด มีอัตราการตายของมารดาสูง แม้ว่ารอดชีวิตก็ยังมีการบาดเจ็บจากสมองขาดเลือด ส่วนผลลัพธ์ของทารกก็แย่เช่นเดียวกัน ก็เข้าใจว่าโรคนี้ร้ายแรง แต่ที่บอกว่าสุดวิสัยนั้น อยากทราบว่า ได้สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว ไม่ประมาทจริงและได้พยายามรักษาตามแนวของโรคนี้จริงแล้วหรือยังครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 55 11:57:35 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 55 11:56:55 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 55 11:54:52 จากคุณ : ของเล่นใหม่ เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 11:53:39

ความคิดเห็นที่ 53 คห. ๕๒ การรักษาใหม่ ๆ ... ที่บอกนั้น อย่าว่า แต่ รพ.อำเภอ (รพ.ชุมชน) รพ.จังหวัด (รพ.ทั่วไป) หรือ รพ.ศูนย์ เลยครับ .. แม้กระทั่ง คณะแพทย์ บางอย่างยังไม่มี เลยครับ แต่ถึงแม้จะ " มี " ทุกอย่าง ..  ก็ไม่แน่ว่า จะทันได้ใช้ ??? เพราะ ถ้าอ่าน ตามลิงค์ที่คุณอ้างอิง ก็จะเห็นว่า อาการต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเร็วมาก ระดับนาที หรือ ชั่วโมง เท่านั้นนะครับ ... " ภาวะขาดออกซิเจนในเลือด พบบ่อยที่สุดจากระบบการหายใจล้มเหลว มักพบช่วงแรกของภาวะน้ำคร่ำอุดกั้นปอด ตรวจพบได้จากการดูระดับออกซิเจนปลายนิ้ว ส่วนการตรวจร่างกายอาจจะพบภาวะสับสน กระวนกระวาย เหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว เขียว เลือดเป็นกรด ผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่งจะตายในชั่วโมงแรก " จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 15:52:49

ความคิดเห็นที่ 54 กระทู้นี้ไม่ได้ตอบข้อกังวลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของการรักษากรณีนี้ว่าทำกันอย่างไร บอกเพียงเป็นโรคที่สุดวิสัยให้ทำใจหากใครเป็น ถึงอย่างไร หากได้ทำการรักษาอย่างดีที่สุดแล้วจริง ก็ขอชื่นชนในความพยายามครับ และขอขอบคุณและชื่นชมคุณหมอทุกท่านที่ใส่ใจกับคนไข้ทุกคน เช่น กระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/family/topicstock/2009/02/N7524330/N7524330.html จากคุณ : ของเล่นใหม่ เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 16:18:35

ความคิดเห็นที่ 55 - พวกเรามารอข่าวคราวเพิ่มเติมกันก่อนดีมั้ยครับเพราะเรายังไม่ทราบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆเป็นอย่างไร ข่าวที่ออกมาเป็นเหมือนบทสรุปย่อมากกว่า คงต้องรอหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานต่างๆ รวมถึงเวชระเบียน พยานในมี่เกิดเหตุ จะสรุปว่าหมอหรือคนไข้ผิด ไม่น่าจะใช่ประเด็น ... ประเด็นน่าจะเป็นว่า เราจะทำอย่างไรให้หมอและคนไข้ มีความสุขที่ได้บริการและรับบริการมากกว่านี้ - ตาม คห.52 กล่าวมาก็ถูกต้อง แต่ไม่มีให้ใช้นะครับ ส่วนทำไมไม่มีคงต้องให้ระดับผู้บริหารกระทรวงสธ. มาตอบดีกว่า - ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นเหมือนคดีหมอโดนฟ้องอื่นๆหลายๆคดี คือ รักษาถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ ผสมโรงด้วยบุคคลที่สาม - อยากให้สังคมเหลือพื้นที่ให้แพทย์ดีๆ(เน้น)มีที่ยืนบ้างครับ เหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นแล้วมันสร้างความเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์อย่างมากโดยเฉพาะการฟ้องร้อง ... หากแพทย์ดีๆไม่มีที่ยืน คุณลองคิดดูนะครับว่าจะเป็นอย่างไร สังคมไทยเราช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดนะครับ เมื่อก่อนผ่าคลอดเอย ทำหมันเอย ผ่าใส้ติ่งเอย เป็นเรื่องที่ทั่วๆไปมาก แพทย์จบใหม่ทำได้สบาย แต่พอเกิดเรื่องขึ้นแค่ครั้งเดียว (ซึ่งถ้าจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นแม้แต่แพทย์เอง) แพทย์โดนคดีอาญา + จำคุก เลยกลายเป็นบทเรียนให้แพทย์ทั่วไปไม่ผ่าอีกต่อไป ให้ผ่าโดยแพทยืเฉพาะทางเท่านั้น เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่อยากถูกฟ้องทั้งๆที่ตัวเองหวังดีอยากช่วยใช่มั้ยครับ ผมเชื่อว่าถ้าการคลอดยังมีปัญหาฟ้องร้องสูง ไม่นานนี้คงจะส่งต่อไปคลอดกับสูติแพทย์ รพช.ก็คงไม่ทำคลอดอีกแล้ว ถามว่าใครคือผู้ได้รับผลเสีย? ในฐานะที่ผมเองก็เป็นแพทย์ใน รพช.คนนึง ผมเองก็อยากทำงานแบบสบายใจ คนไข้แฮปปี้ รักษาแล้วดีขึ้นหรือหาย เจ้าหน้าที่รักกัน ไม่มีการฟ้องร้อง หมอรักคนไข้ คนไข้รักหมอ ต่อให้เงินเดือนข้าราชการจะไม่มาก งานก็หนัก รับผิดชอบสูง สุ้เอกชนไม่ได้ เงินไม่มาก กล้วยเดือนละหวี  ข้าวเหนียวหมูย่างนานๆที ป้าๆยายๆหอมแก้มบ้าง แต่ก็ยินดีจะอยู่แบบนี้ต่อไป ... ... หลักฐานพยานพร้อม ผิดก็ว่าตามผิด ถูกก็ว่าตามถูก ... แพทย์ก็ผิดได้ คนไข้ก็ผิดได้ ไทยมุงก็ผิดได้ ... แต่สำคัญคือเข้าใจ เรียนรู้ และให้อภัยครับ จากคุณ : suong119 (suong119) เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 16:54:16

ความคิดเห็นที่ 56 ต้องไปสืบกันเป็นเรื่องเป็นราวว่าในสถานการณ์นั้นเขาทำอะไรจริงๆ บ้าง แต่เท่าที่ทราบคืออาการของผู้ป่วยแย่ลงอย่างรวดเร็วจนหัวใจหยุดเต้นในไม่กี่นาที การรักษาที่ทำได้ในตอนนั้นมีเพียงการใส่ท่อช่วยหายใจและปั๊มหัวใจซึ่งผู้ป่วยได้รับแล้ว รายละเอียดรอผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 19:20:40