|
ขออนุญาตสำเนากระููทู้ตอบเอามาให้อ่าน จากกระทู้ "เรื่องของการไม่ยื้อชีวิต" จากคุณ f_m_p57
กระทู้เดิม แม่เรา(อายุ 58)สมองตายเนื่องจากขาดยากันชัก(เป็นโรคประจำตัวมาเกือบ10ปี) เส้นเลือดแตกที่ก้านสมองและสมองตาย ไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ ใช้สิทธิ์บัตรทอง ก็สับสนเหมือนกันว่าจะทำยังไง จะย้ายแม่ไปสถาบันประสาทเคยรักษาอยู่ 2 ครั้งแม่ก็หาย โทรไปปรึกษาหมอสถาบันประสาท(หมอบอกให้ทำใจเพราะครั้งนี้เส้นเลือดแตกที่ก้านสมอง และสมองตาย) ฟื้นมาก็เจ้าหญิงนิทรา (ตัวเราเองเงินก็ไม่มี,เวลาดูแล น้องก็มีแค่ 2 คน ทุกคนทำงาน ก็ไม่มีเวลาดูแลรักษา พ่อก็อายุมาก) ตัดสินใจโทรไปที่ สภากาชาดไทยศูนย์รับบริจาคอวัยวะ เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำีดีมาก ทำให้เรานึกถึงบุญใหญ่ที่แม่จะได้ทำครั้งสุดท้าย ตัดสินใจอยู่ 1 วัน ตัดสินใจช้าไม่ได้ เพราะต้องบริจาคตอนที่คนป่วยยังมีลมหายใจ และเจ้าหน้าที่กาชาดกับโรงพยาบาลจะต้องประสานงานเพื่อทดสอบความสมบูรณ์และไม่ติดเชื้อ ของอวัยวะผู้ที่จะบริจาค ถ้าไม่ผ่านก็ไม่สามารถบริจาคได้ถึงแม้ญาติจะอนุญาตก็ตาม เราไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าแม่เพราะกลัวแม่เป็นห่วง สื่อสารด้วยใจ มองหน้าแม่เหมือแม่แค่หลับจับตัวก็อุ่น คิดแล้วคิดอีกว่า เดินเข้าเดินออกในห้องICU เหมือนกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ หัวใจเต้นอ่อนลง ตัดสินใจบอกแม่ แม่จะทำบุญใหญ่น่ะ ฮึดสุดท้ายไม่มีน้ำตา เซ็นต์อนุญาต แล้วเดินออกไปนั่งร้องไห้ที่แม่น้ำท่าจีน หลังจากนั้นก็เป็นขั้นทดสอบความสมบูรณ์ของอวัยวะ,ไม่ติดเชื้อฯ ถ้าทดสอบผ่าน แม่จะทำให้คนพ้นทุกข์พ้นจากความเจ็บป่วยได้ แม่เราก็ทำได้ แม่เราบริจาคดวงตา 2 ข้าง,ตับ 1 และไต 2 ทำให้คนพ้นจากความทุกข์และความเจ็บป่วยได้ถึง 5 ชีวิต และสภากาชาดทำเรื่องขอพระราชทานเพลิงศพให้เป็นกรณีพิเศษ งานศพแม่เป็นงานเล็กๆๆ แต่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ก็เป็นเกียรติอันสูงสุด ของแม่บ้านคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตดูแลลูกและสามีเท่านั้น
"หนึ่งชีวิตที่สิ้นสูญช่วยหลายชีวิตที่สิ้นหวังได้"
1 ปี 1 เดือนที่ผ่านมา ก็คงยังระลึกคิดถึงแม่ "แม้บางครั้งในใจคิดเล่นๆๆว่าซักวันหนึ่งอาจจะได้สบตาคนใดคนหนึ่งในโลกใบนี้ ว่าอาจจะเป็นแววตาของแม่"
ที่เล่าเรื่องราวข้างต้นนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวเนื่องเนื้อหาของ กระทู้นี้ ความตายมีกันทุกคน แต่ถ้าเรายื้อชีวิต สร้างความทุกข์ให้กับตัวเรา ตัวเขา ครอบครัว คนรอบข้าง โดยที่เราเองไม่พร้อมทั้งเวลาเงินทอง ก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ และให้เขาได้ทำบุญใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อภพใหม่ของเขาจะได้ดีขึ้น มันเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจในสังคมไทย ที่ส่วนใหญ่ยังยอมรับไม่ได้กับเรื่องบริจาคอวัยวะทั้งที่หัวใจคนป่วยยังเต้นอยู่
จากคุณ : pa_jeab เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 09:48:58
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12531791/L12531791.html
สงสัยว่า ถ้าเราตัดสินใจแบบนี้ มันจะบาปหรือบุญครับ
มันมีอยู่ 2 ประเด็นคือ ตัดสินใจไม่ยื้อชีวิต กับที่ให้บริจาคอวัยวะอะครับ
กระทู้ตอบ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม 8 : ตอนที่ ๑๑ (เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม 8..คุณดังตฤณ) ถาม – ในกรณีที่พ่อแม่กำลังจะต้องตายแน่ๆ แต่เหมือนหายใจไปวันๆเพราะเครื่องช่วยหายใจ การถอดเครื่องช่วยหายใจออกตามคำสั่งเสียไว้ล่วงหน้าของพวกท่าน ซึ่งไม่อยากยื้อชีวิตตัวเองไว้เป็นภาระแก่ลูก อย่างนี้ถือเป็นปาณาติบาตหรือไม่คะ? ก่อนอื่นเล็งที่ใจ ต้องบอกว่าไม่ใช่ปาณาติบาตเต็มขั้นแน่นอน คือขาดเจตนาฆ่าเป็นตัวตั้ง เพราะไม่ได้วางแผนทำให้ตายขณะที่กำลังทรงสภาพดีๆอยู่
ว่าไปแล้วคนป่วยที่ไม่อาจดำรงชีวิตรอดด้วยวิธีทางธรรมชาติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ถือว่าอายุกายขาดไปแล้วเกินครึ่ง เพราะเครื่องช่วยหายใจนั้น ชื่อบอกอยู่แล้วว่าเป็นเครื่องช่วยต่ออายุ ถ้าไม่มีเครื่องช่วยหายใจอายุก็ต้องขาดแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีเจตนาฆ่า แต่ความรู้สึกว่าคุณเป็นคนทำให้ท่านตายก็อาจเกิดขึ้น เพราะช่วยได้แต่ไม่ช่วย ซึ่งตรงนี้แหละที่อาจทำให้คุณไม่พ้นมลทินดีนัก
ฉะนั้น ถือเอาแค่ความรู้สึกไม่สบายใจข้อเดียวนี้ ผมอยากแนะนำว่าควรปล่อยให้ท่านตายตามเวลาจะสบายใจกว่าครับ ไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องกลัดกลุ้มไปอีกนานว่ามีส่วนทำให้พ่อแม่ตายหรือเปล่า มลทินทำนองนี้ไม่ใช่จะล้างให้รู้สึกสะอาดง่ายนัก อย่างน้อยได้รู้สึกว่าคุณช่วยเต็มความสามารถตามฐานะลูก ซื้อความสบายใจหายห่วง ก็ย่อมดีกว่ากันแน่
แต่บางทีการช่วยพยุงชีวิตนั้นก็มีรายละเอียดแยกย่อยมาก ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้อยู่กับใจแค่ไหนด้วย เพราะหลายกรณีเท่าที่ผมทราบคือร่างกายหมดสภาพที่จะดำรงชีวิตแน่แล้ว ฟื้นกลับมาอยู่ในสภาพมีสติอย่างคนธรรมดาไม่ได้แน่แล้ว ถือว่าอายุขาดแน่แล้ว การรั้งไว้แค่ร่างกาย อาจหมายถึงไม่ปล่อยให้เกิดจุติจิต ไม่ปล่อยให้ท่านเคลื่อนไปเสวยกรรมตามกาลก็ได้ ถ้าคุณทราบชัด มีหลักฐานทางแพทย์ชัดเจน ก็อาจปล่อยท่านไปโดยไม่ถือเป็นการฆ่า
แต่อีกหลายกรณีจะก้ำกึ่ง ไม่แน่ไม่นอน หมอเองก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะอยู่หรือไป มีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ฟื้นคืนกลับมาเป็นดังเดิม อันนี้ถ้าคุณด่วนถอด น้ำหนักความรู้สึกย่อมเป็นคนละเรื่องกับกรณีข้างต้น ด้วยความไม่รู้ภายใต้ความไม่แน่ไม่นอนนี่แหละ โอกาสที่จะเป็นปิตุฆาต มาตุฆาตก็สูงมาก
ภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอน ขอแค่คิดแม้แต่นิดเดียวว่าอยากให้ชีวิตขาดๆไปเสีย คุณจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ เมฆหมอกปาณาติบาตก็เคลื่อนมาคลุมจิตคุณเกือบครึ่งแล้ว เพราะถือว่าขาดเมตตากับผู้ให้กำเนิด การขาดเมตตาเป็นตัวชี้ว่าไม่อยากให้อยู่ต่อ ยิ่งถ้าคิดอยากได้มรดกเสียเร็วๆ อันนี้ถือเป็นปาณาติบาตเต็มขั้นทันที เพราะเจืออยู่ด้วยความโลภ ความโลภเป็นตัวชี้ว่าอยากให้ตาย
ปิตุฆาตกับมาตุฆาตคืออนันตริยกรรม ให้ผลหนักแน่นที่สุด ประกอบกรรมชนิดนี้แล้วเอาคืนไม่ได้ ชะล้างหรือชดเชยด้วยวิธีใดๆไม่ได้ สำนวนอันเป็นพุทธพจน์คือจะเป็นผู้ไปอบาย ตกนรกชั่วกัป ไม่อาจเยียวยา อย่าเสี่ยงเฉียดใกล้เลยเป็นดี ขอสรุป ๒ ข้อสั้นๆคือ
๑) ถ้าหลักฐานทางแพทย์ชี้ว่าตายอยู่แล้ว แค่ช่วยให้หายใจไม่ได้แปลว่ายังมีชีวิตอยู่ อันนั้นถอดเครื่องช่วยก็ไม่นับว่าฆ่า
๒) ถ้าพยายามดิ้นรนทุกวิถีทาง แต่ไม่มีเงิน แม้เอาพ่อแม่เข้าโครงการอุปถัมภ์ แต่หมอก็ไม่ยอมต่อชีวิตให้ ก็ทำใจคิดว่าคุณหมดแรงที่จะยื้อท่านไว้จากปากเหวแห่งมรณา อย่างไรท่านก็ต้องตกร่วงลงไปอยู่ดี
__________________________________________________________________________ ปล เราต้องไม่สั่งให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ แต่หากเกิดกรณีใดๆๆฉุกเฉิน ผู้ป่วยหรือญาติสามารถขอคำสั่งปฏิเสธการกู้ชีพ ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของร่างกายที่จะประคับประคองตัวมันเอง อยู่ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ถ้าแบบนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นบาป
จากคุณ : กอบัวสวรรค์
จากคุณ |
:
pa_jeab
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ก.ย. 55 11:21:57
|
|
|
|
|