ความคิดเห็นที่ 1 มาช่วยบ่นอีกเสียง ใช้เวลามากจังเลย ต้องเขียนเหตุผลทุกยาที่เป็น original แม้แต่ original ที่ยังไม่มี local made ก็ตาม สำหรับตัวเอง ไม่เปลี่ยนยาผู้ป่วยแน่นอน เพราะใช้ตามข้อบ่งชี้ มีเหตุผลอธิบายได้ แต่ไม่รู้จะถูกใจพวกมันหรือเปล่า(ไม่ขอโทษที่ใช้สรรพนามนี้) โชคดีที่รพ.ใช้คอมพิวเตอร์สั่งยา ก็เพิ่มเวลากับ pop up อีกสัก 1 นาทีต่อหนึ่งชนิดยา พิมพ์เหตุผลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อไม่ต้องเสียเวลากด shift เมื่อพิมพ์ภาษาไทยเพราะสระและวรรณยุกต์เยอะ ถ้าโง่อ่านไม่รู้เรื่องแล้วมาบอกว่าชั้นไม่มีเหตุผลพอ ก็มาสู้กัน ไม่กลัวมันหน้าไหนทั้งสิ้น พิมพ์ไปก็แช่งด่ามันไป มันคงอยู่เย็นเป็นสุขดีหรอกนะ ถูกคนอย่างชั้นแช่งน่ะ แต่ใช้เวลามากเลย ขอบอก กว่าจะตรวจเสร็จหมดลานเลย จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 17:26:43 A:58.11.208.20 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 2 เปลี่ยนยาคนไข้จากยา original ที โดนคนไข้ด่าที เบื่อมากครับ จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 17:47:11

ความคิดเห็นที่ 3 เพิ่มข้อเสนอแนะอีกนิด หากคิดนโยบายแบบนี้ แนะนำเริ่มมันที่หน่วยงานท่าน กับข้าราชการ C9 ขึ้นไปก่อนเลยครับ เอาให้จริงจัง เคร่งครัดสมที่ออกจดหมายมา หน่วยงานท่านเอง ก็ใช้แต่ยานอกบัญชี (แถมขอใช้เองอีกต่างหาก) รวมทั้งข้าราชการระดับสูงด้วย มีกี่คนใช้ยา Local เอาเลยครับ ใครขอยานอก ใช้ยานอก สืบมาโพสกันให้เห็น ๆ ไปเลยครับ จากคุณ : ผมอยากที่จะเชื่อ เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 17:51:32

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าใช้อย่างมีเหตุผลไม่น่ามีปัญหานะครับ แต่ต้องยอมรับว่าเวลาเห็นคนไข้เบิกได้หมอก็ชอบจ่ายยานอกทั้งที่บางครั้งไม่จำเป็น หรือคนไข้ก็ชอบขอเพราะคิดว่าเบิกได้ จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 18:18:03

ความคิดเห็นที่ 5 รัฐบาล ใช้เงินเปลืองครับ ไม่มีงบค่ายา มีแต่งบอย่างอื่น จากคุณ : เภสัชกรเอก (เอกเภสัช) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 19:08:26

ความคิดเห็นที่ 6 สำหรับความเห็นที่ 4 เหตุผลทางการแพทย์ใช้ไม่ได้กับกรณีนี้นะครับ ผมเห็นเอกสารตัวเต็มมาแล้ว มันเท่าๆกับห้ามใช้ทุกกรณีครับ เพราะมันจะต้องเป็นการใช้ที่คุ้มค่ากับบริบทสังคมไทยด้วย (ซึ่งถ้ามันคุ้มค่าอย่างนั้นก็จะอยู่ในบัญชีทันที) แม้จะไม่มียาในบัญชีให้เลือกเลยก็ตาม ถึงจะแพ้ยาก็ต้องใช้ยาในบัญชีให้หมดก่อนจนไม่มีทางเลือกอีก จะดูราคาก็อ้างอิงตามราคากลางทั้งที่ยาที่ผ่านราคากลางซึ่งผ่านอย.แต่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณภาพของรพ.ใหญ่ๆ ซึ่งเท่ากับบีบให้ยาที่ไม่ผ่านคุณภาพสามารถผ่านออกมาใช้จนได้ โดยส่วนตัวคนไข้ทั้งหมดยอมเปลี่ยนยาเป็นในบัญชีครับ ผมจะเริ่มเลยง่ายๆครับว่า เป็นนโยบายของรัฐบาล ถ้าคนไข้ถามว่าแล้วมันจะได้ผลเหมือนเดิมหรือ ก็ตอบเช่นเดิมครับ ว่า รัฐบาลรับรองว่ายาในบัญชีดีและคุ้มค่าครับ ถ้าคนไข้ขอยานอกบัญชีผมก็จะบอกเลยว่ายานี้ๆๆๆๆๆรัฐบาลไม่ให้เบิกนะครับ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆก็ตอบเงื่อนไขแบบย่อที่ไม่เข้มงวดไป สุดท้ายโดนบีบจริงๆก็ออกครับยังงัยก็ไม่ใช่ราชการอยู่แล้ว ปล.ตอนนี้ยาบางตัวในคนไข้บัตรทองประกันสังคมใช้ง่ายกว่าสิทธิราชการตามกฏใหม่ครับ จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 19:20:35

ความคิดเห็นที่ 7 อย่าไปสู้กับคนไข้ครับ ผมบอกทุกครั้งว่ารัฐบาลเป็นผู้สั่ง ตั้งแต่สมัยหวัด 2009 แล้ว คนไข้อยากตรวจ throat swab for influenza A antigen ผมบอกเลยรัฐบาลสั่งมาไม่อนุญาตให้ตรวจยกเว้น... ชี้ไปที่ใบเวียนของกรมควบคุมโรค เราไม่ใช่ศัตรูของคนไข้ครับ อย่างไปสู้กับคนไข้ แต่ให้บอกความจริงกับคนไข้ ว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากอะไร โปรดระวัง เราก็ไม่ใช่ศัตรูกับรัฐบาล จึงไม่ควรใส่อารมณ์ ให้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง จากคุณ : megacure (SET50.com) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 19:29:02

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเริ่มรักษาจากยาในบัญชีก่อนตลอดครับ แต่บางส่วนสุดท้ายก็ต้องลงเอยด้วยยานอกบัญชีครับ จากคุณ : เขียนบน iPhone (Jin Shuu Hei) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 22:42:55

ความคิดเห็นที่ 9 น่าจะเป็นนโยบายของรัฐที่อยากสนับสนุนให้คนไทยทั้งประเทศมีมาตรฐานการรักษาพยาบาลที่แย่พอๆ กัน จากคุณ : สายลมปุยเมฆกับฟ้าสีคราม เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 23:08:48

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่ต้องตกใจครับ เดี๋ยวมีตามมาอีกเยอะ ในเมื่อรัฐถังแตก ก็ต้องเสาะหาวิธีลดรายจ่ายสารพัด ในเมื่อรัฐต้องกู้เงินแปดแสนล้านมารับจำนำข้าว เพื่อช่วยชาวนาหลักล้านคน เค้าก็ต้องมาปรับลดกับค่ารักษาข้าราชการ ที่มีเพียงสี่แสนคน คะแนนเสียงต่างกัน ฉะนั้นก็ต้องเข้าใจครับ สิ่งที่ผมทำมาตลอดคือ อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับคนไข้ทราบ ว่าคนที่ลดยาดีๆ ไม่ใช่หมอ แต่เป็นผลมาจากนโยบายจากนักการเมือง ที่พยายามจะรวมกองทุนสวัสดิการต่างๆ เพราะถังแตก ทั้งกองทุนสามสิบบาท ประกันสังคม ข้าราชการ อยากทำให้ได้ตามที่หาเสียง แต่ไม่มีเงินสุดท้ายก็ต้องดึงทุกคนให้ลงมาอยู่ในมาตรฐานขั้นต่ำเดียวกัน ให้ใช้ยาทุกตัวเหมือนกัน ขอให้ราคาถูกสุด ผลการรักษาขอแค่ไม่ตายก็พอ ผมทำงานรพ.รัฐอย่างเดียว ไม่ทำคลีนิค ไม่ทำเอกชน โดนข้อจำกัดมากมายในการจ่ายยาคนไข้ คุณลุงคุณป้าหลายคนไม่เข้าใจ ทำไมทุกทีได้ยานี้ ทานแลวดีขึ้น มาครั้งนี้แล้วไม่ได้ ก็ต้องบอกไปว่าเป็นคำสั่งจากรัฐบาล หมอไม่เกี่ยว เพราะสั่งยาแพง หมอโดนสอบ โดนเรียกเงินคืน มีคดีมาหมดนะครับ ยังอยากขำว่าหลายๆคนชอบบอก หมอไม่ชอบสามสิบบาทเพราะทำให้มีคนไข้น้อย แต่กลายเป็นยิ่งมีสามสิบบาท รพ.เอกชนยิ่งเติบโต ขยายกิจการทุกปี หุ้นขึ้นตลอด เพราะจริงๆคือเค้าบีบให้รพ.รัฐใช้ยาแบบประหยัด รักษาตามหลักประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานแบบพื้นฐานสุดๆ หากใครอยากได้ยาดีๆ ก็ต้องจ่ายตังค์เองแล้วไปเอกชน แล้วลองไปดูรายชื่อคนถือหุ้นเอกชนนะ ก็นักการเมืองทั้งนั้น ยิ่งคนที่คิดนโยบายสามสิบบาทนั่นหนะ ถือหุ้นเอกชนตั้งกี่รพ. แต่คนทั่วไปก็ยังคิดว่าเค้าเป็นนักบุญทำเพื่อรากหญ้า ยอมรับว่าเก่งมาก เพราะ นโยบายที่ดีที่สุดคือนโยบายที่ทำให้เค้าได้ประโยชน์ ได้เงินและได้ความศรัทธา แล้วคนที่ถูกด่าก็ยังเป็นหมออีก ย้ำอีกทีว่าผมไม่ได้ทำคลีนิค และเอกชน เป็นหมอรพ.รัฐอย่างเดียว นโยบายที่ดีควรจะเป็นอธิบายข้อจำกัดต่างๆให้ผู้ป่วยเข้าใจก่อน เพื่อลดการเผชิญหน้าระหว่างหมอกับคนไข้ นักการเมืองมาแล้วก็ไปแต่หมอคือคนที่ต้องอยู่กับคนไข้ไปหลายสิบปี การพูดความจริงเรื่องงบประมาณเป็นการทำความเข้าใจกับผู้ป่วยที่ดีที่สุด ฟื้นระบบร่วมจ่ายให้สมความเป็นจริง จะเป็นครั้งละร้อยก็ได้ แต่ไม่ใช่ฟรีหรือสามสิบบาท ลองกำเงินสามสิบบาทไปเซเว่น คุณจะได้แค่ยาพาราสองแผงเอง ดังนั้นคุยกับเค้าตามจริง คนไข้ก็น่าเข้าใจและช่วยประคับประคองระบบสาธารณสุขไทยให้ไปต่อได้ รณรงค์ให้คนไทยดูแลสุขภาพโดยออกเป็นกฎหมายเลย เช่นอุบัติเหตุจากการเมา เบิกไม่ได้ ไม่งั้นวันๆรพ.ก็รักษาแต่พวกตีรัน ฟันแทง เมาแล้วขับสารพัด เสียดายเงินที่น่าจะเอาไปซื้อยาดีๆมารักษาคนที่เค้าเดือดร้อนจริงๆมากกว่า จากคุณ : สาลิกาโบยบิน (สาลิกาโบยบิน) เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 23:19:16

ความคิดเห็นที่ 11 สำหรับประชาชนทั่วไปนะครับ ปีล่าสุดรัฐบาลตั้งงบกระทรวงสาธารณสุขไว้ 200000 กว่าล้าน ฟังดูเยอะไหมครับ แต่ในสองแสนล้านนี่คือรวมทั้งหมด ตั้งแต่ค่าก่อสร้าง เงินเดือนหมอพยาบาล จนท ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าครุภัณท์ ค่าอุปกรณ์ต่างๆในรพ. รวมถึงค่ารักษาพยาบาลและค่ายาของประชาชนทั้งหมดหกสิบล้านคนครับ ฉะนั้นหารแล้วจริงๆ จะเหลือตกคนละสองพันกว่าบาทต่อคนต่อปี ซึ่งสองพันบาทนี่คือใช้ทั้งปีนะครับ คือป่วยได้ปีละครั้ง มากกว่านั้นรพ.ขาดทุน หลายคนบอกรพ.หลวงขาดทุนไม่เป็นไร แต่จริงๆคือคำว่าขาดทุนคือไม่มีเงินจ่ายค่ายาให้โรงงาน ค้างเงินเดือนหมอพยาบาลนะครับ พอไม่จ่ายค่ายา โรงงานเค้าก็ไม่ขายยา สุดท้ายยาในรพ.ก็จะเหลือพารา แก้ปวด และก็คำปลอบใจให้ออกกำลังกายเยอะๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ครับ เพราะไม่มียา ค้างเงินเดือนหมอ พยาบาล ซึ่งทุกคนเค้าก็ต้องกิน ต้องใช้ ไหนจะค่าเทอมลูก สุดท้ายเค้าไม่มีทางเลือก เค้าก็ต้องลาออกไปเอกชน และก็เป็นวงจรอุบาทว์คือหมอเหลือน้อย คนไข้เยอะ คิวรอตรวจรอผ่านาน ตายก่อน สุดท้ายคนไข้ที่รอไม่ได้และพอมีกำลัง ก็ไปเอกชน ซึ่งเจ้าของก็คือพวกท่านๆที่กำกับนโยบายสาธารณสุขนี่แหละครับ ก็บ่นไปงั้นแหละนะครับ คนไทยเราก็ต้องทนไป ได้แต่รอเมื่อไหร่แกมีหรือพระพิรุณจะพัดถล่มหลังคาวันประชุมสภาซักที เผื่อพรุ่งนี้จะมีความหวังครับ จากคุณ : สาลิกาโบยบิน เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 23:28:58

ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อวานนี้ผมเจอมากับตัวเอง คนไข้บัตรทองมีฐานะทางการเงินดี    แต่ไม่จ่ายค่ายา นอกบัญชีราคาแค่ 60 บาท  ทั้งๆที่ OR แล้วนอนโรงพยาบาลมาสี่วัน เมื่อวันเสาร์แม่ผมไปพบจักษุแพทย์ตามนัด ท่านมีบัตรทองก็ไปที่  และก็จ่ายเงินตามปกติไม่ใช้สิทธิบัตรทองนั้น  สำหรับครอบครัวผมมองว่าถ้าค่าใช้จ่ายที่ไม่มากนักก็ควรจะจ่าย ถ้าอะไรที่มากเกินกำลังจ่ายไม่ไหวแล้วจะใช้สิทธิ ไม่ใช่อวดร่ำรวย เพราะผมคิดว่า ประเทศนี้ให้ผมมามากแล้ว ทั้งโอกาสในการศึกษา เพราะผมและสามีได้ทุนการศึกษา จึงคิดว่าวันนี้เราพอมีกำลังจ่ายอย่างน้อยก็เพื่อให้มี รพ.มีเงินหมุนเวียนโครงการนี้จะได้อยู่เพื่อคนไม่มีที่พึ่ง ยากจนและเดือดร้อน แต่ผมอยากให้จำกัดสิทธิไม่คุ้มครอง ในรายที่ฆ่าตัวตาย คนที่เมาแล้วขับ(โดยยังคุ้มครองชีวิตผู้ที่เป็นเหยี่อจากคนเมาแล้วขับหลังจากนั้นค่อยมาเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจากคนเมาแล้วขับที่กระทำผิดเข้ากองทุน สปช) เพราะผมเสียดาย งบประมาณตรงนี้ รวมทั้งพวกทะเลาะวิวาทให้ช่่วยชีวิตเหยื่อก่อนแล้วใช้กฎหมายไล่บี้กับผู้ก่อเหตุ เก็บค่ารักษาเข้ากองทุน แต่ใครจะกล้าตัดสินใจแก้ไขระบบ ประชานิยม ให้ คะแนนของตนตกต่ำ ดังนั้นก็อุ้มโครงการนี้ต่อไป แล้วหาทางแก้ไขระเบียบ ระบบ ต่างๆให้แพทย์ และพยาบาลเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรให้ ผู้ป่วยและญาติพึงพอใจสูงสุด  เจ้านายผู้บริหาร ได้รับความสะดวก ประหยัด  มีผลงานได้กำไรสูงที่สุดต้นทุนต่ำที่สุด  ดังนั้นคนที่ถูกกดให้แบนทุกทิศทางก็คือ คนที่ทำงานทุกคนครับ..... จากคุณ : ชิงเยี่ยม (ชิงเยี่ยม) เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 00:04:16

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่เข้าทำไมราชการ ยอมให้รัฐ ลิลอนสิทธิ์อยู่เรื่อย เงินเดือนก็น้อยอยู่แล้ว http://www.facebook.com/aj.somsak#!/pages/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%99/252362108219014 จากคุณ : สงสารราชการ เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 12:26:56 A:171.98.77.212 X: TicketID:379005

ความคิดเห็นที่ 14 เป็นข้าราชการ อปท.ต้องสำรองจ่ายเงินไปก่อนแล้วจึงวางฎีกาเบิก รักษาโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ได้   สู้สิทธิประกันสังคมยังไม่ได้เลย ไม่ต้องสำรองจ่าย จากคุณ : p3024 เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 12:59:42

ความคิดเห็นที่ 15 เรียน คุณสาลิกาโบยบินครับ คุณยังเข้าใจผิดถึงแหล่งที่มาของเงินในโรงพยาบาลรัฐนะครับ งบรัฐบาลตั้งจริง แต่อยู่ในมือของกลุ่มสองกลุ่มหลัก (ซึ่งอยากให้ท่านเดาว่าคือใคร ที่แน่ ๆ ไม่ใช่กระทรวงอย่างที่ท่านเข้าใจ) และอีกกลุ่มหลักที่สามที่มักถูกด่าลงหน้าหนังสือพิมพ์ถึง พรบ ที่ให้หักเงินค่าบริหารจัดการแล้วเป็นเม็ดเงินจำนวนมาก กลุ่มหลักกลุ่มแรกที่ว่า (เอ๊ะเหมือนงบปีล่าสุดเลขสวย 123,xxx ล้าน) กำหนดอำนาจตัวเอง นโยบายซะมึนไปหมดจนโรงพยาบาลได้รับเงินน้อยลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ กระทรวงก็มีนโยบายนั่นโน่นนี่ แต่ฝั่งผู้จ่ายเงินให้ รพ. ก็ไม่แคร์ มีนโยบายของตนเอง เงินที่จ่ายก็ไม่ตรงกับนโยบายของกระทรวง ผมละเพลีย จากคุณ : จริงจริงนะ เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 20:49:11 A:124.122.215.242 X: TicketID:158916

ความคิดเห็นที่ 16 อปท.ไม่ได้โดนเอี่ยวกฏนี้นะครับเพราะหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายต่างกัน แต่เข้าใจดีเลยครับเพราะยามะเร็งแพงๆคนไข้บางคนมีสิทธิแต่ไม่มีเงินมาหมุน จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 22:48:21

ความคิดเห็นที่ 17 คห.๑๒ ไม่ได้พิมพ์ผิดใช่ไหมครับ ประโยคที่ว่า   " ผมและสามีได้ทุนการศึกษา " กาแฟพุ่งพรวดเลย...... ไม่ได้ว่าไรครับ  ไม่เคยเจอใครตรงไปตรงมาแบบนี้มาก่อน ชอบครับ แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 55 19:33:09 แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 55 19:32:41 จากคุณ : สายแนน (สุดสายแนน) เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 23:55:47

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนนี้สถานการณ์มันชัดเจนมากว่า มีการพยายามทำให้โรงพยาบาลรัฐตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก เพื่อการเติบโตของโรงพยาบาลเอกชน ในอนาคตจะมีกฏหมายใหม่ออกมาเรื่องแพทย์ห้ามจ่ายยาตามคลินิกแน่นอน ถ้าคลินิกทำไม่ได้ โรงพยาบาลเอกชนจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด พวกนี้วางแผนกันล่วงหน้าเป็นห้าปี นับแต่กว้านซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไว้ในมือจำนวนมาก แพทย์ คือกลุ่มคนที่เรียกได้ว่า เรียนเก่งในระดับต้นๆของประเทศของแต่ละปี เป็นไปได้ไหมที่จะหาทาง วางแผน แก้เผ็ดพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวกลุ่มนี้  เชื่อว่าถ้าระดมพลังสมองกัน ต้องได้ทางออกที่ดีแน่ๆ จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 00:13:12

ความคิดเห็นที่ 19 ที่จริงแทนที่หมอจะเปลี่ยนยา แล้วอธิบายให้ัคนไข้ฟัง ผมอยากให้ไม่เปลี่ยนยา แล้วไปอธิบายให้รัฐฟังมากกว่านะ ทำไมหัวอ่อนกันจัง ดื้อกันหน่อยไม่ดีหรือ? ผมว่ามันถึงจุดที่เราควรจะดื้อแล้วนะ จากคุณ : น้องเอยแก้มอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 01:12:57

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ น้องเอยแก้มอ้วน ถ้าคุณไปอ่านกฏที่ออกมาใหม่คุณจะรู้ว่า ถ้าแพทย์ดื้อจ่ายยาดังเดิม ผลก็คือ แพทย์ต้องจ่ายค่ายาคืนให้รัฐแทนคนไข้ เป็นแบบนี้แล้วแพทย์ท่านใดจะกล้าทำ จากคุณ : megacure (SET50.com) เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 09:58:42

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่ต้องกลัวคัฟ หมอไทยมันเรื่องมาก อีกหน่อยเปิด AEC เดี๋ยวก็มีหมอเวียดนาม ฟิลิปปินส์ เขมร มารักษาให้แน่นอนคัฟ BAAAHHH!!! HAAA HAA HA! จากคุณ : Mdiic~* เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 10:32:25

ความคิดเห็นที่ 22 ขอตอบเลยว่า หมอเก่งแค่ไหน ฉลาดแค่ไหน แต่ไม่ได้กำกฏหมายไว้ในมือ ไม่มีอำนาจในกระทรวง ก็ยากจะแก้ไขค่ะ รัฐบาลกำลังถังแตก เพราะต้องอุ้มคนไข้เบิกจ่ายตรง ที่เข้าใจว่าตูฟรี เลยจะเอายาประเทศไหน ดาวพระเคราะห์ไหนมาสนองตัณหาตัวเองก็ได้ (ไม่ได้เหมารวมคนที่จำเป็นจริงๆนะคะ) บางทีก็เจ้าหน้าที่ด้วยกันเองนี่แหละค่ะ พอบอกว่าต้องเปลี่ยนมาใช้ยาในบัญชี ก็หน้ามุ่ยแล้ว หมอยังกินแค่ amoxy บ้านๆเลย แทบไม่เคยใช้ augmentin, arcoxia ฯลฯ ด้วยซ้ำ อีกพวกคือคนไข้สามสิบบาท ที่เข้าใจเหมือนกันว่าฉันฟรีนะ อีนายจ๋า ปวดเมื่อย นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ก็จะขอนอนรพ อยู่บ้านมีเงินดื่มเหล้าเป็นไหๆ สูบบุหรี่เป็นลังๆได้ พอเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจากสารเสพติดเหล่านี้ เลยไม่แคร์ หารู้ไม่ว่ารัฐจ่ายเป็นรายหัว ไม่ได้จ่ายตามจริง หรือถึงรู้ก็คงไม่แคร์ เพราะเคยชินกับระบบโอบอุ้มกันมาช้านาน และพวกสุดท้าย คือ พวกฉุกเฉิน โฆษณาสวยหรูว่าสะดวกสบาย ไปได้ทุกที่ แต่เวลาจ่าย จ่ายตามที่ฉันกำหนดนะยะ หล่อนจะใช้ไปเป็นหมื่นๆ ฉันไม่สน DRG กำหนดให้เท่านี้ หล่อนก็เอาไปแค่นี้แหละ บางครั้ง จ่ายมาแล้ว ก็มาเรียกเก็บคืนทีหลังอีก หาว่าไม่ฉุกเฉินจริง ที่เหลือใครจ่ายคะ ก็เงินส่วนของโรงพยาบาล อาจจะรวมไปถึงเงินเดือนเจ้าหน้าที่ไงคะ... พอมีปัญหาถังแตก ก็ต้องไล่บี้กับสิทธิ์ส่วนน้อยก่อนสิคะ อีกสิทธิ์เป็นฐานเสียง ใครจะกล้าทุบหม้อข้าวตัวเองล่ะ ที่จริงนโยบายพวกนี้ มันมีข้อดีค่ะ แต่มันต้องมีข้อจำกัดกำกับไว้ด้วย ใครฆ่าตัวตาย ใครกินเหล้ามา จ่ายเอง ถ้าไม่มีเงิน ก็ให้มาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถ้าไม่ไปก็ต้องติดคุก จบ... สิทธิ์ฉุกเฉินก็ต้องประกาศให้ชัดๆ ทั้งทางทีวีและโปสเตอร์เลยว่าไม่ได้ใช้กับทุกโรค มีข้อจำกัดอยู่มาก หากท่านไปใช้โดยไม่ฉุกเฉิน โรงพยาบาลจะต้องจ่ายเงินเอง จะได้ไม่กลายเป็นว่าหมอใจร้ายใจดำ คิดเงินคนไข้ หรือผลักคนไข้กลับอีก แล้วต้องไปพัฒนาที่รากเหง้าการศึกษาด้วย ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการออกสิทธิ์เพ้อฝัน หรือซื้อ tablet หว่านให้เด็กๆแบบนี้ แต่ก็...ใครจะกล้าล่ะ ขืนทำ ก็เท่ากับทุบหม้อข้าวตัวเอง สู้มาไล่บี้หมอกับกลุ่มข้าราชการที่เป็นส่วนน้อยดีกว่า ถ้าหมอไม่จ่ายยานอกบัญชี  เราก็เซฟเงินได้ ถ้าหมอจ่ายยาโดยไม่มีเหตุผลที่เราคิดเองว่าสมควร ก็เรียกเก็บจากโรงพยาบาลคืนได้ ได้หน้าด้วย ได้เงินคืนด้วย ไม่ต้องเสี่ยงทะเลาะกับชาวบ้านเองด้วย ฉลาดจังเลยเรา จากคุณ : ทะเลหน้าหนาว...กับดาวพันดวง เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 14:22:19

ความคิดเห็นที่ 23 มันน่าให้พวกโรคทำตัวเองทั้งหลายจ่ายเงินเองจริงๆ ผมเคยดื้อไม่ยอมเขียนใบฉุกเฉินให้คนไข้ที่เคยดื่มเหล้าจนตับอ่อนอักเสบมาแล้วครั้งนึง ครั้งนี้ก็ยังดื่มเหล้าห้าวันห้าคืนแล้วยังตับอ่อนอักเสบมาอีก เบื่อมากว่าทำไม่เราต้องเอางบประมาณที่มีจำกัดอยู่แล้วมารักษาพวกคนไม่รักตัวเองพวกนี้ด้วย อ่านคห.12 ถึงบรรทัดนั้น amoxy ที่เพิ่งกลืนลงไปแทบพุ่ง จากคุณ : เขียนบน iPhone (Jin Shuu Hei) เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 17:43:25

ความคิดเห็นที่ 24 เพิ่งไปหาหมอ เจอมากับตัว พี่ที่ทำงานสรุปว่า ... ต้องยอมเป็นหนูทดลองใช้ยาในบัญชี เพื่อแต่งประวัติ 2 อาทิตย์    แล้วกลับไปตรวจอีกครั้ง จากคุณ : smile_fiat (smile_fiat) เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 21:23:33

ความคิดเห็นที่ 25 ผมไม่เห็นด้วยกับ จขกท.นะครับ สักเท่าไหร่ เพราะเพื่อนผมเป็นมะเร็งที่รุกลามจากที่อื่น หมอก็ใจดี+ใจกล้า ยอมสั่งยาแพงมารักษาให้ โดยที่ตัวเองต้องโดนสอบสวน แต่เขาก็กล้าที่จะโดน สุดท้ายก็ใช้ได้ ไม่มีอะไร ถ้าทำด้วยความจำเป็นจริงๆ และบริสุทธิ์ใจ จากคุณ : Redrum เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 22:03:23

ความคิดเห็นที่ 26 25 คุณคิดว่าการสอบสวนไม่ต้องเสียอะไรนอกจากความกล้าของหมอ??? คิดง่ายๆนะ การสอบสวนต้องให้ใครเป็นคนสอบ - ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่าหมอที่ถูกสอบ สัก 3 คนก็แล้วกัน - ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบียบและกฏหมาย - เลขาฯ เอาแค่ 5 คนนี้พอ บวกหมออีก 1 และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาคนไข้ เอาเป็นว่าเรียกพยานสัก 3 ปากพอ บวกด้วยคนไข้และญาติ การสอบสวนต้องทำกี่ครั้งดี เอาง่าย คนละครั้ง คนละชั่วโมง คนสอบต้องนั่งสอบ 5 ชั่วโมง สรุปอีกสัก 2 ชั่วโมงเอ้า ในการสอบ 1 ครั้ง เสียเวลาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ไป 21 ชั่วโมง บวกตัวคนโดนสอบ อีก 1 เป็น 22 ชั่วโมง (นี่ไม่คิดเวลาเตรียมเอกสารจุกจิก การนัดหมายที่ยุ่งสุดๆ และอุปสรรคอีกมากมายนะ) เวลา 22 ชั่วโมงนี่ คนไข้คนอื่นจะขาดโอกาสในการรักษาอีกเป็นร้อยคน ถ้าต้องสอบทุกเคสแล้วละก็ ไม่อยากจะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 55 20:19:23

ความคิดเห็นที่ 27 ดิฉันคิดว่าเรารวมตัวกัน แสดงความเห็นกันบ้างได้แล้วค่ะ เค้าพูดถูก เราจะยอมกันแบบนี้ต่อไปหรอคะ ทั้งข้าราชการและประชาชน ตามนี้เลยค่ะ http://www.thaihospital.org/board/index.php?topic=5577.0 จากคุณ : หนูนา เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 03:03:37 A:223.206.57.73 X: TicketID:379005

ความคิดเห็นที่ 28 ข้ออ้างว่า รัฐบาลถังแตก  รัฐบาลเป็นคนสั่งงดใช้ยา มาอีกแล้ว ลองไปอ่านกระทู้ข้างล่างอีกครั้งนะครับ  แต่ก็ไม่ห้ามหรอกครับ ที่หมอจะผลักให้คนไข้ ไปชนกับรัฐบาลแทนที่ หมอจะชนกันเองเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาในวงการแพทย์ที่มีอยู่เวลานี้  เป็นเรื่องของแพทย์ด้วยกันเองแต่ เอารัฐบาลมา เป็นแพะ หรือกันชน ทั้งนั้นแหละครับ  หมอหลายคนที่เคยพูดถึงปัญหา พอกลายเป็น ผู้บริหารแล้วก็ลืมปัญหาที่เคยเจอมา เพราะตำแหน่งที่ได้ พ้นจากปัญหานั้นแล้ว http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12784449/L12784449.html จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 11:44:08

ความคิดเห็นที่ 29 พูดถึงรัฐบาลแล้วคุณกินลมเดือดร้อนแทนขึ้นมาเลยนะครับ เวลาหมอจ่ายยานอกบัญชีไม่ได้ใครเป็นคนเสียประโยชน์ครับ หมอไม่ได้เสียอะไรเลยนะครับ คนไข้จะไม่หาย มีผลข้างเคียงจากยา หมอก็รักษาไปตามหน้าที่หมดเวลาก็กลับบ้านนอน ที่ออกมาบ่นๆกันก็เพราะอยากให้คนไข้ได้ร้บการรักษาที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอครับ จะบอกว่าเป็นเรื่องของหมอๆกันเองก็ได้ มีทั้งหมอชั้นผู้น้อยเป็นด่านหน้ารับคนไข้ หมอชั้นผู้ใหญ่ในรัฐบาล ในสปสช ในราชวิทยาลัย คอยกำหนดนโยบาย แต่ที่ครั้งนี้โทษรัฐมากกว่าเพราะก่อนหน้านี้มักเป็นการขอความร่วมมือจากโรงพยาบาลให้มช้ยาในบัญชี แต่ครั้งนี้มันเป็นการบังคับจากกระทรวงการคลัง เลยเป็นการมองว่ารัฐบาลกำลังรัดเข็มขัดเอาเงินไปลงส่วนอื่นน่ะสิครับ จากคุณ : Sortai (Sortai) เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 02:04:04

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 28 "ปัญหาในวงการแพทย์ที่มีอยู่เวลานี้ เป็นเรื่องของแพทย์ด้วยกันเองแต่ เอารัฐบาลมา เป็นแพะ หรือกันชน ทั้งนั้นแหละครับ" คุณ กินลม ชมทะเล เมาลมทะเล หรือเปล่าครับ แพะ คือ คนบริสุทธิ์ หรือ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ถูกกล่าวหาเป็นผู้ผิด กรณีนี้รัฐบาล โดยกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง เป็นคนออกระเบียบโดยตรง (ส่วนถ้าจะบอกว่าแพทย์เป็นต้นเหตุให้ระเบียบนี้ถูกออกมา ก็คงต้องลากยาวไปกว่านี้ว่า ทำไม ยอดการเบิกจ่ายสวัสิดการข้าราชการมันสูงขึ้นมาก ในช่วง 10 กว่าปีนี้ ถ้าคิดไม่ออกจะใบ้นิดละกันครับ เบิกจ่ายตรง ประกันสุขภาพถ้วนหน้่า ) ส่วน กันชน คือด่านหน้าที่ต้องรับการปะทะก่อน โทษทีนะครับ รัฐบาล เคยปะทะกับ ประชาชน ในเรื่องการรักษาพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ ยก ตย ให้สักครั้งเถอะครับ (มีแต่หมอ กะ พยาบาลที่ต้องเป็นคนรับหน้ากะึคนไข้ ใครกันแน่ที่เป็นกันชน ) จากคุณ : ความรู้เท่าหางลูกอ๊อด เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 05:32:50 A:223.206.224.96 X: TicketID:278779

ความคิดเห็นที่ 31 เราต้อง ช่วยเหลือกันรักษาสิทธิ์นะครับ ที่.. http://www.thaihospital.org/board/index.php?topic=6346.0 จากคุณ : thailand เขียนเมื่อ : 2 พ.ย. 55 17:11:50 A:223.204.124.93 X: TicketID:379005