Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ...เมื่อลูกป่วยต้องเข้ารพ. [ย้ายจาก : ข่าวสุขภาพ] ติดต่อทีมงาน

เป็นเรื่องที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกับตัวเอง เมื่อลูกสาวป่วย ต้องเข้ารพ. อยากจะเขียนเป็นอุทาหรณ์สำหรับหลาย ๆ คน

     ลูกสาวเป็น เด็กหญิง อายุ 12 ปี เมื่อ 3เดือนก่อนมีไข้สูง ปวดศีรษะ เป็นลมตอนเช้า ไปโรงพยาบาล แพทย์ตรวจวินิจฉัยเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009
      คราวนี้ป่วยอีกครั้งมารพ.ด้วยเรื่องมีไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บคอ มา 1 วันและมีอาการหน้ามืด เป็นลม ตอนเช้าวันที่มารพ.
      มาพบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉิน ตรวจเลือด CBC แพทย์แจ้งผลคล้ายการติดเชื้อไวรัส นัดมาเจาะเลือดใหม่วันรุ่งขึ้น ให้กลับบ้านได้ ให้ยา แก้ไข้ paracetamol และ cpm,ors
      คนไข้กลับบ้านไป แต่ยังมีไข้สูงตลอดวัน และตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เกิดอาการหน้ามืด เป็นลมอีกครั้ง แม่จึงตัดสินใจนำลูกส่งรพ.เอกชน (แม่คิดว่าลูกอาจเป็นไข้หวัด 2009 อีกเพราะอาการนำเหมือนที่เคยป่วย และแนวโม้มติดเชื้อไวรัส แต่ที่รพ.แกลง ไม่มีชุดตรวจไข้หวัด 2009 (ได้รับทราบจากแพทย์ ครั้งก่อนที่เคยมาตรวจ)
      เมื่อไปโรงพยาบาลเอกชน แพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยว่าลูกสาวเป็น dengue type 3 และ postural hypotension  ผลการตรวจ CBC และdengue PCR (RNA)= positive type 3,ผลการตรวจไข้หวัดเป็น negative  แต่คนไข้มีอาการเจ็บคอมาก แพทย์ตรวจพบคอแดงและมีแผลในปาก(คล้ายแผลร้อนใน) 4 จุด จึงแนะนำให้นอนรพ. โดยให้การรักษาด้วย 5%D/N/2  50-60 ml/h และให้ antibiotic เป็นclaforan iv,supportive treatment. และแนะนำให้นอนรพ.จนกว่าอาการจะปลอดภัย ให้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดเมื่อไข้ลง  เพื่อระวังการเกิดภาวะช็อค เมื่อไข้ลง 1-2 วัน โดยไม่มีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นจึงจะกลับบ้านได้
      ลูกสาวนอนอยู่รพ. 2 วัน แม่จึงอยากขอย้ายกลับมารักษาต่อที่รพ.รัฐบาลที่อยู่ใกล้บ้าน เพราะต้องอยู่รพ.หลายวัน แม่ก็ต้องทำงาน การอยู่ รพ.อยู่ใกล้บ้านจะสะดวกมากกว่า (รพ.เอกชน อยู่ห่างจากบ้าน 50 ก.ม.) โดยรพ.เดิมช่วยสรุปประวัติการรักษาและส่งผลการตรวจต่าง ๆ แนบมาให้พร้อมผู้ป่วยด้วย (ก่อนขอย้ายผู้ป่วยมาจากโรงพยาบาลเอกชน แม่ได้มาถามที่ห้องฉุกเฉินรพ.แกลงแล้วว่าต้องทำตามขั้นตอนอย่างไร เจ้าหน้าที่แนะนำให้ขอประวัติมารอตรวจที่ OPD ได้เลยเพราะเด็กเป็นไข้เลือดออก หมอต้องรับนอนรพ.อยู่แล้ว)
      เช้าวันรุ่งขึ้น วัดไข้ตอน 6.00น. ไม่มีไข้ ไม่หน้ามืด แต่ยังเจ็บคอ มีผื่นแดงตามตัว แขน ขา จึงขอหมออกจากรพ.เอกชน และมารอตรวจที่ OPD รพ.แกลง แม่และลูกมาถึงโรงพยาบาลแกลงเวลา 8.30 น. ขณะนั้นลูกไม่มีไข้ ไม่หน้ามืด แต่ยังเจ็บคอมาก หมอออกตรวจเกือบ 10.00น.(ได้ตรวจกับกุมารแพทย์หญิง หน้าตาสวยงาม)      
      เมื่อเข้าห้องตรวจพบหมอ แม่ได้ยื่นผลการตรวจต่าง ๆจากที่เดิมให้หมอ(จดหมายส่งตัวยื่นพร้อมบัตรไว้แล้ว ซึ่งวางอยู่ตรงหน้าหมอเรียบร้อยแล้ว) หมอถามว่าคนไข้เป็นอะไรมา เอกสารต่างๆที่เอามาไม่จำเป็น หมอต้องการดูอาการคนไข้ตอนนี้
แม่จึงตอบไปว่า ลูกสาวมีไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บคอ มา 5 วัน (วันนี้เป็นวันที่ 5)
หมอ ดูผลจากเอกสารที่ได้ และส่องดูคอโดยใช้ไม้กดลิ้นและไฟฉายส่อง บอกว่าคอแดงเล็กน้อย และบอกว่าเด็กไม่ได้เป็นอะไร (เด็กมีแผลในคอขนาดใหญ่ 4 แผล แต่หมอตรวจไม่เห็น จึงบอกว่าคอแดงเล็กน้อย)
แม่จึงคิดว่าหมอ คงยังไม่ได้อ่านประวัติที่ส่งเข้ามาก่อนแล้ว จึงอธิบายกับหมอว่า เด็กเป็นไข้สูงและเป็นลม จึงพาไปที่ร.พ.เอกชนและหมอที่รักษาบอกว่าเป็นไข้เลือดออก นอนอยู่รพ.มา 2 วันแล้ว วันนี้แม่ขอย้ายเพื่อมารักษาต่อที่นี่
แต่หมอผู้ทำการ รักษาลูกสาวดิฉันไม่พยายามฟังในสิ่งที่ดิฉันพูดให้จบ กลับบอกว่ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นไข้เลือดออก เกล็ดเลือดเท่าไหร่แม่รู้มั๊ย
แม่จึงตอบว่าผลตรวจตามเอกสารที่รพ.ให้มาค่ะ
หมอถามใหม่ว่าแล้วล่าสุดเท่าไหร่
แม่จึงบอกว่าทางรพ.เจาะไปครั้งเดียวยังไม่ได้เจาะใหม่
หมอแสดงอาการไม่พอใจ เสียงเริ่มสูง แล้วพูดกับแม่ว่า แล้วแม่รู้อะไรมั่ง แม่ไม่รู้อะไรเลยเหรอ...
แม่ จึงพยายามใจเย็นและบอกว่า รู้ตามที่หมอ(จากโรงพยาบาลเอกชน) แจ้งมาตามนั้น แต่หมอก็ยังแสดงอาการไม่พอใจ บอกว่าเด็กอาการแบบนี้ และผลเลือดแบบนี้ ไม่ได้เป็นไข้เลือดออก หมอเจอมาเยอะแยะ หมอจบที่จุฬานะ..
แม่ก็ บอกว่าแม่ไม่ได้พูดตามที่คิดเอาเอง แต่เพราะการตรวจของหมอและผลการตรวจเลือดแจ้งมาอย่างนั้น หมอก็ได้แย้งอีกว่าหมอไม่คิดว่าเป็นไข้เลือดออก ถึงจะตรวจ PCR ว่าเป็น ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไข้เลือดออก การตรวจ PCR ที่รพ.แกลงก็ทำได้ แต่หมอไม่ทำเพราะคิดว่าไม่จำเป็น (แล้วแม่จะต้องทำอย่างไร) หมอยังแสดงอาการไม่ยอมรับและวิจารณ์การรักษาของหมอคนแรกอย่างรุนแรง บอกว่าการรักษาที่ให้มาแล้วนั้นไม่ตรงตามอาการของโรคและไม่มีประโยชน์อะไร เลย ซึ่งถ้าเด็กเป็นไข้เลือดออกจริง ก็ไม่ต้องทำอะไร รอเวลาให้มันหายเอง...(ตรงข้ามกับข้อมูลที่ได้รับในครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง) และบอกใหม่ว่าถ้าจะให้หมอตรวจหมอจะเจาะเลือดก่อนนะ
แม่ก็บอกยินดี ค่ะ จากนั้นก็พาลูกไปเจาะเลือด ขณะนั้นเด็กเป็นไข้วันที่5 แล้ว ตามตัวมีผื่นแดงเต็มไปหมด และเจาะเลือดยาก ลูกสาวถูกแทงเข็มไป3 ครั้งกว่าจะได้เลือดไปตรวจ เมื่อได้ผลเลือดมา จึงกลับเข้าไปพบหมออีกครั้ง หมอแจ้งว่าเกล็ดเลือดไม่ต่ำ ไม่ใช่ไข้เลือดออกแน่นอน ไม่ต้องนอนรพ. แต่ถ้าแม่อยากให้นอนก็ได้เพื่อความสบายใจ
แม่จึงถามว่าถ้านอนรพ.หมอมีแผนการรักษาอย่างไรบ้าง
หมอบอกว่าไม่มี ก็ให้นอนเฉย ๆ เพื่อความสบายใจของแม่ ( ทำไมหมอจึงต้องพูดเช่นนี้)
แม่ถามเพิ่มว่าแล้วที่เด็กเจ็บคอมาก ทานอาหารไม่ได้ หมอจะรักษาอย่างไรไหม
หมอ ก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เด็กมีไข้ก็เจ็บคอได้ ถ้าให้ก็เป็นยากินธรรมดา แล้วก็พูดถึงการรักษาของร.พ.เดิมอีกว่า รักษาให้มากเข้าไว้เพื่อจะเอาเงินคนไข้ แต่ไม่ตรงกับโรค ไม่จำเป็น ใบส่งตัวที่เขียนมาก็พยายามหาเรื่องเขียนไปให้มากเข้าไว้...
แม่จึงบอกว่าคง ไม่ได้หาเรื่องเขียนมั้งคะ เพราะเด็กเป็นไข้แล้วก็เป็นลมจริง ๆ(ใบส่งตัว หมอเขียน มีไข้ เป็นลม)
หมอ ก็แสดงอาการไม่พอใจตลอดเวลา คงคิดว่าแม่เข้าข้างรพ.เก่า แต่แม่เพียงพูดอาการของลูกให้หมอเข้าใจเท่านั้น แล้วหมอก็กลับมาพูดเรื่องนอนรพ.อีก บอกว่าถ้าจะนอนที่นี่ก็ไม่มีห้องพิเศษหรูหราให้พักนะ มีแต่ห้องรวมที่ไม่สะดวกสบาย ถ้าไม่เชื่อให้เดินไปดูที่ตึกผู้ป่วยก่อนก็ได้ ไม่ใช่ว่าให้หมอสั่งadmit แล้วพอไปถึงตึกอยู่ไม่ได้ ขอกลับบ้านเสียเวลาเจ้าหน้าที่ทำchart คนไข้

( แม่อดทนฟังหมอพูดมาจนถึงตอนนี้จึงคิดว่าถึงจะอยู่รพ. แต่เมื่อหมอมีเจตคติไม่ดีกับเราเลย เราจะได้รับการดูแลแบบไหนกัน ถ้าลูกเป็นอะไรมากกว่านี้ หมอจะรับผิดชอบไหม..)

ดังนั้นจึงบอกหมอว่าจะเอา ลูกกลับบ้าน ถ้าหมอคิดว่าลูกไม่จำเป็นต้องอยู่รพ และไม่มีแผนจะรักษาอะไรเลย (เมื่อเรื่องมาจนถึงเวลานี้แล้ว ใครเป็นแม่ที่มีลูกป่วยอยู่ต่อหน้าและถูกปฏิเสธการรักษาแบบนี้คงไม่มีใครใจ เย็นแล้ว) แม่บอกหมอต่อไปอีกว่าไม่เป็นไรนะคะหมอ พี่จะรับผิดชอบชีวิตลูกของพี่เอง ส่วนหมอก็ช่วยรับผิดชอบส่วนของหมอให้สมศักดิ์ศรีหมอจุฬาก็แล้วกันนะคะ
หมอ ยังหันมาพูดอีกว่าแม่พูดจาไม่น่ารัก...ใช่ค่ะนาทีนี้แม่ทนน่ารักไม่ไหว แล้วค่ะหมอ และหมอก็พูดจาไม่น่ารักเลยมาตั้งแต่ต้น หมอไม่รู้ตัวเลยหรือ  ขอบคุณหมอสำหรับวันนี้นะคะ...

จากนั้นพาแม่ก็พาลูก เดินออกจากห้องหมอ มานั่งรอด้านนอก ลูกสาวน้ำตาซึม ถามแม่ว่าทำไมหมอพูดแบบนั้น หมอไม่อยากรักษาหนูเหรอ  ดิฉันสงสารลูกมากก็ปลอบลูกให้อดทน เมื่อหมอที่นี่ไม่ยินดีรักษาลูกแม่ก็จะพาลูกไปรักษาในรพ.ที่เค้ายินดีก็ แล้วกัน ลูกอดทนนะลูก นั่งรอสักพักผู้ช่วยหมอ เอาใบสั่งยามาให้ และบอกหมอนัดมาตรวจอีกครั้งวันพรุ่งนี้  เลยบอกเจ้าหน้าที่ว่าขอบคุณค่ะ ไม่ต้องทำใบนัดหรอก คงไม่มาตรวจกับหมอคนนี้อีกแล้ว ยาที่ได้รับคือ paracetamol,amoxycillin และ ORS หลังจากจ่ายเงินค่ารักษาแล้ว อ่านในใบเสร็จ หมอลงวินิจฉัยโรคว่า"ไข้เด็งกี่" (หมายถึงไข้เลือดออก) ในเมื่อหมอยืนยันอย่างหนักแน่นมาตลอดว่า ลูกสาวดิฉันไม่ได้เป็นไข้เลือดออก และไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่ทำไมหมอจึงให้ยาและเขียนวินิจฉัยเช่นนั้น หมอทำเพื่อปกป้องตัวเองหรืออย่างไร
.
           ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้  ดิฉันมีความเชื่ออย่างแข็งแรงว่าสถาบันที่สอนแพทย์ พยาบาล ได้สอนลูกศิษย์แต่ละคนมาอย่างดีแล้ว ทุกท่านย่อมมีจรรยาบรรณแพทย์และจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่เหตุการณ์ที่เจอครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย...
1. แพทย์ที่มีเจตคติไม่ดีกับคนไข้และเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน(หมอที่รพ.เอกชน)ยังมีอีกมากแค่ไหนในประเทศของเรา
2. ยังมีคนไข้อีกมากแค่ไหนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เพราะการวินิจฉัยเช่นนี้หรือไม่ที่ทำให้เด็ก ม.5 คนหนึ่งที่มารับการักษาที่รพ.นี้ต้องเสียชีวิตด้วยไข้เลือดออก เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา
3. หมอมีอคติอะไรกับรพ.เอกชนหรือแพทย์ที่ทำงานรพ.เอกชน จึงได้แสดงความไม่เป็นมิตรออกมาทันทีที่คนไข้เข้าไปในห้องตรวจ คนไข้มีความผิดมากมายนักหรือที่ไปรับการรักษาที่อื่นก่อนจะมาหาท่าน
4. จรรยาบรรณวิชาชีพ คืออะไร คำปฏิณญาณที่ท่านให้ไว้ต่อหน้าพระที่นั่งและต่อหน้าพระบรมชนกว่าอย่างไร ท่านลืมแล้วหรือ
5. การแพทย์ไทยจะเจริญก้าวหน้าไปทางใด
6.คุณภาพชีวิตของคนไทยกับแพทย์เจตคติเช่นนี้ จะเป็นอย่างไร
7.ถ้าตัวท่านหรือบุคคลในครอบครัวท่านได้รับการปฏิบัติอย่างนี้ ท่านจะรู้สึกและทำอย่างไร (ถามทั้งหมอและคนทั่วไป)
8.เราจะปล่อยให้คนเช่นนี้เจริญก้าวหน้าต่อไปในวิชาชีพและในโลกนี้หรือ
9. น่าสงสาร...ประชาชนชาวไทยผู้ไม่รู้และไม่กล้าลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเอง(กลัวไม่ได้รับการรักษาในครั้งต่อไป)
             ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณาเสียเวลาอ่านมาจนบรรทัดสุดท้าย ดิฉันไม่มีเจตนาจะบั่นทอน กำลังใจของบุคลากรในวิชาชีพนี้ เพราะดิฉันทราบว่า ยังมีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อีกมากมายที่ทำงานอย่างทุ่มเท เสียสละ ไม่เห็นแก่ตนเอง ไม่คิดว่าตนเก่งกาจ ยอมรับฟังความคิดของผู้อื่น เพียงแต่ อยากส่งเสริม สนับสนุน ให้บุคคลกรในวิชาชีพนี้ ได้เป็นที่ยอมรับ ไว้วางใจ สมดังที่ ผู้ป่วยไข้ทั้งหลายไว้วางใจในตัวท่าน และอยากให้หมอและรพ.ใกล้บ้านเป็นรพ.ที่มีน้ำใจ สามารถให้คนพึ่งพิงได้ในยามเจ็บป่วย อย่าพยายามผลักดันให้ประชาชนไปใช้บริการของรพ.เอกชนที่ทั้งอยู่ไกลและราคา แพงอีกต่อไปเลย และขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายโชคดีไม่เจอกับสถานการณ์แย่ ๆ เสี่ยงต่อชีวิตของท่านและบุตรหลานเช่นดิฉัน  และได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง เราจะทำอย่างไรถ้าเราต้องเจอสถานการณ์และอคติเช่นนี้เข้ากับตัวเองสักวันหนึ่ง และหากท่านเป็นหนึ่งในบุคลากรทางการแพทย์ ก็อยากให้เรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจ ในการพูดคุย สนทนากับผู้ป่วย และการทำให้ผู้ป่วยไว้วางใจ การไม่ปฏิเสธการรักษา เพราะผู้ป่วยไว้ใจในตัวท่าน จึงมาหาท่าน นอกจากนี้ยังอยากจะฝากถึงผู้ที่กำลังศึกษาหรือกำลังคิดที่จะเลือกศึกษาใน วิชาชีพ ได้โปรดพิจารณาเจตคติและความพร้อมที่จะทำงานกับคนไข้ของท่านให้ดี   ถึงท่านจะเรียนเก่งปานใด แต่ถ้าเจคติไม่ดี ไม่มีความพร้อมและความตั้งใจที่จะปฏิบัติงานให้ดีได้แล้ว ได้โปรดไปเลือกศึกษาในสาขาวิชาอื่นเถอะค่ะ โปรดอย่าได้เข้ามาแล้วสร้างความเสื่อมเสียให้กับวิชาชีพแพทย์เพิ่มขึ้นอีก เลย.....ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

จากคุณ : balagob
เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 10:18:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com