Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เมื่อรู้ตัว ว่าผมติดเชื้อ HIV (ผมฝากโหวต ให้เป็นขอคิดนะครับ) ติดต่อทีมงาน

อยากฝากประสบการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตผม ไว้เพื่อเตือนใจใครหลายคน ที่กำลังสนุกกับชีวิต จนลืมป้องกันตัวเองครับ

เรื่องมีอยู่ว่า ผมได้บริจาคเลือดกับทางสภากาชาด ที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2554 ซึ่งทางธนาคารเลือดก็ได้รับเลือดของผมไปตามปกติ เหมือนที่ผมเคยบริจาคในหลายรอบ 3-4เดือนที่ผ่านมา

เมื่อสองวันก่อน มีการรับบริจาค ที่โรงแรม (ผมเป็นพนักงานโรงแรมครับ) ผมกำลังนั่งทำงาน แล้วได้ทราบข่าวว่ามีสภากาชาดมาที่โรงแรม จึงรีบทำงานให้เสร็จ และไปที่ห้องรับบริจาคทันที

จนท. ให้ผมกรอกประวัติ จากนั้น มีจนท.ท่านนึงเดินเข้ามา และเอาใบที่ผมกรอกประวัติ ไปเปิดดูในคอม

จนท.เดินกลับมา บอกผมว่า เลือดน้องมีปัญหานะคะ พี่ "ขอตรวจซ้ำ"

ตอนนั้น ผมตกใจมากครับ แต่ปลอบใจตัวเองว่า คงไม่มีอะไรมาก มันคงเป็เรื่องเข้าใจผิด ..เราจะเป็นอะไรล่ะ บริจาคกันมาตั้งกี่ครั้งแล้ว..

ผมมาคุยกับจนท.ที่โซฟาด้านข้าง จนท.อธิบายให้ผมฟัง ว่า การที่ต้องขอตรวจซ้ำ เนื่องจากหลายสาเหตุ อาจจะเป็นเพราะเชื้อโรคหรือปัจจัยหลายๆอย่าง ระหว่างที่ตรวจ เลยทำให้ผลไม่แน่นอน ถ้าจะให้ดีที่สุด ขอตรวจซ้ำดีกว่า

พี่จะตรวจให้ใหม่นะคะ แล้วพรุ่งนี้ น้องเข้ามาฟังผลที่ธนาคารเลือดตอนบ่ายสาม ได้เลย

ผมถามจนท.ว่า เลือดคราวที่แล้ว ได้นำไปใช้หรือไม่.. จนท.บอกว่า ไม่ได้ใช้ เนื่องจากผลไม่เคลียร์

ผมไม่ยอมลุกไปไหน ถามจนท.ด้วยเสียงสั่น และน้ำตาคลอ.. บอกผมเถอะ ว่าผลมันคืออะไร ผมรับได้ครับ

มันเป็นตามที่น้องกลัวนั่นล่ะค่ะ.. ผมถามย้ำว่า มันคือ HIV ใช่มั้ยครับ..

ใช่ค่ะ..

ตอนนั้นผมแทบล้มทั้งยืนครับ ภาพของพ่อกับแม่ และน้องสาวที่กำลังอยู่ในวัยเรียน มันลอยเข้ามาในหัวผมทันที

น้ำตาไหลออกมาเอง.. ผมตัวสั่นไปหมดเลยครับ ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง จะทำอะไรต่อไป

ผมเดินกลับมาที่ห้องทำงาน กับเพื่อนอีกคนที่ไปด้วยกัน ผมเพ้อมาตลอดทาง พูดแต่คำว่า เรากลัว เราไม่อยากตาย

ผมกลับมาถึงออฟฟิส ขอคุยกับหัวหน้างาน พอเข้าไปคุยกันสองคน ผมร้องไห้โฮ ออกมาอีกครั้งครับ หัวหน้าก็ปลอบผม และขับรถไปส่งผมที่บ้าน

ก่อนกลับบ้าน ผมโทรหาแม่ บอกแม่ว่า เลือดที่ผมไปบริจาคมีปัญหานะ แม่ตกใจมาก เสียงสั่น.. ผมบอกว่า เราค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านนะ

พอมาถึงบ้าน ผมวิ่งเข้ามากอดแม่ นั่งลงกอดแทบเท้า คำพูดแรกที่ผมพูดกับแม่คือ.. "แม่ ลูกขอโทษ"

ตอนนั้นหัวหน้าผมเข้ามาด้วย แล้วก็เข้ามาช่วยปลอบ

แม่ผมไม่ร้องไห้ครับ ผมเองซะอีก ร้องจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ผมขอโทษแม่ ผมขอโทษที่ผมไม่สามารถดูแลน้องสาว จนโตได้ ผมคงต้องฝากให้พ่อกับแม่ดูแลน้องต่อ ซึ่งตอนนี้ พ่อกับแม่ก็อายุมากแล้ว น้องสาวผมเพิ่งอายุ16 ยังต้องเรียนอีกหลายปีกว่าจะจบ

ผมรับสารภาพกับแม่ ว่า ใจนึง ลูกกลัวตายนะแม่ แต่ลูกกลัวแม่กับพ่อ จะเสียใจมากกว่า ลูกกลัวว่า จะไม่มีใครดูแลพ่อกับแม่ ในวันที่ลูกไม่อยู่ น้องเองก็ยังเด็กมาก ยังไม่สามารถทำงานหาเงินเองได้

แม่กอดผมแล้วก็น้ำตาไหล

ที่แม่พูดกับผมว่า ไม่เป็นไรนะลูก ลูกยังอยู่อีกนาน แม่จะดูแลลูกเอง แม่ไม่รังเกียจลูก แม่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำไมแม่จะเลี้ยงต่อไม่ได้ ลูกทำใจให้สบายนะ เราจะต้องอยู่กับมันให้ได้ เราจะต้องรักษา

เย็นวันนั้น ผมไปตรวจซ้ำที่รพ.เอกชนในจังหวัดครับ ไปด้วยกันทั้งพ่อและแม่ ตอนแรกผมจะไปคนเดียว แต่กลัวว่า ถ้าผลการตรวจที่แน่นอนออกมาแล้ว ผมจะรับไม่ได้ เอาเป็นว่า ผมขอให้พ่อกับแม่ไปอยู่ในห้องตรวจ ตอนฟังผล
ดีกว่าครับ

พ่อกับแม่ขับรถไปส่งผม และนั่งรอเกือบสามชั่วโมง

และแล้ว ก็มาถึงเวลาที่ต้องฟังผลครับ

หมอยิ้มแห้งๆ แล้วก็บอกผมว่า ผลไม่ดีเท่าไหร่นะคะ คนไข้อยากตรวจซ้ำมั้ย เผื่อว่าเลือดจะผิดหลอด หมอตรวจซ้ำให้ได้นะคะ เพื่อความมั่นใจ

ตอนนั้นผมตกใจมากครับ แต่ก็ยังน้อยกว่าครั้งแรก เพราะตลอดเวลา3ชั่วโมง ที่ผมนั่งรอผลตรวจ ผมทำใจยอมรับมันแล้ว

ผมบอกหมอว่า ไม่ต้องตรวจซ้ำแล้วครับ ผมยอมรับได้ ผมขอให้หมอแนะนำ ว่าผมจะทำยังไงต่อไป

หมอขียนใบรับรองแพทย์มาให้ครับ ระบุละเอียดเลย ว่าคุยอะไรกับผมไปบ้าง หมอท่าต่อไปที่จะรักษาผม จะได้ไม่ต้องมานั่งถามผมอีก

((ย้อนไปถึงในตอนแรกก่อนเจาะเลือดที่รพ.เอกชน ผมได้คุยกับหมอคร่าวๆก่อนครับ ว่าทำไมผมถึงมาตรวจ ผมเล่าให้หมอฟังอย่างละเอียด ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร.. เอาเป็นว่า ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ ยิ่งพูด ผมยิ่งรู้สึกผิด))

หมอแนะนำให้เข้าเวปสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งจะมีการปฏิบัติตนในระหว่างรับการรักษา ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติต่างๆ

ผมฟังหมอพูดแล้วรู้สึกดีขึ้นมากครับ แต่มันก็ยังไม่ได้ช่วยอะไรผมนัก

คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลยครับ ผมรู้สึกตัวตื่น แทบจะทุกๆ 5นาที ใจมันกระวนกระวายไปหมด

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมหาหมอที่โรงพยาบาลที่ผมใช้สิทธิ์ประกันสังคมครับ พอแจ้งพยาบาลซักประวัติด้านหน้า จากนั้นผมก็ถูกส่งไปยังห้องเบอร์12ทันที เป็นอันรู้กันของจนท.ในรพ.ครับ ว่าห้องนี้ เป็นห้องตรวจโดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อเท่านั้นครับ

คิวไม่ยาวครับ มีผมแค่คนเดียว รอไม่ถึง 5 นาที ก็ได้ตรวจแล้วครับ

หมอที่ตรวจผม อ่านข้อมูลจากใบรับรองแพทย์ที่ผมได้ตรวจเลือดมา ใช้เวลาอ่านอยู่เกือบสิบนาทีครับ

จากนั้น หมอถามผมว่า.. มีคำถามจะถามหมอก่อนมั้ยครับ

น้ำตาผมไหลอีกแล้วครับ.. ผมถามหมอเสียงสั่น ว่า.. หมอครับ ผมจะอยู่ได้อีกนานมั้ย

เฮ๊ยย คุณ.. คุณไม่ได้เป็นมะเร็งนะ คุณแค่ติดเชื้อ แล้วหมอก็หัวเราะ.. น้ำตาผมหยุดไหล แล้วก็ยิ้มแห้งๆ

จากนั้น บทสนทนาก็เริ่มดีขึ้น คือความเครียดผมเริ่มลดลง และรู้สึกผ่อนคลายขึ้นครับ

หมอบอกผม ให้เปลี่ยนทัศนคติใหม่ ผมเป็นคนอ่อนแอ ไม่ใช่คนป่วย

ผมจะอ่อนแอกว่าคนทั่วไป และนั่นหมายถึง ผมจะต้องได้รับการดูและเป็นพิเศษ

ผมต้องตรวจ CD4 เพื่อดูว่า ผมควรจะเริ่มทานยาต้านไวรัสเมื่อไหร่ พร้อมทั้งตรวจเลือดหาโรคแทรกซ้อนต่างๆ และเอ็กซเรย์ปอด เพื่อดูความเสี่ยงของวัณโรค

หมอบอกว่า หมอมีคนไข้ติดเชื้อตั้งแต่อายุ 40 ตอนนี้ลุงเค้าอายุ60แล้ว ยังกินยาต้านกับหมออยู่เลย ลุงดูแข็งแรง และไม่มีใครรู้เลย ว่าลุงเป็นผู้ป่วยติดเชื้อ

ผมสบายใจมากเลยครับ วันที่30 ผมต้องกลับเข้าไปฟังผลอีกครั้ง ว่า CD4 ผมอยู่ในระดับเท่าไหร่ และจะได้เริ่มการรักษา

หมอชมผมด้วยครับ ว่าคุณแมนมากๆ ที่กล้ายอมรับกับครอบครัว และกล้ามาหาหมอวันนี้ หมอบอกว่า คุณต้องมีวินัย ต้องมาหาหมอตามนัด ต้องทานยาให้ครบ ออกกำลังกาย และไม่ทำลายสุขภาพตัวเอง

คนที่อยู่ได้ไม่นาน คือคนที่ไม่ได้รักษา หรือคนที่ล้มป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนแล้วเพิ่งจะมารักษาถึงเวลานั้น ยาต้านไวรัส ก็ไม่ตอบสนองแล้ว

ผมสัญญากับหมอครับ ว่าผมจะทำตามคำแนะนำหมอทุกอย่าง และจะเป็นคนไข้ที่ดีของหมอครับ

เมื่อวานหลังจากเดินออกจากห้องตรวจ ผมเหมือนเกิดใหม่เลยครับ จากร่างกายที่เหมือนจะเป็นไข้อ่อนๆ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเดิน มันกลับมีแรงขึ้นมาทันตา ผมรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาทันทีเลยครับ ลืมไปเลย ว่าไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวานตอนเที่ยง

ผมกลับบ้านมาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังด้วยรอยยิ้ม บ้านผมมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอีกครั้ง ตอนนี้ญาติทุกคน รับรู้กันหมดแล้ว มีแต่คนโทรมาหาผม แล้วก็ให้กำลังใจ

ส่วนใหญ่จะบอกว่า อย่าคิดมากนะลูก ลูกโชคดีแล้ว ที่ลูกรู้ตัวตั้งแต่ตอนนี้ ลูกยังอยู่อีกนานนะ ตั้งใจกินยา และรักษาตัวเองให้ดีนะลูก ไม่มีใครรังเกียจลูกนะ :)

ผมเหมือนเกิดใหม่จริงๆครับ

ตอนนี้ผมมองเห็นแล้วว่า ปลายทางผม จะจบลงตรงไหน เวลาทุกนาทีของผมมีค่ามากแค่ไหน ผมบอกพ่อกับแม่ ว่าต่อไปนี้ ลูกจะให้เวลาที่เหลือ ทำบุญ ใส่บาตร และทำแต่ความดี และที่สำคัญ ลูกจะขอให้ทำพ่อ แม่ และน้อง มีความสุข

ผมตั้งแต่จะถอนเงินเก็บในบัญชีทุกบาท ให้พ่อกับแม่ครับ ให้เก็บไว้ให้น้อง ตอนที่ผมไม่อยู่ ถึงแม้มันจะไม่ได้มากมายอะไร แต่เวลาที่เหลือ ผมสัญญาว่าผมจะหามาเพิ่มให้อีกครับ

ผมจะทำให้สุดความสามารถ ให้พ่อกับแม่และน้อง สบายที่สุด ตอนที่ผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ดลใจให้ผมไปบริจาคเลือด ทำให้ผมรู้ ว่าผมเป็นอะไร และรักษาได้ทันเวลา

ตลอดเวลาเกือบ30ปีที่ผ่านมา ผมยอมรับแบบแมนๆ ว่าผมคิดที่จะอยู่เพื่อตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีความสุข อยากทำอะไร ก็ทำ อยากเถียงพ่อกับแม่ ก็เถียงอย่างไม่สนใจ ไม่แคร์ นับตั้งแต่วันนี้ ผมไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกแล้วครับ ทุกวันที่มีค่าของผม คือการอยู่เพื่อ พ่อ แม่ และน้องสาว ที่ผมรักที่สุดครับ ผมรักคนสามคน มากกว่ารักตัวเองซะอีก

ขอบคุณครับ

จากคุณ : Parigod
เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 21:47:08