|
"บริจาคโลหิต" ไม่ใช่แฟชั่น แค่อยาก มันไม่พอ...
|
|
จั่วหัวได้ล่อเป้ามาก เพราะอยากล่อเป้า แต่ไม่อยากดราม่ากับคนกลุ่มไหน ถ้าผมจะดราม่าก็ดราม่าได้ทุกเหตุผล
แต่กระทู้นี้จะมาบอกเล่าให้ฟังเฉยๆละกันว่า "การจะบริจาคโลหิตนั้นต้องรู้อะไรไว้เป็นพื้นฐานบ้าง"
ไม่ได้มาอวดฉลาดอะไร แต่อยากให้รู้ไว้ว่าต้องรู้อะไรก่อนไปบริจาคบ้าง
1. สภากาชาด ไม่ได้เป็นหน่วยงานเดียวในประเทศไทยที่เปิดรับบริจาคโลหิต ผู้คนมากมายก่ายกอง มักนึกถึงสภากาชาดเป็นอันดับแรกเมื่ออยากบริจาคโลหิต หรือ พูดถึงการบริจาคโลหิต นั่นเพราะการบริจาคโลหิตเหมือนเป็นอัตลักษณ์นึงของหน่วยงานนี้ไปแล้ว แต่ทว่าในประเทศไทยยังคงมีอีกหลายหน่วยงานที่เปิดรับบริจาคโลหิตอีก เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลรามาธิบดี รวมถึงหน่วยบริการในต่างจังหวัดด้วย ซึ่งเป็นหน่วยขนาดใหญ่ ไม่ใช่หน่วยเคลื่อนที่ มีความพร้อมในการให้บริการ
สิ่งหนึ่งที่ผู้บริจาคโลหิตต้องทำการบ้านก่อนบริจาคคือ "เราจะไปบริจาคที่ไหนดี" เลือกแค่เพียงแห่งเดียวใกล้บ้านก็พอ หลีกเลี่ยงการไปยังสภากาชาดถนนอังรีดูนังต์ เพราะที่นั่นจะเป็นที่ที่คนเยอะที่สุด
2. หน่วยบริการเคลื่อนที่ คืออะไร หน่วยบริการเคลื่อนที่คือ กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ออกไปตามจุดต่างๆ ชุมชนต่างๆ ซึ่งมีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่าจะไปหรือไม่ไปก็ตามใจสภากาชาด
ทางสภากาชาดมีปฎิทินการออกหน่วยงานชัดเจนตลอดเกือบทั้งปี ว่าใน 1 วันนั้น จะมีหน่วยเคลื่อนที่ออกไปที่ไหน เวลาใดบ้าง ซึ่งถ้าไปแล้วพบว่าประเมินผู้ที่มาบริจาคคลาดเคลื่อนจะมากไปหรือน้อยไป ในครั้งต่อไปจะมีการปรับจำนวนของที่เตรียมให้พอดี เพื่อรองรับผู้ที่จะมาบริจาค
สิ่งที่ผู้บริจาคไม่อาจรู้ได้คือ แล้วหน่วยบริการเคลื่อนที่จะไปที่ไหนบ้าง ผู้บริจาคสามารถโทรไปสอบถามที่สภากาชาดว่า ย่านที่อยู่อาศัยของตนมีหน่วยบริการเคลื่อนที่มาหรือไม่ และ เมื่อคุณเข้าสู่ครอบครัวสภากาชาดแล้ว จะมีการส่งไปรษณียบัตร หรือ SMS ไปให้กับผู้บริจาคก่อนวันที่หน่วยงานจะลงพื้นที่ 5-7 วัน หรือ ผู้บริจาคเองก็ประมาณเวลาได้เลยว่า 3 เดือน เขาจะมาใหม่อีกครั้ง
3. ทำไมต้องนอนให้พอ กินให้อิ่ม ดื่มน้ำเยอะๆ ในแบบสอบถามจะมีระบุไว้ชัดเจนว่าต้องนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง รับประทานอาหารครบถ้วน ดื่มน้ำมากๆ ซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากต้องการให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมบริจาคโลหิต นั่นคือผู้บริจาคไม่จำเป็นต้องนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ไม่ต้องรับประทานอาหารมา หรือ ไม่ต้องดื่มน้ำเลยก็ได้ ถ้าไม่กลัวตายหรือกลัวช็อค
เพราะว่าการบริจาคโลหิตหนึ่งครั้งจะมีโลหิตออกไปจากร่างกายเรามากถึง 350 หรือ 450cc ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากอยู่ นึกภาพไม่ออกก็คือประมาณ 1 กระ๋ป๋องน้ำอัดลมนั่นเอง
แต่ทางที่ดีที่สุดคือ เตรียมร่างกายให้พร้อมเสียดีกว่า เพราะร่างกายเราเองพร้อมไม่พร้อมก็มีผลต่อคุณภาพโลหิตที่บริจาคไปด้วย หากร่างกายไม่พร้อมแต่บริจาคไป โลหิตไม่ได้คุณภาพทางสภากาชาดก็ต้องคัดทิ้งอยู่ดี
4. รู้หรือไม่ เมื่อคัดคุณสมบัติต้องห้ามออกไปแล้ว เหลือคนที่บริจาคโลหิตได้ไม่ถึง 20 ล้านคน เมื่อตัดผู้คนที่อายุต่ำกว่า 18 ขวบ และ มากกว่า 60 ปีออกไป , ตัดกลุ่มคนที่เป็นโรคต้องห้าม เช่น ซิฟิลีส ไวรัสตับอักเสบบี โรคอ้วน พิษสุรา ออกไป จะเหลือคนที่เข้าคุณสมบัติไม่ถึง 20 ล้านคน ซึ่งยังไม่ได้ตัดกลุ่มคนรักร่วมเพศ , กลุ่มที่น้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ และ กลุ่มเสี่ยงอื่นๆออกไป ซึ่งคาดว่าหากตัดเบ็ดเสร็จจะเหลือคนที่บริจาคโลหิตได้ไม่ถึง 15 ล้านคนด้วยซ้ำไป
ปัญหาอีกอย่างคือ ในจำนวนผู้บริจาคโลหิตทั้งหมดของสภากาชาดมีผู้ที่บริจาคปีละ 1 ครั้งมากถึงประมาณ 65% และ บริจาคสม่ำเสมอ 4 ครั้งประมาณ 6-7% เท่านั้น
5. หนึ่งคนให้ สี่คนรับ อ่านไม่ผิดหรอก "หนึ่งคนให้ สี่คนรับ" นั่นเพราะ โลหิตหนึ่งถุง จะถูกนำไปเข้ากระบวนการแยกส่วนประกอบเสียก่อน ที่จะนำไปแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยต่างๆ โดยเจ้าถุงโลหิตที่บริจาคไปนั้น ทางสภากาชาดจะเรียกว่า "Whole Blood"
เจ้า Whole Blood นี้ จะถูกนำไปแยกส่วนประกอบออกมาเป็นสี่ส่วนคือ - เกล็ดเลือด - เม็ดเลือดแดง - เม็ดเลือดขาว - พลาสม่าหรือน้ำเลือด โดยทั้ง 4 ส่วนประกอบนี้มีการนำไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่น การนำเม็ดเลือดแดงไปให้กับผู้ป่วยธาลัสซีเมีย การนำเกล็ดเลือดหรือพลาสมาไปให้กับผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย เป็นต้น
ฉะนั้นคงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าโลหิตหนึ่งถึงนำไปให้ผู้คนต่อๆไปได้ถึง 4 คน
6. บริจาคเลือดก็เหมือนได้ตรวจสุขภาพเบื้องต้น นั่นเพราะในกระบวนการของการบริจาคโลหิต ไปจนกระทั่งปั่นแยกส่วนประกอบนั้น ข้อมูลบุคคลที่ได้คือ ความดันที่จะทราบในหน่วยบริจาคในทันที และ นอกเหนือจากนั้นในกระบวนตรวจคุณภาพเลือด จะมีการตรวจไขมันปนเปื้อน ปริมาณน้ำตาลปนเปื้อน รวมถึงค่าต่างๆที่เป็นข้อกำหนดโดยสภากาชาดสากล
หากผู้บริจาคโลหิตคนไหนมีปัญหาเรื่องโลหิต หน่วยงานจะแจ้งผลกลับไปให้ทราบว่ามีปัญหาในเรื่องใด เพื่อให้ปรับร่างกายพร้อมบริจาคในครั้งต่อๆไป
แต่ขอให้งดเว้นว่าอยากบริจาคเพราะอยากตรวจร่างกาย เพราะยังไงแล้วทางสภากาชาดหรือหน่วยที่รับผิดชอบ เขาไม่ได้ส่งตารางค่าต่างๆให้กับผู้บริจาคหรอก ถ้าปกติดีเขาก็แค่บอกว่าปกติดี ไม่มีค่าตัวเลขใดๆแจ้งมา
หวังว่าน่าจะพอเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการวางแผนเพื่อบริจาคโลหิตกันได้นะครับ
จากคุณ |
:
Cocopok
|
เขียนเมื่อ |
:
22 พ.ย. 55 14:20:08
|
|
|
| |