"ทานไม่เยอะ แต่ไม่รู้จักทาน" ผลลัพธ์ ต่างจาก
"ทานเยอะ แต่เลือกทานนะคะ"
ลองอ่านความต่างระหว่าง A กับ B นะคะ
1. สาว A อวบ ปรับการกินไปสู่หนทางผิดๆ ด้วยการ กินน้อยมาก
เข้าใจผิดว่าต้องลดอาหารลงเยอะๆ ร่างกายถึงจะขับไขมันออก
ตอนเย็นกินแต่ยำๆ ส้มตำๆๆ หารู้มั้ยว่ามื้ออาหารเหล่านี้ ไม่มีไขมันก็จริง
แต่อาหารรสจัดยิ่งทำให้ต่อมน้ำลายยิ่งทำงานหนัก น้ำลายหลั่งออกมาเยอะ ยิ่งหิวหนักเข้าไปใหญ่
แถมแต่ละมื้อยังไม่มีโปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างพอเหมาะด้วย
พอกินแค่นั้น...ท้องก็ย่อมหิวอัดผลไม้ตามเยอะๆ จะได้หายทรมานจากการหิว
ตบท้ายด้วยดื่มน้ำตามอั่กๆ หวังว่ามันจะดีขึ้น ส่งผลให้ออกกำลังกายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
เพราะ แม่คุณก็กลัวแป้งด้วย (คาร์บจากแป้งสร้างพลังงาน)
บางทีก้ออกกำลังได้เหยาะแหยะเพราะมึนหัว(เพราะร่างกายขาดสารอาหาร)
อยากกินอะไรก็ระแวงทุกอย่าง พลิกฉลาก นับแคลอรี่ ว้ายอันนี้แคลเยอะ
ไม่กินๆ กลายเป็นโรคกลัวอาหารอีก
เอาล่ะฉันจะกินให้น้อยลงเพราะคิดว่า -- > กินน้อย = ร่างกายจะดึงพลังงานมาใช้เยอะ
แต่ในความเป็นจริงของร่างกายมนุษย์ คือยิ่งกินน้อย ร่างกายจะปรับเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน (starving mode ) จากที่เคย burn ได้ 1200 cal ต่อวัน พอมาอดๆอยากๆกินน้อยเช่นนี้
ตัวเลขการเบิร์นจึงดร๊อปไป 800-1000 cal ยิ่งกินน้อยก็ยิ่งอ้วนขึ่้นทุกวัน ชีวิตไม่มีความสุข
ประสาทเสีย > ชั่งน้ำหนัก > เครียด > ลงเอยด้วยการ กินๆๆๆๆ >ส่องกระจก ฉันอ้วนอีกแล้ว >เครียด > เข้าสู่วงจรเดิม ลดน้ำหนักใหม่ (คิดว่าสงสัยฉันยังกินน้อยไม่พอ คิดไม่ได้ ติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ )
2. สาวอวบ B อีกคนเริ่มต้นด้วยศึกษาโภชนาการอย่างจริงจัง หลอ่นเรียนรู้ว่าถ้าอยากผอม
ต้องทานแป้งและโปรตีนอย่างพอเหมาะแต่ต้องเลือกชนิด หล่อนจึงเริ่มต้นทาน ข้าวโอ๊ต
ข้าวซ้อมมือแทนข้าวขาวและก๋วยต๋วย จีัดโปรตีนอย่างเหมาะสม ทั้งโปรตีนจากไข่สักสองฟองต่อวัน
ทานเนื้ออกไก่ไม่ติดมัน ทานหมูไม่ติดมันบ้างอัดเนื้อเข้าไปเยอะๆ และทานผักเยอะๆ
และเลือกปรุงอาหารเองเพราะจะได้ไม่ทำอาหารรสจัดมาก ส่วนผลไม้ทานตามจำนวนพอเหมาะ
หล่อนรู้สึกมีความสุขดีเพราะได้สารอาหารอย่างเต็มที่ไม่ต้องเอาผลไม้มายัดให้หายหิว เหมือน นส A
ของว่างแก้เหงาปากก้เลือกอีก ถั่วอัลมอนต์จืดๆ โยเกิร์ตไร้น้ำตาล
จะกินขนม ของว่างทั้งที ต้องมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย
หล่อนเพ่งโฟกัสไปที่ การควบคุมน้ำตาลและเกลือ ในอาหารแต่ละอย่างที่หยิบเข้าปาก
มากกว่ามานั่งนับแคลอรี่ไร้สาระ
ส่วน--ไขมันหล่อนก็ไม่กลัวที่จะทาน เพราะรู้ว่าร่างกายมนุษย์ยังต้องการไขมันบ้าง
หล่อนจึงศึกษาว่าจะรับไขมันดีเข้าร่างกายได้อย่างไร
หล่อนจึงไปซื้อน้ำมันมะกอกอย่างดี มาทำน้ำสลัดกินคู่กับโปรตีนจากเนื้อสัตว์บ้างตอนเย็น
เพราะว่าหล่อนได้รับ คาร์บอย่างเพียงพอในช่วงเช้าและกลางวัน
ตอนเย็นๆจึงมีแรงออกกำลังกายได้เต็มที่
ยิ่งการออกกำลังกายมีประสิทธิ์ ความแข็งแกร่งก็พอกพูนขึ้นทุกวัน
วันหนึ่งหล่อนก้ศึกษาเพิ่ม และค้นพบว่า ออกกำลังด้วยคาร์ดิโอ้ อย่างเดียวไม่พอแน่ๆ
เบิร์นไขมันและผอมลงได้จริง แต่ไม่ได้ช่วยให้ไขมันบางจุดหายย้วย
หล่อนจึงเริ่มต้นเล่นเวทบ้าง และเพิ่มความเข็มข้นเรื่อยๆ พอมีกล้ามเนื้อก็แทบไม่ต้องทำอะไร
อยู่เฉยๆ พลังงานก็เบิร์นเองของมัน ไม่เหมือนตอนวิ่ง ถ้าหยุดวิ่งวันไหนร่างกายก็ไม่ได้เบิร์น
ทำให้หล่อนผอมลงเรื่อยๆ ผิวก็เฟิร์มไม่ย้วยเหมือน A นอกจากการกินที่ถูกต้องแล้วหล่อนจึง
สามารถกำหนดวัน cheat day ได้ ทานไอศกรีม พิซ่าของโปรด โดยไม่ซีเรียส สักอาทิตย์ละครั้ง
วันต่อๆมาๆ ก็กลับไปกินดีและออกกำลังกายหนักเหมือนเดิม
น้ำหนักอาจจะไม่ลดมากนักแต่หล่อนก้ไม่ซีเรียส
เพราะมวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ่้นแต่ผอมลงอย่างเห็นได้ จนเพื่อนๆทัก
ว่า เฮ้ย ... ทำไมผอมลงแต่ไม่โทรม ดูดีสดใสสุดๆ กินเยอะขนาดนี้ทำไมยังผอมเอาๆ
ช่วยบอกทีว่า A หรือ B มีแนวโน้มว่าจะผอมและแข็งแรงมากกว่ากัน
ปล. A คือเราในอดีตนะ ตอนนี้เราเป็น B :))
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 16:42:43
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 08:42:28
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 08:41:40
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 05:41:51
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 05:39:46