ความคิดเห็นที่ 1 ในยุคสมัยนี้คนเป็นพ่อแม่คงปวดใจพิลึก หากลูกหลานของเราดันไปแอบสักกันที่ผิวหนังที่เราอุตส่าห์ดูแลแกมาจนเติบใหญ่มาถึงช่วงวัยรุ่น ผมมีข้อมูลน่าฟังจาก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุขมาเกริ่นนำดังนี้ครับ <><><><><> รอยสัก-รอยเสี่ยง <><><><><> การสักเป็นศิลปะของการเสริมความงามอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมานับพันปี ตั้งแต่สมัยกรีกโรมัน อียิปต์ และจีนโบราณและปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมของคนทุกชนชาติ “รอยสัก” ตามศัพท์ภาษาอังกฤษ เรียกว่า “แทตทู” หมายถึง “การตีหรือการเคาะ” ซึ่งเกิดจากการสักด้วยเครื่องสัก หรืออาจใช้เข็ม ซึ่งมีด้ายร้อยเคลือบสีอยู่ แทงผ่านตามตำแหน่งที่ต้องสักลงไปที่ผิวหนัง เป็นต้น การสักในปัจจุบัน ได้พัฒนาโดยใช้วัสดุปลายติดกับเครื่องไฟฟ้า และสักสีลงไปในชั้นใต้ผิวหนังผู้สักจะใช้วิธีจุ่มเข็มชุบสี สีที่ใช้เป็นพวกที่เข้ากลุ่มของโลหะซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จุดประสงค์ของการสักผิวหนังมีหลายอย่าง เช่นการบ่งบอก วัฒนะธรรมทางสังคมความ อยากเด่นอยากดัง เชื่อว่าการสักร่างกายเป็น การป้องกันภัยได้อย่างหนึ่ง ในปัจจุบันการสัก ร่างกายเกิดจากความพอใจต้องการให้มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม ตำแหน่งที่นิยมสักคือสะดือ สะโพก และอวัยวะเพศ ภาพที่ใช้สักมักจะเป็น รูปปลารูปมังกรดอกไม้และลวดลายศิลปะต่าง ๆ ซึ่งมีความหมาย สวยงาม สำหรับประโยชน์ทางการแพทย์ในการสักใช้ในการกลบ โรครอยด่างขาวการสัก ลงไปในช่องว่างระหว่าง ผมหลังการปลูกผมเพื่อให้ดูมีผมดกดำขึ้น หลังจากปลูกถ่ายผมหรือการสักบริเวณขอบตาและหัวคิ้วเพื่อ รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาขนร่วงบริเวณดังกล่าวเป็นต้น อันตรายจากการสักมักทำให้เกิด การติดเชื้อโรค ชนิดต่างๆเช่น วัณโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรีย และปฏิกิริยาจากสีซึ่งสักลงไป ปัจจุบันสารที่นิยมใช้เป็น สีหลายชนิดมักเป็นโลหะหนัก เช่น สารปรอท แร่เหล็ก แร่โคบอลต์ เป็นต้น สารเหล่านี้ทำให้ เกิดปัญหาบางอย่างโดยเฉพาะสารสีแดงของโลหะ จะพบได้บ่อยที่สุด การลบรอยสัก ทำได้2วิธี คือการผ่าตัดและการใช้กรด ไนตริดหรือ กรดซัลฟูริกกำจัดรอยสักเหล่านี้ออกจาก ผิวหนังได้หลังจากลบรอยสักแล้ว ผู้ป่วยต้องดูแลแผล ตามคำแนะนำ ของแพทย์ใช้เวลาประมาณ 7-10วัน ถ้าแผลไม่อักเสบไม่ว่าจะเป็น “การสัก”หรือ ลบรอย สักก็ตามขอให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จริง ๆ จากคุณ : อีกาสีขาว - [ 21 ก.ย. 46 12:52:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอคัดลอกบทความจาก วารสารสกุลไทย ฉบับที่ 2484 ปีที่ 48 ประจำวันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2002 บทความ-สารคดีโดย จุลจันทร์ นันทมาลา “เป็นพ่อชายบ่ดาย วะตัวหนึ่งบ่ติดตะก้าม” คำพูดที่ยกมานี้แปลว่าเป็นลูกผู้ชายเสียเปล่า วะตัวเดียวก็ไม่มีติดตะโพก เป็นการกล่าวเชิงดูถูกเหยียดหยาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเอ่ยออกจากปากของอีนางสาวน้อย หน้าอ้อยหล้อยเพียงเพศอินทร์เหลาแล้วละก็...ไอ้หนุ่มที่โดนว่าควรจะไปตายแล้วรีบเกิดใหม่ได้แล้ว อีกสิบกว่าปีข้างหน้าเป็นหนุ่มอีกที ค่อยมาจีบเธอใหม่เผื่อจะทัน ตัววะที่อ้างถึงในคำพูดข้างบนหมายถึงอักขระที่ใช้แทนเสียงวอแหวนในภาษาล้านนา ในลายสักมักนิยมใช้กันมาก ถึงกับมีความเชื่อว่าหากใครสักวะติดผิวหนังครบพันตัว จะข่ามดาบข่ามปืนหรืออยู่ยงคงกระพัน แต่ภาพที่เอามาลงให้ดูนี้ไม่ใช่การสักตัววะ แต่เป็นลายสักรูปตัวมอม มอมเป็นสัตว์ในความเชื่อของชาวล้านนา ชาวลื้อ ชาวเขินและชาวไต ถือว่าเป็นสัตว์ที่มีอำนาจพิเศษลี้ลับบางประการ รูปร่างหน้าตาบางทีก็คล้ายแมว บางทีก็คล้ายเสือ ที่คล้ายลิงก็มี คล้ายตุ๊กแกเกาะฝาก็ยังมีเลย ไม่เชื่อก็ลองไปเดินดูรอบๆ หอไตรวัดพระสิงห์ดูเถอะ มอมปูนปั้นบางตัวหากไม่รู้ที่มาจะนึกว่าตุ๊กแก จากคุณ : อีกาสีขาว - [ 21 ก.ย. 46 12:56:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จะไม่กล่าวถึงแมงมอมหรอกนะ แต่จะว่าด้วยเรื่องลายสัก ความเชื่อของไทที่ระบุชื่อข้างบนเหล่านั้นเขาเชื่อกันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นเสือ เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษ และเพื่อสืบทอดอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเสือ พวกเขาจึงสักผิวหนังให้มีลายอย่างเสือ ตอนแรกๆ จะสักให้ลายอย่างเดียวหรืออย่างไรยังไม่ชัดเจน ต่อมามีการพัฒนารอยสักโดยใส่ความขลังศักดิ์สิทธิ์ของเวทมนตร์มายิกศาสตร์เข้าไปด้วย นิยมกันว่าสักอันนี้จะดีอย่างนั้น สักอันนั้นจะดีอย่างนี้ แล้วก็พัฒนาเรื่อยมา จนกลายเป็นค่านิยมว่า ขากบขาเขียดยังลาย ขาคนชายบ่ลายบ่เอาเป็นผัว หมายความว่าชายใดขาไม่ลาย (ไม่สักหมึก) จะหาเมียได้ยากมาก ค่านิยมนี้คงพัฒนามาจากสมัยบ้านเมืองร้อนร้าย ผู้หญิงขาดความมั่นคงในชีวิต หากใครไม่สักหมึก แสดงว่าเป็นคนเหยาะแหยะ แค่ปลายเข็มจิ้มเนื้อยังทนไม่ได้ แล้วจะปกป้องคุ้มครองพวกหล่อนได้อย่างไร อีกประการหนึ่ง พวกนักรบลากดาบออกไปลุยข้าศึกข้าเสือหัวเหนือหัวใต้มักจะสักหมึกเป็นหนุ่มห้าวองอาจดุดัน นักรบไม่สักหมึกไม่ค่อยมี ผู้คนในยุคหัวศึกหัวเสือนิยมยกย่องนักรบ ผู้ชายทั้งหลายเลยอยู่ไม่ได้...ฮ่ะ แม้ไม่ได้ไปรบก็ต้องสักหมึก ถึงไม่ใช่แมนก็ต้องเก๊กแมนละเอ้า ไม่งั้นไม่มีที่หยัดอยู่ในสังคม ภาพประกอบ: ตัวมอมหน้าโบสถ์ทางล้านนา (((วันหลังจะมาเล่ากันว่าทำไมหน้าโบสถ์บ้างก็สิงห์ บ้างก็ตัวมอม บ้างก็นาค เพราะอะไรทำไมวันหลังผมจะมาเล่าต่อ))) จากคุณ : อีกาสีขาว - [ 21 ก.ย. 46 13:00:11 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ลายสักจึงอยู่คู่ชายไทยมานาน จะเนื้อเปล่าขาวจั๊วะอยู่ได้อย่างไรในเมื่อเขาด่างดำกันทั้งเมือง เป็นเรื่องของค่านิยมเหมือนอย่างยุคหนึ่งนิยมว่าฟันดำแล้วสวยนั่นแหละ ค่านิยมในการสักหมึกซบเซาลงตั้งแต่ราวหลังสงครามญี่ปุ่นเป็นต้นมา บัดนี้ดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง ต่างแต่จุดมุ่งหมายและคติยึดถือแตกต่างออกไป สมัยก่อนสักไว้ป้องกันตัว เดี๋ยวนี้สักเอางาม ก็ไม่ว่ากันนะ อย่าเผลอรับเชื้อเอชไอวีจากปลายเข็มก็แล้วกัน ระวังหน่อย ภาพประกอบ : ภาพถ่ายPortraitsของกุลดิลก กรเกษม จากhttp://www.geocities.com/kundilokphotograph/Portrait.htm จากคุณ : อีกาสีขาว - [ 21 ก.ย. 46 13:19:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เคยนึกอยากสักนะคะ แต่จุดที่อยากสักน่ะ เนื้อมันอ่อน ก็เลยกลัวเจ็บ ม่ายงั้นป่านนี้ได้มีรอยสักโชว์เพื่อนๆแล้วหละ จากคุณ : Batgirl 2001 - [ 21 ก.ย. 46 13:40:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มาให้กำลังใจนะพี่ ยังไม่ได้อ่านเยย อิอิ จากคุณ : หมอนข้างนุ่ม - [ 21 ก.ย. 46 18:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตามมาอ่านและ save เช่นเคยครับผม ขอบคุณครับ คุณอีกาฯ สุดหล่อ จากคุณ : ขาประจำ :) (447) - [ 21 ก.ย. 46 18:41:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จากคุณ : NID1 - [ 21 ก.ย. 46 19:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สวัสดีครับพี่อีกาฯ อิอิ..... ผมสงสัยว่าเนื้ออ่อนๆ ที่พี่ค้างคาวจะสักมาอวดเพื่อนๆอ่ะครับ..ว่าอยู่ตรงไหน? อิอิ จากคุณ : ตะเกียงลาน - [ 22 ก.ย. 46 00:35:28 ]