ลองอ่านเรื่องของผม แล้วช่วยกันคิดหน่อยนะครับว่า สาเหตุมันเกิดอะไรขึ้น และควรจะทำยังไงต่อไปครับ
เรื่องนี้เริ่มจากวันที่ 30 สิงหาคม 46 หลังจากผมตื่นเช้ามา ก็พบสิ่งผิดปกติ คือ ผมมีอาการชา บริเวณ มุมปากล่างด้านซ้ายและบริเวณคางซ้าย (ส่วนที่ติดกับมุมปากด้านซ้ายล่างแต่ไม่ใช่คาง) มันมีอาการชาแบบตึงๆ เหมือนกับเวลาเราจะถอนฟันแล้วโดนฉีดยาชานั่นแหละครับ ตอนแรกก็คิดว่าอาจเกิดจากนอนตะแคงซ้ายแล้วนอนทับเส้นประสาท และคิดว่ามันจะหายไปเอง
เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ มันก็ไม่หาย ก็เลยไปพบแพทย์ ซึ่งผมไปที่โรงพยาบาลวิภาวดี (ตรงข้าม ม.เกษตร) ในวันที่ 6 กันยายน 46 แพทย์ที่ไปพบเป็นแพทย์อายุรกรรม เค้าทดสอบโดยให้หลับตา ลืมตา อ้าปาก กระดกลิ้น ยิ้มมุมปาก ฯลฯ ซึ่งปรากฏว่าประสาททุกส่วนทำงานได้ตามปกติ แต่มีอาการชาเท่านั้นเอง แพทย์เลยสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดการอักเสบบริเวณปลายประสาทในส่วนนั้น จึงให้ยากลับบ้านมากิน ซึ่งยาประกอบด้วย ยาบำรุงปลายประสาท (METHYCOBAL 500 MCG.) และวิตามินบำรุงปลายประสาท และนัดพบแพทย์อีกครั้งในสัปดาห์ถัดไป คือวันที่ 13 กันยายน 46
เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ ผมกลับไปหาแพทย์คนเดิมโดยพาอาการเดิมกลับมาด้วย แพทย์ทำการทดสอบระบบประสาทด้วยวิธีเดิม ซึ่งก็เป็นปกติ จึงส่งตัวผมไปที่แผนกทันตกรรมของโรงพยาบาลเดียวกัน ทันตแพทย์ที่นั่นเลยลองให้ X-RAY ฟัน 2 ครั้ง ปรากฏว่า มีกระดูกชิ้นนึง งอกอยู่ใต้รากฟันกรามด้านซ้ายล่างซี่ที่ 2 จากด้านใน (ไม่นับฟันครุฑซ้ายล่างที่ถอนออกไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งทันตแพทย์บอกว่าอาการชาที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากกระดูกที่งอกมาซ้อนใต้รากฟันและกดทับเส้นประสาท ทำให้ปากชา จึงแนะนำให้ผมไปรับการรักษาโดยการผ่าตัดที่โรงพยาบาล
จุฬาฯ หรือโรงพยาบาลศิริราช ผมเลือกไป รพ.จุฬาฯ เพราะเดินทางสะดวกกว่า
หลังจากนั้น ประมาณ 2 วัน ผมเริ่มมีกาการชาเพิ่มขึ้นที่บริเวณปลายลิ้นด้านซ้าย แล้ววันที่ 18 กันยายน 46 ผมก็เดินทางไปพบทันตแพทย์ที่ รพ.จุฬาฯ และเล่าอาการให้ฟังพร้อมกับนำฟิล์ม X-RAY ที่ได้จาก รพ.วิภาวดีไปด้วย หมอลองคลำดูบริเวณเหงือกที่มีกระดูกงอก แล้วสั่งให้ไป X-RAY ใหม่อีก 2 ครั้ง ซึ่งสิ่งที่พบก็คือกระดูกงอกใต้รากฟันเหมือนเดิม จากนั้นทันตแพทย์ก็แนะนำ และทำเรื่องส่งตัวไปรักษาต่อที่ คณะทันตกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
เมื่อพบทันตแพทย์ที่ห้องทำฟันธรรมดา แล้วหมอรู้เรื่องที่ผมลำดับให้ฟังแล้ว จึงย้ายผมไปที่ห้องฉุกเฉิน ของคณะทันตะฯ หมอถามอาการแล้วทำการทดสอบโดยให้หลับตา แล้วใช้คีมคีบสำลี จิ้มบริเวณริมฝีปาก, คาง โดยทำการจิ้มสลับ ระหว่างคีมปลายแหลมกับคีมปลายมน แล้วให้ตอบว่า แหลม หรือ ไม่แหลม ปรากฏว่าผมตอบถูกหมด ทันตแพทย์จึงโทรตามอาจารย์แพทย์มาดูอาการ เมื่ออาจารย์แพทย์ลงมาแล้ว ก็ทดสอบคล้าย ๆ กัน และถามว่า ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เคยไปทำฟันที่ไหนหรือเปล่า ซึ่งก็เปล่า แล้วถามว่าฟันคุดผ่าออกไปนานหรือยัง ซึ่งก็ 2 ปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะสัมพันธ์กัน ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อ ปลายปีที่ แล้ว (เดือน ตุลาคม 45) ผมประสบอุบัติเหตุทำให้แขนซ้าย บริเวณข้อมือหัก ซึ่งระหว่างรักษาตัว ต้องกินแคลเซียมเยอะมาก คือ ACALT CALTRATE 600 + D TABLET ซึ่งกินไปประมาณ 90 เม็ด และยังต้องกิน CALCIUM-D-REDOXON อีกประมาณ 3-4 หลอด (หลอดนึงมี 10 เม็ด ใช้ละลายน้ำกิน) ผมจึงถามว่าเป็นไปได้ไหมที่ช่วงนั้นกินแคลเซียมเยอะ อาจทำให้มีผลข้างเคียงทำให้มีกระดูกงอก ซึ่งทันตแพทย์ลงความเห็นว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะแคลเซียม 2 ตัวนี้ คนกินกันเยอะแยะ ไม่เคยมีใครเป็นอะไร อาจารย์หมอจึงสั่งให้ X-RAY ช่องปากโดยรวมทั้งหมด ซึ่งฟิล์มที่ล้างออกมา จะมีลักษณะฟันบนโค้งขึ้นเหมือนรูปพาราโบล่าคว่ำ ส่วนฟันล่าง โค้งลงเหมือนพาราโบล่าหงาย ปรากฏว่า พบสิ่งผิดปกติเพิ่มขึ้นอีก คือมีสารทึบแสงเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ หลายจุด บริเวณ ขากรรไกร เรียงตัวกระจัดกระจายกันอยู่ ซึ่งทันตแพทย์ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ก็เลยสั่งให้ผมไป
X-RAY (อีกแล้ว) คราวนี้ X-RAY แบบหน้าตรง เห็นทั้งกระโหลก เมื่อได้ทั้งสองฟิล์ม ครบแล้ว อาจารย์แพทย์เรียกผมเข้าไปพบแล้วลงความเห็นว่า อาการชาที่ปากและลิ้น ไม่น่าจะเกิดจากกระดูกที่งอกอยู่ใต้รากฟัน เพราะถ้าสาเหตุมาจากกระดูกที่งอกแล้ว น่าจะทำให้เกิดอาการชาแค่บริเวณปากเท่านั้น ปลายลิ้นซ้ายไม่น่าจะชาด้วย เพราะประสาทการควบคุมเป็นคนละส่วนกัน ถึงตอนนี้ทุกคนก็งง และหาสาเหตุไม่ได้ อาจารย์แพทย์จึงบอกให้ไปทำ COMPUTED TOMOGRAPHY หรือเรียกสั้น ๆ ว่า การทำ CT. Scan เป็นการ X-RAY คอมพิวเตอร์ อยู่ที่ศูนย์การแพทย์เอกชนแห่งหนึ่ง (อยู่ที่คณะไม่มีเครื่องทำ CT. Scan) ซึ่งทันตแพทย์บอกว่าค่าใช้จ่ายในการทำ CT. Scan นี้อยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท (ขอบอกว่าแพงมาก) หมอถามว่ามี ประกันสังคมมั้ย ผมตอบว่าไม่มี เพราะผมเพิ่งจะสัมภาษณ์งานผ่าน และจะต้องเริ่มทำงานในวันจันทร์ที่ 22 กันยายน 46 จึงไม่มีประกันสังคม มีอยู่แค่บัตรทอง 30 บาทเท่านั้น ผมจึงถามว่าใช้บัตร 30 บาทได้มั้ย หมอบอกว่าได้ แต่มันยุ่งยากนึดนึงนะเพราะจะต้องกลับไปที่ รพ.หลักที่ระบุไว้บนบัตรว่าเป็น รพ.อะไร แล้วให้ทาง รพ. ทำเรื่องส่งตัวไปทำ CT. Scan ที่ศูนย์การแพทย์เอกชนแห่งนั้น ทันตแพทย์เขียนคำลงในใบคำสั่งทำ CT. Scan ซึ่งหัวกระดาษระบุชื่อศูนย์การแพทย์เอกชนแห่งหนึ่ง และมีช่องเติมรายละเอียดในการทำการรักษาอยู่เยอะแยะเต็มหน้ากระดาษ โดยทันตแพทย์กาเครื่องหมายถูก ในช่องทำ CT. Scan และเขียนข้อความเพิ่มเติมลงไปว่า CT. Scan mid face & neck cut ละ 5 mm. With contrast ซึ่งผมแปลเองมั่ว ๆ ว่า ให้ทำ CT. Scan บริเวณใบหน้า และคอ ความละเอียดของแต่ละชั้นคือ 5 มิลลิเมตร กับใช้ contrast (ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นสารทึบแสงที่ต้องฉีดเข้าไปในร่างการในการทำ CT. Scan)
ทีแรกผมเห็นว่าเรื่องมันยุ่งยาก ถ้าจะใช้บัตร 30 บาท เลยจะยอมเสีย 5,000 บาทจะได้เสร็จเร็ว ๆ เพราะต้องเริ่มงานวันที่ 22 กันยายน 46 ก่อนไปศูนย์การแพทย์เอกชน ผมลองโทรไปถามเรื่องค่าใช้จ่ายในการ X-RAY ครั้งนี้ เมื่อคุยกับปลายสาย เค้าบอกว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายดังนี้ คือ ค่าทำ CT. Scan บริเวณหน้า 5,000 บาท ค่าทำ
CT. Scan คออีก 5,000 บาท และค่าสารเคมี (Contrast) ซึ่งเป็นสารทึบแสงที่จะต้องฉีดเข้าไปในร่างกายอีกเข็มละประมาณ 2,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 12,000 บาท (ขอบอกว่าแพงโคตร) เลยเปลี่ยนใจยอมเสียเวลาทำเรื่องใช้สิทธิบัตร 30 บาทแทน
วันต่อมา 19 กันยายน 2546 ผมไปหาหมอที่ รพ.ชลประทาน ต้นสังกัด เพื่อขอให้แพทย์ที่นั่นทำเรื่องส่งตัวไปทำ CT. Scan ที่ศูนย์แพทย์เอกชน แต่แพทย์ที่นั่นปฏิเสธเพราะไม่มีจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรจากอาจารย์แพทย์ให้ส่งตัวให้ และใบคำสั่งทำ CT. Scan หัวกระดาษก็เป็นของเอกขน จึงไม่สามารถทำเรื่องส่งตัวให้ได้ ผมเข้าใจ และถือว่าโชคดีอยู่ เพราะหมอบอกว่าที่ รพ.ชลประทานก็มีเครื่องทำ CT. Scan นะ แต่คงไม่สวยเท่าไปทำที่เอกชน ผมตกลงทำ โดยใช้บัตร 30 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายจริงทั้งหมดอยู่ที่ 5,000 บาท (สำหรับ รพ.รัฐบาล) หมอจึงนัดวันทำ
CT. Scan ในวันที่ 24 กันยายน 46 ผมไปทำตามนัด
ผมไปรับฟิล์ม ที่รพ.ชลประทาน ในวันนี้ (25 กันยายน 46) หมอบอกว่า ผลออกมาปกติดีทุกอย่าง แล้วบอกว่าให้เอาฟิล์มไปให้อาจารย์หมอที่ทันตะฯ จุฬาฯ ดู แล้วถ้าอาจารย์หมอต้องการให้ทำ MRI (คือการ X-RAY ที่ละเอียดกว่าการทำ CT. Scan) ก็ให้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรมาด้วย แล้วแพทย์ที่ รพ.ชลประทานจะทำเรื่องใช้สิทธิบัตร 30 บาทและจะส่งตัวไปทำ MRI ที่ศูนย์การแพทย์เอกชนให้ พอกลับถึงบ้าน ผมก็โทรไปสอบถามเรื่องราคาการทำ MRI ที่ศูนย์การแพทย์เอกชนแห่งเดิม เค้าบอกว่า ค่าทำ MRI Face 8,000 บาท ค่าทำ MRI neck 8,000 บาท และสารทึบแสงที่จะฉีดเข้าไปในร่างกายอีกเข็มละ 3,000 บาท (ทำไมแพงกว่าสารที่ฉีดตอนทำ CT. Scan ก็ไม่รู้) รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 20,000 บาท ซึ่งผมก็ต้องรอพบอาจารย์หมอที่จุฬาฯ ก่อนว่าจะเอายังไงกันต่อไป
ส่วนบริษัทที่ผมสัมภาษณ์งานได้และให้ผมเริ่มงานวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา เค้ารู้ว่าผมต้องรักษาตัว เลยใจดีเลื่อนเวลาเริ่มงานเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 46 นี้ แต่ผมก็โทรไปบอกเค้าให้หาคนอื่นแทนแล้วเพราะ ผมต้องรักษาตัวยืดเยื้อ อย่างน้อยวันที่ 2 ตุลาคม 46 ก็จะต้องไป ทันตะฯ จุฬาฯ ตามนัด และคงไม่จบแค่นี้ คงมีนัดต่อๆ ไปเรื่อยๆ
ผมมีคำถามดังนี้ครับ
1. มีใครเคยมีอาการอย่างนี้เหมือนผมบ้าง แล้วเป็นอะไร รักษายังไงเหรอ
2. ระหว่างรอไปพบแพทย์ที่ ทันตะฯ จุฬาฯ ในวันที่ 2 ตุลาคม ผมจะไปปรึษาแพทย์ด้านระบบประสาทที่ รพ. ประสาทแถว ๆ อนุสาวรีย์ชัยก่อนดีมั้ยครับ เพราะผมคิดเองว่า อาการชาที่เกิดขึ้น สาเหตุอาจจะไม่ได้มาจากกระดูกที่งอกอยู่ใต้รากฟัน อาจเกิดจากระบบประสาท หรือเส้นประสาทก็เป็นได้
จากคุณ :
ฮีโมโกบิล
- [
25 ก.ย. 46 15:33:46
]