เก้าอี้โดยทั่วไปมีไว้สำหรับนั่งพักผ่อน แต่มีเก้าอี้ยกเว้นอยู่ 2 ที่ ซึ่งฝังใจผมมาตั้งแต่เด็กจนไม่อยากจะไปนั่งเลย คือ
เก้าอี้ที่ร้านตัดผมหนึ่งละ และอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งร้ายยิ่งกว่า คือ เก้าอี้ที่ร้านหมอฟัน
เก้าอี้ที่ร้านตัดผมนั้น ผมจำใจไปนั่ง เพราะกลัวอานุภาพไม้เรียวครู ยามเมื่อปิศาจปัตตาเลี่ยนสีดำร้องคำราม และ กัดกินเส้นผมบนหัวแทบจะน้ำตาร่วงด้วยความเสียดาย และอับอายหัวเขียวเวลาเดินออกจากร้าน
แต่เมื่อรวบรวมความเสียดาย ความอับอาย และความน่าเบื่อหน่ายของร้านตัดผมเข้าด้วยกันแล้วก็ยังไม่ได้สักเพียงครึ่งเดียวของร้านทำฟัน
เก้าอี้ในร้านทำฟัน สำหรับผมเมื่อครั้งยังเป็นเด็กไม่ต่างอะไรกับเก้าอี้ไฟฟ้าที่ใช้ประหารชีวิตเหล่านักโทษผู้กระทำความผิดอันร้ายแรง
ร้านทำฟันเป็นเสมือนดินแดนพิศวงลี้ลับ เพียงแค่เดินผ่านได้กลิ่นยาที่โชยออกมาก็ขนลุกเสียแล้ว หมอฟันนั้นก็ไม่ต่างจากแม่มดในเทพนิยาย ที่มีเข็มฉีดยาและคีมเป็นอาวุธร้าย รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือพิสดารสารพันที่เธอคิดค้น และสะสมไว้รอเวลาทำร้ายช่องปากของเด็ก ๆ
พ่อกับแม่นี่แหละตัวดี ตกเป็นทาสเวทมนตร์คาถาของเธอ พอถึงเวลาก็บีบบังคับขู่เข็ญนำผมไปสังเวยในดินแดนอันน่าหวาดกลัวของพวกเธอ
และทำเช่นนั้นอยู่เสมอ
สร้างความเจ็บปวดนานาชนิดให้ผมต้องร้าวระบมอยู่เรื่อย ๆ
ด้วยข้ออ้างว่า แมงกินฟันบ้าง ฟันเกบ้าง โยกโย้เย้บ้าง อะไรตามแต่นางแม่มดร้ายจะยกมาอ้าง
ไม่เพียงแต่ทำให้เจ็บปวดเหงือก-กรามเท่านั้น
หมอฟันมักจะทำให้ผมเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ร่ำไป เธอมักจะมีนิสัยชอบโกหกและโกหกเหมือนกันเกือบทุกร้าน
ทุกคราวที่เธอหยิบอาวุธร้ายอันได้แก่ เข็มฉีดยา เธอจะบอกว่าเจ็บนิดเดียวเหมือนมดกัด แรก ๆ ผมก็หลงเชื่อ แต่หลัง ๆ ชักจับได้ว่า ถ้าการที่โดนเข็มฉีดยาแทงเหงือกเหมือนมดกัด ก็คงจะเป็นมดที่กัดพร้อมกันทีเดียว 30 ตัว
ผมถึงกับสาบานด้วยความแค้นเอาไว้เมื่อครั้งที่ฟันน้ำนมซี่สุดท้ายโดนเธอถอนออกมาว่า ผมจะไม่ยอมมีแฟนเป็นหมอฟันเป็นอันขาด อันเป็นคำสาบานทั้งน้ำตาที่ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว
จนถึงทุกวันนี้
ผมยังจำหมอฟันทุกคนที่ยุ่งกับปากของผมได้ดี แต่ความรู้สึกที่มีต่อหมอฟันนั้นเปลี่ยนไป
ผมยังคงต้องวนเวียนเข้าออกอยู่กับร้านทำฟันอยู่เรื่อย ๆ ทั้งที่ฟันทั้งปากมีอยู่แค่ 30 ซี่ แต่มันก็สลับกันปวดได้เรื่อยไป บางทีเผลอ ๆ ก็ทะลุไปถึงเหงือก ทั้งอุดทั้งถอนทั้งรักษารากฟัน แถมยังมีหินปูนบ้าบอมาขอเกาะฟันอีก ทำให้ผมผูกพันกับหมอฟันมากขึ้น
จากที่เคยเกลียดชัง กลับกลายมาเป็นความชื่นชม
ทุกครั้งที่ผมเห็นรูปถ่ายของตัวเองในยามยิ้มยิงฟัน ผมคิดถึงบุญคุณของพ่อ-แม่และคุณหมอฟัน ทุกคนที่เคยช่วย
หลาย ๆ ครั้งที่ผมแทะน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อย กัดน้ำแข็งหรือเคี้ยวบาบีคิว และคิดถึงใบหน้าหรือท่าทางของหมอฟันขึ้นมา
เพียงแค่ความอร่อยจากการกินและไม่เจ็บปวดตามรูฟันก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณมากพอแล้วยังนับรวมไปถึงฟันที่ช่วยให้ออกเสียงตัว ส. หรือตัว ฟ. ชัดเจน แถมยังเอื้ออำนวยในการร้องเพลงได้ไม่อายใครอีก
คิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเธอมากขึ้น จากนางแม่มดปิศาจร้ายในอดีต ผมเห็นหมอฟันเป็นเสมือนเทพธิดา เธอเป็นทั้งเทพธิดาผู้อารี และเทพธิดาผู้อาภัพ
ผมรู้สึกชื่นชมและรู้สึกสงสารหมอฟันไปพร้อม ๆ กัน
แม้ว่าอาชีพหมอฟันจะเป็นอาชีพที่ทำรายได้สูงมากในประเทศนี้ แต่ก็ต้องแลกด้วยความยากลำบาก
ตั้งแต่การสอบคัดเลือกเข้าเรียน ซึ่งนอกจากจะรับจำกัดแล้วยังคะแนนสูงอีก กว่าใครสักคนจะมีโอกาสเรียนนั้นต้องอ่านหนังสือจนสายตาสั้นไปหลายหน่วย
พอได้เรียนก็รู้มาว่ายากเย็นแสนเข็ญ เพราะงานของหมอฟัน เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ นอกจากจะต้องศึกษาเรื่องอะไรต่อมิอะไรในช่องปากในร่างกายของมนุษย์แล้ว ผมยังเห็นพวกหมอฟันต้องมาหัดปั้นปูนปาสเตอร์ มานั่งดัดเหล็กดัดลวด ซึ่งเป็นงานศิลปะ เพื่อความงามในช่องปากของผู้คน
หมอฟันจึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มของมิสไทยแลนด์เวิร์ล และดารายอดนิยมแทบทุกคน
ครั้นพอจบออกมา อาชีพทันตแพทย์ก็ดูไม่น่าสนุกนักที่ต้องมานั่งรอให้ใครต่อใครวนเวียนมาหา มาอ้าปากครวญครางขอความช่วยเหลืออยู่เป็นนิจสิน ซึ่งถ้าใครต่อใครที่ว่าเป็นจำพวกมิสไทยแลนด์เวิร์ล หรือคนที่ปากสวย ๆ เหมือนจารุณีมาหาก็ดี แต่วัน ๆ ของหมอฟันนั้นต้องผจญกับสารพัดปาก ย่อมต้องมีทั้งที่ปากสวย ปากไม่สวย ปากกว้าง ฟันห่าง มีทั้งที่ปากเหม็น *ปาก ม (ปากเสีย) และอื่น ๆ นานาสารพัดปาก ซึ่งไม่ว่าใครจะพาปากชนิดไหนมา หมอฟันก็ต้องดูแลรักษาไปตามหน้าที่
จะมัวมาเลือกทำแต่คนที่ปากสวย ปากหอม หรือรูปหล่อเหมือนแซม ยุรนันท์ ก็คงเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่คนทำฟันนั้น ถ้ามีเงินก็เลือกทำเฉพาะหมอฟันที่มือนุ่ม ๆ ได้
พวกหมอฟันจะต้องใช้ความอดทนและความเสียสละอันสูงส่งในการที่จะต้องสู้รบกับ แมงแบคทีเรีย ทั้งหลายที่คอยมากล้ำกรายทำร้ายฟันของเด็ก ๆ ทั้งยังมีภาระนอกเหนือไปถึงการดูแลและเอาใจใส่ฟันที่ไม่พอดี จำพวกฟันห่าง ฟันเหยิน ฟันเก ฟันคด ฟันกุด ฯลฯ ที่ต้องการฝีมือหมอฟันในการดัดแปลงตบแต่งให้เข้าที่เข้าทางกับรูปปาก
ข้อมูลล่าจากหนังสือพิมพ์แจ้งว่า ปัจจุบันเมืองไทยเรามีทันตแพทย์น้อยมาก คือ 2,789 คน ในขณะที่ประชากรของเรานิยมฟันผุกันเยอะมาก คิดคร่าว ๆ ว่าเพียงแค่จะอุดฟันของประชาชนที่เป็นรูรออยู่ให้ครบทุกคน ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 300 ปี
นี่เป็นข้อมูลที่น่าหวั่นวิตก สำหรับสังคมช่องปากของประเทศไทย มีแต่หมอฟันรุ่นใหม่ ๆ เท่านั้นที่จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยทั้งหลาย เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนออกมาต่อสู้กับพ่อค้านายทุน ที่ผลิตลูกอมขนมหวานนานาชนิดให้เด็กกิน และกินฟันของเด็กไปด้วย
แม้ว่าสังคมจะเจริญขึ้น แต่ฟันของคนกลับอ่อนแอลง สถิติของคนเป็นโรคฟันมากขึ้นเรื่อย ๆ
เด็ก ๆ มีขนมทำลายฟันมากขึ้น ผู้ใหญ่ก็มัววุ่นวายกับการดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจที่รัดรึง จนลืมคำนึงถึงสุขภาพในช่องปากของตัวเอง
อาชีพทันตแพทย์กลายเป็นอาชีพที่สังคมต้องการอย่างมาก
หมอฟันจึงเป็นคนที่น่าคบหาสมาคมยิ่งนัก โดยเฉพาะหมอฟันที่มือนุ่ม ๆ ปากหวาน ใจดี ยิ่งน่าสนิทสนม
ผมรักหมอฟันมากขึ้นทุกวัน ทุกวัน
และเชื่อว่าต่อไป ใคร ๆ ก็คงอยากมีแฟนเป็นหมอฟัน เพราะนอกจากจะอุ่นใจตัวเองแล้ว ยังเป็นหลักประกันให้กับฟันของลูก ๆ ได้อีก
เสียดายที่ผมได้สาบานไว้นานแล้ว
เฮ้อ ! เสียดายจริง ๆ
---- kib นักเรียนประถม๑-----
จากคุณ :
dvddiary
- [
13 ก.ย. 47 11:44:05
A:10.20.1.44 X:202.28.27.5 TicketID:057612
]