ความคิดเห็นที่ 48
สวัสดีครับ
อ่านข้อความของน้องเจเจ แล้วอยากบอกว่า เขียนได้เห็นภาพเลยครับ อ่านแล้วเศร้าเลยจริงๆ ผมเพิ่งจะได้รับรู้เรื่องจากคนที่เป็นตั้งแต่เด็ก ๆ นะครับ เพราะว่า ส่วนใหญ่ที่ผมเคยเจอจะเป็นกันประมาณวัยรุ่น อายุประมาณ 20+ บางคนก็เป็นแบบอาการน้อย ไม่ลุกลาม บางคนก็เป็นแบบน้อย ๆ จน ลามไปทั่วร่างกาย เรื่องที่น้องเจเจเขียนมานั้น เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตที่ลำบากของคนที่เป็นโรคนี้ โดยเฉพาะยิ่งเป็นเด็กผู้หญิง ยิ่งลำบากกว่ามาก คนที่เป็นเยอะ ๆ อย่างผมหรือว่าคนอื่น ๆ ก็คงจะเข้าใจดี
วันนี้ผมเอาข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้น้องเจเจ และเพื่อนที่เป็นโรคนี้อ่านดู นะครับ (ขอขอบคุณ คุณน้ำตาลเทียม ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลครับ)
โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ผื่นของโรคจะมีลักษณะเป็นตุ่มหรือปื้นสีแดง ขุยสีขาวคล้ายเงิน ติดค่อนข้างแน่น โรคนี้พบบ่อยประมาณร้อยละ 1-3 ของประชากรทั่วโลก พบในบุคคลทุกเพศทุกวัยและทุกประเทศ ถึงแม้โรคสะเก็ดเงินจะไม่ทำให้เกอดอันตรายถึงชีวิต แต่โรคมักมีผลต่อสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้ป่วย ความก้าวหน้าในการรักษาโรคสะเก็ดเงินในปัจจุบันได้พัฒนาไปมาก ทำให้เราสามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อะไรเป็นสาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อมบางอย่างกระตุ้นให้เกิดอาการแสดงของโรค สิ่งกระตุ้นที่เป็นสาเหตุบ่อยๆ ได้แก่ โรคติดเชื้อ เช่น หวัด การได้รับอันตรายของผิวหนัง เช่น การแกะ เกา ยาบางชนิด และความเครียดต่างๆ แต่มีบางที่ กล่าวว่า เกิดจากเซลล์ของผิวหนังแบ่งตัวเร็วกว่าปกติ ในคนปกติผิวหนังจะใช้เวลาในการเจริญเติบโตประมาณ 28 วัน แต่ในผู้ป่วยโรคนี้จะใช้เวลาเพียง 4 วันเท่านั้น ทำให้ผิวหนังเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์เกิดเป็นผื่นแดง ตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย โรคนี้จะพบมากใน 2 ช่วงอายุ คือ ประมาณ 20 ปี และ 60 ปี
จุดประสงค์ของการรักษา เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่จะทำให้หายขาดจากโรค การรักษาจึงมุ่งไปที่การทำให้ผื่นของโรคดีขึ้นหรือสงบลง พร้อมกับการป้องกันไม่ให้โรคกำเริบโดยหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น อาการจะพบผื่นลักษณะนูนแดงเป็นวงๆ ขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง อาจเป็นวงกว้างขอบเว้าแหว่งเหมือนรูปแผนที่และมีสะเก็ดสีเงินปกคลุม เมื่อสะเก็ดลอกออกจะพบเฉพาะรอยแดง มักจะพบที่ข้อศอก หัวเข่า ฝ่ามือ ฝ่าเท่า หนังศรีษะ มีอาการเป็นมากบ้าง น้อยบ้างแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล บางคนเป็นแค่ 2-3 จุด หรือบางคนอาจลุกลามไปทั่วทั้งตัว สะเก็ดที่เกิดขึ้นจะลอกเป็นขุยขาวที่ศรีษะเป็นรังแคหรือเป็นผื่นขุยหนา อาจพบความผิดปกติที่เล็บ มีเล็บร่อน ไม่ติดกับผิวหรือเล็บขรุขระและถูกทำลายจนหมดไป อาการข้ออักเสบ อาจพบประมาณร้อยละ 7 จะมีอาการข้ออักเสบ ปวด ข้อบวม แดง ร้อน มักเป็นที่ข้อนิ้วข้อสุดท้าย ปลายนิ้ว และข้อต่อบริเวณก้นกบ พบว่า 80 % ผู้ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินที่มีข้ออักเสบจะมีรอยโรคที่เล็บ
การรักษา ต้องคำนึงถึงองค์แระกอบหลายอย่าง เช่น ตำแหน่งของผื่น ความระคายเคืองของยา เศรษฐฐานะของผู้ป่วยเทียบค่าใช้จ่ายในการรักษา และความสะดวกของผู้ป่วยที่จะมารับการรักษา เป็นต้น ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคไม่มากนักอาจเริ่มด้วยการทายาก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียที่อาจเกิดจากยารับประทาน แต่ในกรณีที่เป็นผื่นในบริเวณกว้างมากกว่า 20% ของผิวหนังหรือผื่นค่อนข้างกระจัดกระจาย การทายาอาจจะไม่สะดวก การใช้ยารับประทานหรือการฉายแสงอาจจได้ผลดีกว่า
การรักษาด้วยยาทา 1 ยาทากลุ่มสเตียรอยด์: เป็นยาที่แพทย์ทั่วไปนิยมใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินมากที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ได้ผลเร็ว สะดวกในการใช้และราคาไม่แพง และไม่ระคายเคือง แต่ก็ควรใช้ในระยะสั้นๆ หรือในช่วงที่ผิวหนังกำเริบ เพราะหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจจะเกิดผลข้างเคียงได้หลายประการ เช่น ผิวหนังฝ่อ หลอดเลือดขยายตัว ผิวแตก ผิวด่างขาว และการดื้อยา 2 น้ำมันดิน (Tars): มักให้ผลการรักษาใกล้เคียงกับยาทาสเตียรอยด์ แต่มีข้อเสียที่มีกลิ่นเหม็นและติดเสื้อผ้าดูสกปรก นอกจากนี้ยังระคายเคือง ทำให้ไม่อาจทาบริเวณใบหน้า ข้อพับ และอวัยวะเพศได้ จึงมักจะผสมในแชมพูสำหรับรักษาที่หนังศีรษะมากกว่า 3 ยากลุ่ม Anthralin: เป็นยาที่นิยมใช้ในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะได้ผลดี และทำให้โรคกลับมาเป็นซ้ำได้น้อย แต่ยาก็มีข้อจำกัดในการระคายเคือง และทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้นได้ จึงไม่อาจทาบริเวณใบหน้า ข้อพับ และอวัยวะเพศได้ 4 ยากลุ่มวิตามินD3 ( Calcipotriol หรือ ชื่อการค้าว่า Daivonex) เป็นยาตัวใหม่ล่าสุดที่เป็นที่นิยมทั้งในแถบยุโรปและอเมริกา และในประเทศไทยได้มีการเริ่มใช้ยาทากลุ่มนี้กันบ้าง เนื่องจากให้ผลการรักษาดี รวดเร็วพอๆ กับยาทากลุ่มสเตียรอยด์ ไม่มีสี หรือกลิ่นเหมือนน้ำมันดิน และแอนทราลิน แต่ก็เกิดการระคายเคืองได้เช่นกันแต่น้อยกว่า น้ำมันดินและแอนทราลิน จึงควรระวังเมื่อทาบริเวณใบหน้า ข้อพับและอวัยวะเพศ ในปัจจุบันแพทย์ผิวหนังหลายๆ ประเทศแนะนำให้ใช้ควบคู่กับทายากลุ่มสเตียรอยด์ในช่วงแรกๆ แล้วค่อยๆ ลดความถี่ในการทาครีมสเตียรอยด์ เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น แต่ยาตัวนี้ก็มีข้อจำกัดก็คือ ราคาแพงพอดูทีเดียว (หลอดละ 500 กว่าบาทต่อการบรรจุ 100 กรัม)
วิธีเลือกใช้ยาตามตำแหน่งของโรค ผื่นที่ศรีษะ โดยทั่วไปแล้วการใช้ยาทาพวกสเตียรอยด์ ในรูปของยาน้ำมักได้ผลดี และผลข้างเคียงน้อย วิธีใช้ควรทาวันละ 2 ครั้ง ในกรณีที่ผื่นตอบรับได้ดีต่อการรักษา การใช้หใวกอาบน้ำคลุมหลังทายาสเตียรอยด์จะทำให้ผลของการรักษาดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้เป็นเวลานานเกิน 1 สัปดาห์ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้ การใช้แชมพูขจัดรังแคและน้ำมันดินอาจช่วยให้การเกิดซ้ำช้าลงได้
ผื่นที่หน้า เนื่องจากผิวที่ใบหน้าค่อยข้างบางและเกิดการระคายเคืองได้ง่าย จึงควรงดการใช้ยาที่อาจทำให้เกิดอาการดังกล่าว เช่น แอนทราลิน และวิตามินดี 3 ยาที่นิยมใช้และได้ผลดี คือ สเตียรอยด์ชนิดอ่อนๆ การใช้สเตียรอยด์ชนิดแรง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ง่าย จึงไม่ควรใช้เป็นเวลานาน
ผื่นที่เล็บ โรคสะเก็ดเงินที่เล็บเป็นตำแหน่งที่รักษายาก โดยทั่วไปตัวโรคมักไม่ทำให้เกิดอาการอย่างไร ปัญหาที่สำคัญน่าจะเป็นเรื่องความสวยงามมากว่า การรักษาที่ดีที่สุด คือ การฉีดสเตียรอยด์ที่จมูกเล็บทุก 3-4 สัปดาห์ ประมาณ 4-6 ครั้ง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้
ข้อพิจารณา 1. สิ่งที่กระตุ้นทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงินเป็นมากขึ้น คือ ภาวะเครียดและอ่อนแอของร่างกาย การติดเชื่อ Streptococcus ในลำคอ สุราและยาบางชนิด 2. ยาที่กระตุ้นให้โรคเป็นมากขึ้น คือ lithium, beta blocker, antimalarial, iodides, phenylbutazone, progesterone และ salicylate 3. ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคสะเก็ดเงินให้หายขาด โรคนี้จะเป็นเรื้อรัง การดำเนินของโรคพยากรณ์ค่อนข้างยาก บางครั้งก็ดีขึ้นเอง บางครั้งก็เป็นมากขึ้น การรักษาส่วนใหญ่จะควบคุมอาการของโรคให้ผู้ป่วยสามารถอยู่อย่างมีความสุข ไม่ดูน่าเกลียดจนเข้าสังคมไม่ได้ 4. โรคสะเก็ดเงินจะเป็นมากในช่วงฤดูหนาว และจะดีขึ้นเมื่อฤดูร้อน 5. การใช้ยาเฉพาะที่โดยมาก ใช้ในรายที่เป็นไม่มาก หรือปานกลาง ส่วนในรายที่เป็นมากก็ ต้องใช้การรักษาเฉพาะที่ ร่วมกับการรับประทานยา การฉีดยา หรือการฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ต
ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันโรคกำเริบ 1.หลีกเลี่ยงความเครียด 2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 3.ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนดึก 4.อยู่ในที่มีมีอากาศสดชื่น ไม่แออัด 5.ให้ร่างกายถูกแสงแดดที่ไม่ร้อนจัดบ้างเป็นบางครั้ง 6.รักษาความสะอาดของร่างกาย 7.ป้องกันการติดเชื้อ เช่น หวัด เจ็บคอ 8.ป้องกันไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ผิวหนัง การมีบาดแผลหรือรอยขีดข่วนจะทำให้โรคกำเริบ เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้โรคสงบได้ บางคนอาการของโรคอาจจะสงบอยู่ได้เป็นปีๆ ฉะนั้น ญาติและคนใกล้ชิดควรจะทราบว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ควรแสดงอาการรังเกียจคนไข้ ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีปมด้อยมากอยู่แล้ว ถ้าญาติพี่น้องให้การยอมรับผู้ป่วย จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอบอุ่นใจ นอกจากนั้น การที่ผู้ป่วยได้รับความรู้ที่ถูกต้อง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่ท้อใจว่าทำไมโรคไม่หายขาดสักที และถ้าผู้ป่วยปฏิบัติได้ถูกต้อง ใช้ยาทาหรือยากินที่แพทย์แนะนำ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ ก็จะทำให้โรคสงบอยู่ได้นาน
แหล่งข้อมูล : - โรคสะเก็ดเงิน, ร.ศ. นพ. วิชิต ลีนุตพงษ์ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราช พยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล - โรคสะเก็ดเงิน สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข - เอกสาร โรคสะเก็ดเงิน ที่เพื่อนถ่ายเอกสาร ส่งมาให้ - นิตยสารหมอชาวบ้าน คอลัมน์ ถาม-ตอบ ปัญหาสุขภาพ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2544
จากคุณ :
Endurance
- [
22 พ.ย. 47 16:19:12
A:203.155.228.136 X: TicketID:076740
]
|
|
|