ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/jud/sat/20041104/news.php?news=column_15547070.html
หลังจากเกิดเหตุการณ์ พอหลับไปตอนกลางคืน ก็ตื่นมาเวลาที่เกิดเหตุ ตื่นแบบสะดุ้งตื่น แล้วมองนาฬิกาเป็นเวลาเดิม ใจมันเสีย นี่มันเป็นอาการที่เกิดขึ้น แล้วก็กินไม่ค่อยได้ ทุกครั้งที่นึกถึงภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่อุกอาจมากเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเรา แล้วพยายามปลอบประโลมเรา พูดจากับเราว่า มาดีนะๆ ใครก็ไม่รู้มาใช้คำพูดให้เราสงบลง เพื่อที่จะข่มขืนเรา ให้เราจำยอม
**************************
เคยมีตอนแรก เกิดคำถามขึ้นว่า เราเฉยๆ ไปเลยดีไหม เพราะมันก็แค่นี้ แต่แค่นี้จริงเหรอ มันเริ่มสับสน แล้วบางทีกับคนรอบข้าง รอบๆ ตัวเราล่ะ ที่เขายังมีกรอบวิธีคิดแบบเดิมๆ อยู่ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม บางครั้งบางคำถามคือความห่วงใยของเขาก็จริง แต่มันชวนให้เราเกิดความรู้สึกแบบนี้ว่า ฉันมากเรื่องหรือเปล่า ฉันประสาทหรือเปล่า จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้
**************************
ในสภาวะเช่นนั้นรู้เลยว่าคนที่ถูกกระทำต้องการเพื่อน ต้องการพ่อแม่เข้ามากอด มีคนเข้ามาปลอบโยนว่าปลอดภัยนะ ไม่มีอะไรนะ มากกว่ามานั่งให้ปากคำ
**************************
กลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวกำลังนอนหลับสนิท ท่ามกลางความเงียบเสียงผิดปกติดังขึ้นตรงประตู เธอตกใจตื่นขึ้นมา อย่างไม่คาดฝันร่างของผู้ชายแปลกหน้าพุ่งตรงมาที่เธอ การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น และแม้จะจบลงด้วยร่องรอยตามร่างกายเพียงเล็กน้อย แต่เธอบอกว่า...ถ้าไม่เจอกับตัวเอง จะไม่รู้เลยว่าบาดแผลในจิตใจนั้นมันรุนแรงแค่ไหน โดยเฉพาะหลังจากที่เธอเข้าแจ้งความ และเรื่องเป็นที่รับรู้ของคนรอบข้าง
การกระทำซ้ำ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจคือสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง แต่การปล่อยให้เรื่องเงียบไปเฉยๆ ก็ไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด
แม้ว่าจะมีสถานภาพเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาสตรีศึกษา อาชีพรับราชการ และมีประวัติเป็นนักกิจกรรมตัวยง แต่เมื่อต้องต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง กลับเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย
ถ้าเป็นคนอื่นอาจยอมแพ้ไปแล้ว เพราะเห็นว่าความเสียหายแค่รอยแมวข่วนนั้นไม่คุ้มที่จะแลกกับเวลาและความรู้สึกที่ต้องถูกบั่นทอนตลอดระยะเวลาของการทวงความยุติธรรมตามกฎหมาย
แต่ 'เธอ' เลือกที่จะสู้ต่อ เพื่อให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ของคนอื่นๆ ไม่ว่าถึงที่สุดแล้วตอนจบจะเป็นอย่างไร
เนื่องจากเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนดำเนินคดี เธอจึงขอให้ความเห็นโดยไม่เปิดเผยหน้าตาและชื่อเสียงเรียงนาม เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
อยากให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังอีกครั้งค่ะ
ก็คือเป็นช่วงที่ตัวเองลาพักร้อน ที่จะทำรายงาน ทำการบ้านส่งอาจารย์ ปกติก็จะระมัดระวังตัวเองอยู่แล้ว เวลานอนก็จะลงกลอนด้วย
ปกติอยู่คนเดียว?
ใช่คะ อยู่คนเดียว เป็นห้องพักที่อยู่ในที่ทำงาน พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังต้องทำรายงานส่งอาจารย์ แล้วก็เผลอหลับไปตอนช่วงหัวค่ำ กะว่าจะตื่นมาตอนดึก เพื่อจะมาอ่านหนังสือต่อ ทำรายงานต่อ บังเอิญว่าวันนั้นได้ยินเสียงดังมากที่ประตู เราก็ตื่นขึ้นมา สิ่งที่เห็นก็คือภาพของผู้ชายคนหนึ่งตัวโตๆ ซึ่งตอนหลังก็คุ้นหน้ากันดีว่าเป็นใคร ก็ใช้มีดงัดประตูเข้ามา แทนที่เห็นแล้ว อย่างคนแอบดูคนอาบน้ำ พอคนรู้ตัวเขาจะหนีไป แต่นี้ไม่ใช่ เขาวิ่งเข้ามา แล้วประตูด้านในกับประตูด้านนอกมันตรงกันพอดี แล้วตัวเองคืนนั้นคือว่าไม่ได้ปิดประตูด้านใน
หมายถึงประตูห้องนอน?
ใช่ แล้วเขาก็พุ่งเข้ามาเลยที่ประตูด้านใน แล้วก็ดันประตูกัน เขาก็ไม่ยอม จังหวะหนึ่งเขาโถมเข้ามา มาล็อคกันอยู่หลังประตูด้านใน ห้องก็ไม่ใช่ห้องขนาดใหญ่ ประมาณ 3 คูณ 3 เมตร พอหลุดเข้ามาทางด้านหลังประตู ก็คือจังหวะที่เราจะพยายามใช้มือที่เราว่างอยู่ดึง เขาก็พยายามที่จะใช้มือดัน ตลอดเวลาเราร้องเสียงดังมากไม่หยุดเลย ด้วยความตกใจ เขาก็พยายามจะปิดปากไม่ให้ร้อง และพยายามพูดเกลี่ยกล่อมว่าเขามาดี แต่ลักษณะท่าทางคือจะเหวี่ยงลงเตียง เหวี่ยงลงที่นอน เราก็ต่อสู้ ให้อยู่ในจังหวะที่ไม่ให้เขาเหวี่ยงได้ แล้วก็ปิดปาก แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือพยายามจะอ้าปากกัดมือเขา
พอดีจังหวะหนึ่งมือเราก็ตะปบไปโดนช่วงท้องน้อยของเขา สัมผัสได้ถึงด้านบน... มันมีลักษณะความแข็งตัว เขาค้างอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็วิ่งออกไป ตอนนั้นมีคนเดินผ่านมาเขาได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง ก็เลยถามผู้ชายคนนั้น เขาก็ตอบว่าไม่มีอะไรๆ แล้วก็ไป
ที่คุณอยู่เป็นหอพักรวม?
เป็นหอพักรวม คือจริงๆ แล้วส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง แต่ผู้ชายที่จะมาก็คือมาเยี่ยมเพื่อนบ้าง มากับแฟนแล้วก็จะกลับ
พอหลังเกิดเหตุการณ์แล้วคุณทำอย่างไรต่อไป
มันตกใจมาก ในชีวิตไม่เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ยอมรับว่าร้องชนิดที่ว่า ร้องเสียงหลง ร้องเสียงดังมากๆ ไม่เคยร้องตะโกนดังขนาดนี้ในชีวิต ปกติเป็นคนพูดเบา ก็ร้องดังมากๆ พอเขาหลุดออกไปได้ สิ่งที่ทำได้อันดับแรกก็คือตามเขาไป เพื่อที่จะล็อคประตูลงกลอน แล้วเข้ามาล็อคประตูด้านใน และลงกลอน กลัวมาก ใจสั่นไปหมดเลย ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งอยู่ในห้อง และพยายามโทรหาคนที่รู้จักเท่าที่จะโทรได้
หลังเกิดเหตุการณ์ได้แจ้งความหรือเปล่า
ตอนแรกโทรไปที่ศูนย์ (ของหอพัก) เพื่อที่จะติดต่อกับยาม ปกติก็มีเจ้าหน้าที่อยู่ตลอด แต่วันนั้นโทรไป 2-3 ครั้งไม่มีคนรับสาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสร็จแล้วก็โทรไปแจ้งความ โทรไป 191 ก็ไปติดที่นครปฐม เขาก็บอกว่าให้โทรไปที่หลังองค์พระ หลังองค์พระก็บอกให้โทรไปที่ทวีวัฒนา เพราะว่าอยู่เขตทวีวัฒนา ก็ทำตามที่เขาบอก สุดท้ายก็โทรไปที่ทวีวัฒนา ตำรวจก็บอกว่าให้ไปดำเนินการแจ้งความที่โรงพักได้เลย แล้วสามารถไปแจ้งความพรุ่งนี้ก็ได้ นี่คือสิ่งที่ตำรวจให้ข้อมูลมา
กว่าจะถึงเช้า?
คือหลังจากนั้นก็โทรหาญาติที่บ้าน พอเขารับสายเสร็จเขาก็ขับรถมา เพื่อที่จะรับไปแจ้งความที่ สน. พอไปที่ สน. พนักงานสอบสวนก็ทำตามกระบวนการของเขา คือบันทึกปากคำ เราก็เอาหลักฐานที่เขาทิ้งเอาไว้ให้ตำรวจ แล้วเขาก็ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เก็บหลับฐานเพิ่มเติม คืนนั้นเลยไม่ได้นอน
หลักฐานที่มีคืออะไรบ้าง
เป็นมีดที่เขาใช้งัดประตู แล้วก็รอยเท้า บังเอิญว่ากระดาษแผ่นหนึ่งมันตกอยู่ แล้วเท้าเขาเปื้อนโคลน มาเหยียบพอดี มันก็เป็นรอยเท้าชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้เราก็มองว่าเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างสำคัญ ก็เอาสองตัวนี้ไปให้เขา แล้วเขาก็มาถามเพิ่มเติมว่าสถานที่เกิดเหตุมันคือตรงไหน หลักฐานที่เราได้มาจากตรงไหน ก็สอบปากคำเพิ่มเติมจนถึงเช้า
ตอนสอบปากคำเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนกับที่เคยได้ยินได้ฟังมามั้ย
คือบางประโยคที่เขาพูดขึ้นมามันทำร้ายจิตใจเราโดยที่เขาไม่รู้ตัว อย่างเช่น พอดีน้องสาวมาด้วย ก็พยายามจะเอนเตอร์เทน ไม่ให้เครียด ไม่ให้ตกใจ เพราะเห็นว่าท่าทางซีดไปหมดแล้ว ก็พยายามจะแซวกันตามประสาบ้านเราว่า แหม น่าจะให้เขาไปสัก 2 พัน อะไรอย่างนี้ แฟนก็ไม่มี มาทำแบบนี้ คือแซวตามประสาบ้านเราให้สนุก
บังเอิญว่าพนักงานสอบสวนเขาได้ยิน ก็แซวต่อมาว่า อ้าว...เห็นน้องสาวว่าไม่เคยมีแฟนไม่ใช่เหรอ เคยได้ยินไหมโบราณเขาว่า คนสมัยก่อนเขาได้เมียกันมาโดยวิธีการอย่างนี้แหละ คิดว่าเขาแอบชอบเรานะ ซึ่งมันเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกันเลยโดยสิ้นเชิง คือเวลานั้นเราไม่มีเสียงแล้ว ต้องมาตอบคำถามเขาเยอะมาก แล้วคำถามที่เขาตั้งมาฟังดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น แต่ก็ต้องตอบ เหนื่อยมาก บางครั้งน้ำตาตกใน เศร้ามากในเวลานั้น อยากให้ใครสักคนกอดเรา เพราะมันตกใจมากๆ แต่ว่าเราต้องมานั่งตอบคำถามพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้ชาย แล้วต้องมีคำถามแบบ โห..เขาแอบชอบเราเปล่าอะไรอย่างนี้
บางคำถามมันล่อแหลมไปจนถึงแบบทำอะไรอยู่ตอนนั้น มันทำให้เราเกือบจะนึกไปถึงว่าเขาจะถามไหมนะว่าเราอยู่ในชุดอะไร แต่พอดีที่เขาไม่ได้ถาม แต่คำถามมันชวนจะไปทางนั้นแล้ว
หมายความว่าชวนให้คิดว่าเราไปทำอะไรที่ล่อแหลม?
ใช่ ทั้งวันคุณออกไปไหนมา อะไรอย่างนี้ ออกไปไหนแล้วยังไง คือถ้าวันนั้นเราออกไปไหนทั้งวัน แล้วยังไง คือเขายังมีกรอบวิธีคิดเรื่องของการที่ผู้หญิงถูก Harassment (คุกคาม) ในกรอบเดิมอยู่ คือ มองว่าผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายยั่วยุ ผู้หญิงจะต้องเป็นตัวกระตุ้น ผู้หญิงเป็น Sex object ทั้งหมดเหล่านี้มันยังอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ ของเขา และมันนำมาสู่การตั้งคำถามของเขากับเรา ซึ่งมันเจ็บปวดเหมือนกัน ก็แบบพูดกับพี่เขาดีๆ ว่าพี่หนูไม่ขำนะคะ เขาก็บอกว่าอยากให้เราเอนเตอร์เทน อะไรอย่างนี้ เราก็มองว่ามันไม่ใช่ และถึงจะรักชอบพอยังไงก็ไม่ควรใช้วิธีการแบบนี้ ถูกไหม ก็เลยมองว่าพี่เขาตั้งคำถามแบบติดอยู่กับกรอบเดิมๆ อย่างฝังแน่น ทั้งที่กฎหมายใหม่เขาก็ออกมาแล้ว สามียังข่มขืนภรรยาไม่ได้เลย
ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์แล้วก็เรียนปริญญาโทสตรีศึกษาด้วย ต้องเคยได้ยินเรื่องกระบวนการสอบสวนในลักษณะนี้แล้ว พอเจอกับตัวเอง ช่วยให้ตั้งรับสถานการณ์ได้ดีขึ้นมั้ยคะ
คือมันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เข้าใจว่ามันเป็นยังไง มันน่ากลัวยังไง มันหวาดผวายังไง เข้าใจอารมณ์นั้น เพราะไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต บังเอิญคำถามแรกเลยที่ไปเจอพนักงานสอบสวน ทำไมเพิ่งมาแจ้งความตอนนี้ เกิดเหตุเมื่อไร เราก็บอกว่าเที่ยงคืนกว่าๆ แล้วทำไมเพิ่งมาตอนนี้ มาช้ามาก ทั้งที่ตอนโทรศัพท์ตำรวจอีกคนหนึ่งบอกว่าให้มาตอนเช้าก็ได้
เรียกว่าสิ่งที่ตามมาหลังเกิดเหตุแย่พอๆ กัน?
คืออย่างนี้ ปรากฎว่าภรรยาเขาทำงานที่เดียวกัน แต่เราเพิ่งมาอยู่ตรงนี้ ก็เลยไม่ทราบ คุยกับคนอื่นถึงได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีลักษณะอย่างไร สร้างปัญหามาเรื่อยๆ ที่สำคัญคือภรรยาจะปกป้องเขา ไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือสามี ปฏิเสธว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก สามีนอนอยู่ข้างเขา แล้วก็พยายามจะพูดว่าเราทำงานที่เดียวกัน ไม่ควรที่จะมีเรื่องกัน ให้มันผ่านๆ ไปเหอะ
การที่เรามาแจ้งความ รู้ไหมว่าทำให้ตัวเขา สามีของเขา และสถาบัน หมายถึงที่ทำงานเสียชื่อเสียง เขามองอย่างนี้ เราก็พยายามชี้แจงว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำ เราเป็นเหยื่อ เราถูกสามีคุณกระทำ เราต้องอยู่ในอาการแบบนี้ แล้วเราเครียดกับการที่ต้องทำรายงานส่ง ถามว่าใครมาสนใจเรา ใครมาดูแลเราเรื่องแบบนี้ เขาไม่สนใจ พยายามตำหนิว่าเราเป็นคนทำให้เขาเสื่อมเสีย
ทุกวันนี้ก็ต้องเจอหน้าภรรยาและตัวคนที่พยายามจะทำร้ายเราอยู่?
เจอหน้าภรรยาเขาอยู่ คือหลังจากเกิดเหตุ กรรมการบริหารที่ทำงานทราบเรื่อง คนนี้อีกแล้วเหรอ เขาก็ไปที่ส.น.บอกพนักงานสอบสวนว่าต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด เพราะว่าคนนี้เคยมีประวัติแบบนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ให้ความเชื่อมั่นว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด คิดว่าหลักฐานเพียงพอ แต่เราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมตำรวจไม่มาเก็บลายนิ้วมือ หรือรอยเท้าเพิ่มเติม แค่ถ่ายภาพที่เกิดเหตุ แค่เก็บหลักฐานที่เราส่งไปให้พิสูจน์ แล้วก็พูดทำนองว่ามันก็เพียงพอแล้ว แค่นี้ก็ชัดเจนแล้ว
หลังจากเกิดเหตุในคืนนั้น สภาพจิตใจเป็นอย่างไรบ้าง
กลับมาที่พัก ก็ไปนอน ระหว่างที่นอน มันไม่ใช่การนอนหลับแบบเพลีย แต่เป็นการนอนแบบผวาตลอด คือร่างกายจะตื่นตัวตลอด มันเป็นผลกระทบหลังจากเกิดเหตุการณ์ พอหลับไปตอนกลางคืน ก็ตื่นมาเวลาที่เกิดเหตุ ตื่นแบบสะดุ้งตื่น แล้วมองนาฬิกาเป็นเวลาเดิม ใจมันเสีย นี่มันเป็นอาการที่เกิดขึ้น แล้วก็กินไม่ค่อยได้ ทุกครั้งที่นึกถึงภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่อุกอาจมากเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเรา แล้วพยายามปลอบประโลมเรา พูดจากับเราว่า มาดีนะๆ ใครก็ไม่รู้มาใช้คำพูดให้เราสงบลง เพื่อที่จะข่มขืนเรา ให้เราจำยอม โอ้โห...ความรู้สึกตรงนั้น คิดต่อไปว่าถ้าเขาสามารถที่จะกดเราลงไปได้ และทำกับเราแบบนั้นได้ เราจะยิ่งกว่านี้อีก
อารมณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นความโกรธแค้นหรือว่า...?
หลายอย่าง ทั้งแค้น ทั้งโกรธ ทั้งตกใจ หวาดผวา วิตกกังวล มีหลายๆ อารมณ์รวมกัน หลังจากนั้นหมอก็เลยให้ทานยา ซึ่งยาตัวนี้มีผลข้างเคียงทำให้เราเบลอ ไม่ต้องคิดมาก
แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 47 10:43:24