CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    โพสท์อีกครั้งตามคำเรียกร้อง---เพื่อนผม SEX เสื่อมเพราะกระทรวงมหาดไทย -- ฉบับปรับปรุง-- เรื่องสั้นเล่าสู่กันฟัง

    เพื่อนผม SEX เสื่อมเพราะกระทรวงมหาดไทย

    (หมายเหตุ จำเป็นต้องใช้ชื่อสมมุติ แทนชื่อจริงสำหรับบุคคลในเรื่องที่เขียนนี้ เพราะว่า ปัจจุบัน บุคคลเหล่านี้มีชื่อเสียงในประเทศไทย และมีการมีงานทำเป็นหลักแหล่ง มิหนำซ้ำยังรวยกว่าผมซะอีก)

    เมื่อปีกลาย ผมได้มีโอกาสกลับเมืองไทย เพื่อไปพักผ่อนหลังจากที่ทั้งปีคนๆ นี้ได้ทำงานตรากตรำเสียภาษีให้รัฐบาล ตามกำลังที่ราษฏรตาดำๆ คนหนึ่งพึงจะทำได้ ผมได้มีโอกาสพบปะเพื่อนรักคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อตะก่อนโน้นสมัยเป็นเด็กเราเคยเรียนอยู่ด้วยกันที่ จอร์เจียน คอเลจ เมือง แบรี่ ริมฝั่งทะเลสาบ ซิมโค่ ในจังหวัด ออนตาริโอ แคนาดา –เพื่อนผมคนที่ว่านี้ชื่ออ๊อด ทันทีที่เค้าได้รับโทรศัพท์จากผม จึงรีบขับรถมาจากแถวฝั่งธน เพื่อมารับถึงท่าอากาศยานหมอชิต(นิกเนม ที่พวกเราเคยบัญญัติขึ้นแทน ดอนเมืองในตอนเป็นเด็ก เนื่องจากไม่เห็นวี่แววว่าสนามบินหนองงูเห่าจะเป็นรูปร่างซะที)

    อ๊อดได้เอาชื่อผมไปอ้างกับภรรยาเพื่อหาโอกาสออกนอกบ้าน ทันทีที่เราเจอกัน ความทรงจำเก่าๆ ก็พรั่งพรูออกมา เหมือนกับว่าวันต่างๆ เพิ่งผ่านไปเมื่อวานซืนนี้เอง ในระหว่างสนทนาในคอฟฟี่ชอปที่บริเวณสนามบินดอนเมือง มีเพลง ๆหนึ่งดังขึ้นมาแทรกคำพูดเราทั้งสอง เนื้อความในเพลง จำได้คร่าวๆ ว่า “She takes just like a woman, and she makes love like a woman, and she aches just like a woman, but she breaks just like a little girl” จำได้คลับคล้ายคลับคาว่าเป็นเพลงของ Bob Dylan (รึเปล่า) เราหันมามองหน้ากัน แล้วหยุดจังงัง ทั้งนี้เมื่อตอนเป็นเด็กผมเคยร้องเพลงนี้ล้อเลียนอ๊อดอยู่พักใหญ่ หลังจากที่เราประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ว่าความหลังยังสร้างบาดแผลในใจให้เพื่อนอ๊อดของผมจนถึงทุกวันนี้ เรื่องมีอยู่ว่า

    ตอนนั้นเราสองคนอายุราวๆ 18-19 เป็นช่วงกลับบ้านระหว่างปิดเทอมภาคเรียน จำได้ว่าเราเดินทางมาถึงดอนเมืองก็ค่อนข้างดึกแล้ว ราวๆ 4 ทุ่มได้ หลังจากที่เราแลกเงินไทยกันได้คนละ สองพันกว่าบาท จึงหาวิธี ที่จะทำให้คืนนี้ผ่านไปด้วยความเถิดเทิง ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน อ๊อดเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด อยากสร้างความประทับใจให้กับผม เค้าจึงได้ขันอาสาพาขึ้นรถแทกซี่ไปร้านยาดองของคนรู้จักเค้าแห่งหนึ่งเพื่อฝากกระเป๋าสัมภาระต่างๆ ของเรา

    มาร้านยาดองซึ่งก็แน่นอน จอกแรกของเราเริ่มด้วยการจิบเหล้าดองยา

    ในที่นี้คนรู้จักของอ๊อดได้บรรยายสรรพคุณของเหล้าดองยาแต่ละโหล ซึ่งแต่ละอันมีชื่อโฆษณาเกินจริง อาทิเช่น สาวน้อยตกเตียง –สาวน้อยร้องไห้-ม้ากระทืบโรง-โด่ไม่รู้ล้ม ลังเลอยู่นานและแล้วเราสองคนตัดสินใจประเดิมด้วย “โด่ไม่รู้ล้ม” ซึ่งเจ้าของร้านได้โม้ทับเอาไว้ว่า “อย่าหาว่าผมคุยนะครับ ไอ้เนี่ยอ่ะสุดยอดจริงๆ ขนาดที่ว่าตอนจะดองนา ผมเทตัวยาใส่ในโหล แล้วซองเปล่าขว้างทิ้ง สักพักมีหมาเดินมาดมๆ ซองเปล่าที่ทิ้งไป ไม่ทันไรเลย หมาตัวนั้นวิ่งไปกระดึ๊บๆ กับเสาไฟฟ้า” ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่อยากขัดคอเจ้าของยาดอง

    เสร็จสรรพพอได้ที่จากร้านยาดอง เราสองคนจึงมุ่งตรงไปแหล่งราตรีที่อ๊อดวางแปลนเอาไว้ ที่นั้นคือซอยพัฒพงษ์ เราจัดแจงได้โต๊ะพร้อมกับสั่งเบียร์มานั่งดื่ม--- ผมรู้นิสัยขี้หลีของอ๊อดดี ประจุบันนี้พอจะทับศัพท์อังกฤษได้ว่า “Pot Face” จิบเบียร์ไปได้สักอึดใจอ๊อดก็เอ่ยปาก ชวนน้องๆ โต๊ะข้างๆ มานั่งดื่มด้วย โดยบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากเลี้ยงเหล้าสาวๆ ---สามสาวก็ว่าง่ายเหลือเกิน ตกลงปลงใจย้ายโต๊ะมาร่วมอย่างไม่รอช้า ผมรู้ตัวดีว่าผมทำให้ค่าเฉลี่ยความหล่อระหว่างเราสองคนลดลงมาก จึงพยายามสงบปากคำ ปล่อยให้อ๊อดทำหน้าที่คุยกับสาวๆ ไป สักพักใหญ่ สองสาวในนั้นก็ขอตัวกลับไป เหลืออยู่สาวเดียว คือคนที่อ๊อดให้ความสนใจมากเป็นพิเศษนะแหล่ะ

    เวลายิ่งผ่านไป จากดึกเป็น เที่ยงคืน จากเลยเที่ยงคืนเป็น ตีหนึ่ง เบียร์ขวดแล้วขวดเล่าพร้อมกับแกล้มทยอยเข้ามาที่โต๊ะของเรา แล้วผ่านออกไปเป็นขวดเปล่าและจานเปล่า ผมได้สังเกตเห็นความงอกงามของสัมพันธไมตรีระหว่างสองคนนั้น  จากที่นั่งคนละหัวมุมโต๊ะ เปลี่ยนเป็นขยับมาเป็นนั่งใกล้กัน แล้วก็นั่งเบียดกันในที่สุด พร้อมกับหยอกเย้า หัวร่อต่อกระซิก จนผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน แต่ก็ไม่รู้จะไปใหน จำใจต้องทนนั่งอยู่ตรงนั้น ในระหว่างที่หล่อนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ อ๊อดหันมาพูดเบาๆว่า ไอ้โด่ไม่รู้ล้มที่กินไป ได้ผลจริงแฮะ—ผมออกความเห็นค้านกับอ๊อดว่า มันเป็นเรื่องจิตใจมากกว่า รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น นายน่ะ ทั้งกอด ทั้งล้วงสารพัดกับแม่คนนั้น ไม่ใช่ยาดองหรอก--

    ตีสองเศษๆ ความรักทั้งสองเริ่มสุกงอม สาวเจ้าเลยเอ่ยปากชวนไปที่คอนโดของหล่อน ซึ่งพวกเราก็เห็นด้วย เนื่องจากว่างบประมาณร่อยหรอลงแล้ว เงินที่แลกมาระหว่างเราสองคนก็ใกล้หมด แต่ก็ยังพอมีเหลือเป็นค่าแทกซี่ไปที่พักของน้องคนนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

    คอนโดของหล่อนนั้นเป็นห้องสำหรับพักอาศัยง่ายๆ คือมีห้องรับแขกและก็เป็นห้องนอนเลย ยังดีที่มีโซฟาอยู่ในห้องรับแขกพอให้ผมได้พิงกาย ล้มนอน เป็นยามเฝ้าหน้าห้องของสองคนนั้น

    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องนอนบนโซฟา แล้วทนฟังคนทำกิจกรรมส่วนตัวกัน ซึ่งพารากราฟต่อไปนี้ ผมไม่ควรเขียนบรรยายให้ชัดเจน เพราะนอกจากจะโดน “ตบยึด” อมยิ้มจากทีมงานคุณวันฉัตรแล้ว ไม่แน่อาจจะมีลูกเล็กเด็กแดงเปิดเข้ามาอ่านก็ได้  จึงขอนำเอาบันทึกของเชลยสงคราม(POW) คนหนึ่ง ในสมัยสงครามโลก มาบรรยายแทน ซึ่งเนื้อหาน่าจะใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมอยากจะบอก ถอดความจากอังกฤษเป็นไทย ความว่า:

    “ข้าพเจ้าทราบชะตากรรมของเพื่อนร่วมชาติคนนี้เป็นอย่างดี เขาได้ถูกกระชากเข้าในห้องสอบสวน ซึ่งมีไฟสลัว ผู้ถืออำนาจนั้น ปิดประตูกระแทก ไม่ใยดีต่อสายตาห่วงใยในเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า โสตประสาทจะปิดลงไปได้อย่างไร ในเมื่อการทารุณกรรมเริ่มขึ้น เริ่มจากคำไต่สวนของผู้อยู่เหนืออำนาจ ที่ปนกับเสียงหัวเราะอย่างไม่มีมนุษย์ที่ใหนพึงกระทำ ไฟฟ้าเริ่มริบหรี่แสง อันเป็นผลมาจากการใช้พลังงานเกินกำหนด ข้าพเจ้าจำได้ติดหูกับเสียงของเพื่อนที่ร้องครวญครางอย่างดัง แล้วผ่อนเสียงลงเบาๆ ดำเนินไปแบบนี้เป็นทอดๆ  ข้าพเจ้าพอนับครั้งได้ การทรมานไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว ตลอดเกือบรุ่งสาง เสียงจึงเงียบสงบลง”

    ราวๆ หลังเพลงชาติร้องได้ ผมได้ยินเพื่อนผมลุกขึ้นมา ท่าทางกระชุ่มกระชวย พลางส่งเสียงพูดคุยกับสาวเจ้าคนนั้น ซึ่งหล่อนในขณะนี้กำลังอาบน้ำอยู่ ได้ยินอ๊อดพูดดังๆ ว่า “ผมจะลงไปซื้ออะไรมากินกันนะครับ” อ๊อด ส่งเสียงหวานส่งทะลุผนังห้องน้ำไปหาหล่อนและคุยอะไรกันกุ๊กกิ๊กตามประสา ผมพยายามทำหูทวนลมและอีกอย่างผมหิวด้วย เลยไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งที่อ๊อดคุย

    สักพัก อ๊อดวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากห้อง “เควิน ไป ป่ะ รีบออกไปกันเร้ว เร็วเข้าก่อนที่เค้าจะออกจากห้องน้ำมา”

    อ๊อดรีบดึงแขนผมให้ลุกขึ้น แล้วพาผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องนั้น เหมือนจะหนีอะไรบางอย่าง พอเราพ้นรัศมีของนิวาสถานแห่งนั้นมา ได้สักระยะ

    เราสองคนก็มาหยุดเอาตรงฟุตปาท ผมทั้งที่งงไปหมดพอหายใจทั่วท้องผมจึงยิงคำถามถึงอ๊อดทันที ---อ๊อด บอกว่า ตอนที่เค้าคุยกับหล่อน เรื่องไปซื้ออะไรมากินกัน อ๊อดรบกวนเค้าเพราะว่าเงินไทยได้ใช้ไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อคืน เลยขอยืมเงินของหล่อนไปซื้อของมากินก่อนนะ หล่อนก็ไม่ได้ว่าอะไรและบอกให้ว่า ไปหยิบเอาในกระเป๋าตังค์ที่วางอยู่บนหัวเตียง และทันทีที่อ๊อดเปิดกระเป๋าจะหยิบเอาเงินก็เจอบัตรประชาชน แต่ว่าชื่อหล่อนขึ้นต้นด้วย นาย...... อ๊อดเลยวางกระเป๋าตังค์ไว้ที่เดิมแล้วรีบเผ่นออกมาโดยไม่ได้แตะต้องเงินของหล่อนแต่อย่างใด  

    “เฮ้ย! พูดเป็นเล่นไปได้น่า อ๊อด”  ผมแย้ง --- “จริ๊งๆ เราตรวจดูละเอียดแล้ว รูปในนั้นน่ะใช่เค้าเลย แต่ชื่อเป็นชื่อผู้ชายว่ะ”  อ๊อดยืนยัน

    เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากกระเทยแปลงเพศ อ๊อด ฟันธง..  แล้วการที่หล่อนไม่มีลูกกระเดือกล่ะ แล้วเสียง
    ก็เสียงผู้หญิง เราส่ายหัว เทคนิคการศัลยกรรมช่างทำได้เหมือนเหลือเกิน แนบเนียนมาก หรือว่าเพราะความเมาก็ไม่รู้ ทำให้เป็นไปถึงเพียงนี้

    ความผิดพลาดครั้งนี้เราไม่โทษใคร แต่โทษกระทรวงมหาดไทย สำนักงานทะเบียน ที่ไม่ยอมให้หล่อนเหล่านี้เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ ทั้งที่เปลี่ยนเพศไปแล้ว ประเทศที่ใหนในโลก อเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ  ยอมให้หล่อนเปลี่ยนเป็น นส.ได้ถ้าพวกหล่อนอยากจะเปลี่ยน แต่รัฐบาลไทยใจแคบไม่รู้จะคงความเป็นนายเอาไว้ทำไม อีกอย่างแม้แต่ทอมบอยบางคน หลังจากที่ผ่านการตรวจสภาพจิตใจโดยจิตแพทย์ และกินฮอร์โมนชายเข้าไปได้ที่ เค้าก็ผ่าตัด ติดตั้งขีปนาวุธ(ไม่ทราบว่าได้มาจากใหนเหมือนกัน เคยดูแต่ในสารคดีดิสคัพเวอรี่ ไม่บอกที่มาของอาวุธด้วย) อย่างไรก็ดีทอมบอยที่ว่าเหล่านั้นก็มีสิทธิเปลี่ยนมาเป็นนายได้ด้วย ......  และนี่ถ้าหากหล่อนคนนั้นเปลี่ยนเป็น นส. แล้วในวันนั้นนะ  ข้อดีก็คือว่า เราไม่ต้องได้อดข้าวกันในเช้าวันนั้น และเพื่อนผมก็ไม่ต้องรับรู้และต้องคิดมากมาจนทุกวันนี้ อ๊อดยอมรับว่าทุกครั้งที่เค้าคิดที่ไร น้องชายประท้วงหยุดงานทุกที...  

    ทุกครั้งเหมือนกันที่ผมได้ยินเพลงร้องว่า “I just don’t fit, Yes, I believe it’s time for us to quit,
                                                                      And when we meet again introduced as friends,
                                                                       Please don’t let on that you knew me when
                                                                       I was hungry and it was your world.

                                                                   You take just like a woman, and you take like a woman, yes you do
                                                                 And you MAKE LOVE LIKE A WOMAN, yes you do……….

    And then you ache just like a woman….but you break just like a                                           little girl…….
    ผมอดคิดไม่ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น.....................  จบ

    ***********************************************************************************
    ขอขอบคุณ – คุณ เจจี ที่ให้ความกระจ่างในเพลง Just Like A Woman (Bob Dylan)
    คุณ แฟนใหม่ / ป้าเอม / PatPDX / นิช / และแฟนๆ ที่ติดตามอ่านทุกท่าน พิเศษสุด คุณอัปสร(นิด้า) / น้องจิ๊ป พีอาร์ ที่ติดต่อสำนักพิมพ์ให้

    เกี่ยวกับผู้เขียน
    นามแฝง – เควิน ลี
    ชื่อจริง – Kevin Lee Yuta
    เกิด - - 25 April 197
    สัญชาติ – ไทย/ออสเตรเลี่ยน
    ที่อยู่ – Melbourne, VIC, Australia
    การศึกษา – คอมพิวเตอร์ เน็ตเวิร์ก Georgian College, Ontario Canada
              --วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ University of Toronto, Ontario Canada
    แนวการเขียน – ฮิวเมอร์—เรื่องสั้น
    หนังสือ/นิตยสาร ที่ชอบอ่าน—National Geographic
    นักเขียนในดวงใจ – Thom Hartmann, Neal Donald Walsh, ชัยชนะ โพธิวาระ
    งานอดิเรก—ดูหนัง/แคมปิ้ง
    ความใฝ่ฝัน—ทำงานให้กับ NASA (แฮ่ะๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่งั้นจะเรียกว่าฝันเร๊อะ)

    จากคุณ : เควิน ลี - [ 1 ธ.ค. 47 23:47:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป