ดี-เด่น-เกินไป ภัยมาถึงตัว---เรื่องสั้นเล่าสู่กันฟัง
เพื่อนรุ่นน้องของผมคนหนึ่งชื่อ วสันต์ หนุ่มสายเลือดไทยที่ยึดอาชีพนักวิทยาศาสตร์ ทำงานให้กับองค์กรของรัฐ งานของเค้าไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมายคือวันๆ มีหน้าที่เก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบ เพื่อหาสิ่งเจือปน- สารพิษหรืออะไรสักอย่างซึ่งคนกะโหลกหนาอย่างผมไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้ เพราะผมไม่มีความรู้ด้านนี้ รู้แต่เพียงว่า วสันต์ มีหน้าที่ดูแลสิ่งแวดล้อมและป้องกันมลพิษเท่านั้น
วสันต์ขับรถมาจาก จีลอง (Geelong) เมืองชายฝั่งทะเลอันสวยงามทางใต้ของเมลเบิร์นราวๆ 80 กม. เพื่อมาเยี่ยมผมเพื่อพูดคุยปรับสารทุกข์สุกดิบแลกเปลี่ยนกันฟัง เป็นธรรมดาครับที่จะต้องลดความฝืดของการสนทนาด้วยแอลกอฮอล์ สารหล่อลื่นสังคมชนิดเดียวที่จะทำให้การพูดคุยเป็นไปด้วยความคล่อง ไม่ติดขัด ไม่เกี่ยงกันพูด ยิ่งไปกว่านั้นแย่งกันพูดอีกด้วยซ้ำไป
ที่กินเหล้าทุกวันนี่นะ หาได้ชอบรสชาติของเหล้าซะเมื่อไหร่ แต่ชอบบรรยากาศที่เหล้ามันสร้างให้ตะหาก ที่ว่าไปนั้นคือข้อแก้ตัวที่พวกเราใช้กันมาแสนนาน ว่าแล้วเราจึงลงขันกันเพื่อไปซื้อชิวาสจากร้านเหล้าหลังบ้านผมทั้งนี้เพราะว่าเหล้าไทย แม่โขงและแสงทิพย์ พากันขึ้นราคาพรวดพราด เมื่อก่อนนี้ยังพอซื้อได้ในราคา 13 ดอลล่าร์ แต่พักหลังๆ พากันขึ้นเป็น 17-18 ดอลล่าร์ ถือว่าเป็นการทำร้ายจิตใจผู้บริโภคอย่างให้อภัยไม่ได้ วันนั้นพวกเราจึงถือโอกาสนอกใจเหล้าไทยสักครั้ง
วสันต์เป็นเด็กขยันขันแข็ง พ่อแม่ส่งให้มาเรียนตั้งแต่มัธยมแล้วที่ จีลอง แกรมม่า สกูล จากนั้นเค้าได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย จบเป็นบัณทิตแล้วก็ใช้ความสามารถแลกขอวีซ่าอยู่ทำงานและอาศัยถาวรที่ออสเตรเลีย ติดเกาะมาจนทุกวันนี้--- จีลอง แกรมม่า สกูล ที่วสันต์เคยเรียนนั้นเป็นโรงเรียนกินนอนที่มีชื่อเสียงมาก ทางด้านคุณภาพของนักเรียนที่จบออกมาและสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย
ผู้ที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นอย่างมากท่านหนึ่งก็เคยมาเรียนที่นี่สมัยท่านเป็นเด็ก นั่นคือ ดร มีชัย วีระไวทยะ ผู้ทำงานด้านวางแผนครอบครัวอย่างเหน็ดเหนื่อยจนประสบความสำเร็จ ที่หลายๆ คนในเมืองไทยรู้จักผลงานท่านในเรื่องการคุมกำเหนิดจาก ถุงยางมีชัย
วสันต์คุยให้ฟังว่า พี่ ถุงยางมีชัยน่ะ ประสบผลสำเร็จเฉพาะกลุ่มคนในเมืองเท่านั้นแหล่ะ
ผมเกิดความสงสัย จริงเหรอ มันเป็นยังไงล่ะวสันต์ ถ้าคนในเมืองใช้ได้ผล คนชนบทก็ต้องเหมือนกันสิวะ
วสันต์เห็นผมสนใจในประเด็นจึงไม่รอช้า รีบสาธยายว่า--- วิทยากรที่ทำงานด้านคุมกำเนิดสมัยนั้นเนี่ย เวลาออกไปบรรยายการใช้ถุงยางอนามัยลำบากมาก ไม่มีไฟฟ้าใช้ในถิ่นทุระกันดารเหล่านั้น จะเอาวิดีโอเทปไปเปิดให้ดูก็ไม่ได้ จะสาธิตกันสดๆ ก็ไม่ได้ เลยต้องใช้ด้ามไม้กวาดเป็นสิ่งจำลองแสดงวิธีใส่ถุงยาง แต่ปรากฏว่าคุณพ่อบ้านทั้งหลายกับไปบ้านแล้วก็เอาถุงยางสวมด้ามไม้กวาดอย่างที่วิทยากรได้สาธิตให้ดูก่อนกุ๊กกิ๊กกับภรรยา หลายปีผ่านไปคนในพื้นที่ก็ยังลูกดกหัวปีท้ายปี เหมือนเดิม
เรื่องนี้ผมว่าวสันต์โม้นะแหล่ะใครที่ใหนจะซื่อบื้อขนาดนั้น--- วสันต์หาทางปรับทุกข์ให้ผมฟัง เค้าเอ่ยปากขอให้ผมเขียนเรื่องราวของเค้าด้วยเพื่อเป็นการประท้วงให้คนอื่นๆ ได้รับรู้--- ซึ่งผมก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่าจริงๆ แล้วได้เลิกเขียนเรื่องประเภทวิพากษ์วิจารย์สังคมไปนานแล้ว ทั้งนี้เพราะมันขายไม่ออกเพราะว่าหน้าตาผมมันดูไม่เป็นคนซีเรียสก็ไม่รู้ เวลาเอาไปส่งให้ใครเค้าก็ไม่ค่อยรับ โยนลงตะกร้าต่อหน้าต่อตาก็เคยมี
อีกอย่างผมต้องกินต้องใช้ด้วยต้องเปลี่ยนแนวมาเขียนฮิวเมอร์ให้คนอ่านมีรอยยิ้มดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย แทนที่จะไปขุดค้นเขียนเรื่องพลเมืองชั้นสองประจานปัญหาสังคมให้คนอ่านเครียดกันซะเปล่าๆ
(สำหรับท่านที่ไม่ชอบเรื่องเศร้า โปรดปิดหน้าต่างนี้ไปเลยแล้วไปอ่านเรื่องหวานแหววในห้อง สยามฯโน่น หรือไม่ก็ไปหาตอบกระทู้ปัญหาใต้สะดือในห้องสวนลุมนี้ก็ได้ ที่ใหนมีชื่อ คุณสาด คุณช่างไฟ คุณค้างคาวกินผักบุ้ง รุมกันตอบในคอมเมนต์รับรองกระทู้นั้นต้องวาบหวิว---แฮ่ๆๆ แซวเล่นเจ๋ยๆ นะครับ ได้โปรดอย่าถือสา
เรื่องของวสันต์มีดังนี้ เค้าได้เริ่มทำงานมาได้สัก 2-3 ปีแล้ว แรกๆ นั้นเพื่อนร่วมงานที่เป็นฝรั่งทั้งหมดก็ไปกันด้วยดี แต่พักหลังๆ วสันต์ทำผลงานได้มากกว่า เพราะเป็นคนขยันในหน้าที่การงาน จึงเป็นที่จ้องมองของคนอื่นๆ ในหน่วยงานนั้น เมื่อก่อนที่เคยทำงานกับหัวหน้าคนเดิมก็ดีอยู่หรอกแต่ไม่นานมานี้หัวหน้าคนนั้นย้ายไปรับตำแหน่งที่อื่น จึงมีหัวหน้าคนใหม่เข้ามารับหน้าที่แทนในแผนก ท่าทางคนนี้ไม่ค่อยชอบขี้หน้าคนเอเชี่ยนรึเปล่าก็ไม่รู้ งานของวสันต์พักหลังๆ จึงโดนดองอยู่เรื่อย
ต่างจากคนอื่นๆ ที่คอยประจบหัวหน้าคนใหม่อย่างออกหน้าออกตา วสันต์ว่าไอ้คนที่ไม่เคยชงกาแฟให้ใครมาก่อนในออฟฟิศเลย ก็ทำเป็นประจำทุกเช้า เลิกงานเย็นวันศุกร์ก็พากันไปดื่ม โดยมองข้ามไม่เคยชวนวสันต์เลย
อาการน้อยใจของวสันต์นั้นมันเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบัดนี้เค้าชักจะทนไม่ไหวแล้วอยากจะออกมาทำงานอย่างอื่นให้มันรู้แล้วรู้รอดไปผมได้เตือนสติว่า คิดดูให้ดีนะหน่วยงานของรัฐนั้นมั่นคงอยู่แล้ว ไม่มีใครมาไล่ออกหรอกถ้าไม่ผิดวินัยหรือทำไม่ดีอะไรเข้า เงินเดือนระดับปีละ 50000 ดอลล่าร์ต่อปีนั้นหายากมากในตลาดแรงงาน แถมยังมีเงินสำรองเลี้ยงชีพ (Superannuation) จ่ายเข้าสะสมให้ด้วยในแต่ละงวดเงินเดือนออกอีกต่างหาก แต่ละปีนั้นหักภาษี หักค่าใช้จ่ายแล้วไปเที่ยวเมืองไทยกินใช้ได้สบายมาก
วสันต์คิดอยู่สักพักก็เห็นด้วยและรับปากว่าจะลองใช้วิธีผ่อนตามลมดู โดยศึกษาวิธีเอาเตารอดในการทำงานร่วมกับผู้อื่นในองค์กรมาลองใช้ดู ดังสนต้องลมฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าปะทะด้วยความรุนแรงก็แตกหัก กิ่งก้านพังยับ กว่าจะงอกขึ้นมาใหม่ มันเสียศูนย์ครับ รู้จักพลิ้วไหวซะบ้าง มันก็ผ่านไปวสันต์ก็ยังอยู่ ไหลตามน้ำมากไปก็ไม่ดีอีกสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไฟจะมอดเข้าสักวัน
ใครบอกว่าประเทศนี้ไม่มีลำเอียง เมืองฝรั่งไม่มีเข้าข้างใคร คนทุกคนเสมอภาคกัน--- แหว่ะ ไม่จริงอ่ะ ผมเห็นมาหลายรายแล้ว ถึงว่าตำรวจเอเชี่ยนคนหนึ่งเคยออกมาประท้วงเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์มาแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีตัวบทกฎหมายว่าด้วยห้ามการแบ่งชนชั้น เพศ อายุ และเผ่าพันธุ์แล้วก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันจริงได้แค่ใหนกัน ในฐานะคนเอเชี่ยนผิวเหลืองคนหนึ่งใจชื้นมาหน่อยที่เมืองเมลเบิร์นนี้ มี Lord Mayer (ตำแหน่งน่าจะเป็นผู้ว่าบ้านเรา) เป็นคนเชื้อสายจีน ก็ยังพอจะเห็นความเสมอภาคเป็นรูปธรรมหน่อย
เด่นเกินไป ภัยมาถึงตัวครับเราสรุปกันง่ายๆ เหมือนคุณลุง ดังกิ้น (Duncan) เล่าให้ผมฟังว่าแกจาก นิวซีแลนด์ มาเที่ยวเมลเบิร์น และแกได้ไปเที่ยวเล่นโปกกี้ (สล๊อตแมชชีน) ที่คาสิโน เกิดฟลุ๊คยังไงก็ไม่รู้ได้แจ๊กพอตเป็นรถมอเตอร์ไชค์ ฮาร์ลี่ย์ เดวิดสัน ราคา 32000 ดอลล่าร์ แกตั้งใจจะเอากลับบ้านด้วย ไว้ไปขี่ที่นิวซีแลนด์แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะเรียกเก็บภาษี 12 เปอร์เซ็นต์ แกถึงกับหน้ามืดแช่งด่ารัฐบาลเป็นการใหญ่ และบอกผมอย่างหน้าละห้อยว่า จำใจต้องขายฮาร์ลี่ย์คันนั้น แล้วเอาเป็นเงินกลับไป
เหตุผลที่โดนจับตาเพราะมันเป็นของชิ้นใหญ่และดูดี ลองถ้าเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คนะครับ ไม่มีใครสนใจหรอก เพราะมันไม่เด่น
เด่นเกินไปภัยถึงตัว เหตุการณ์นานกว่า 70 ปีมาแล้วอีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องม้าแข่งประวัติศาสตร์ชื่อว่า ฟ้าแลบ เซียนพนันม้าในออสเตรเลียและต่างประเทศรู้จักดีในชื่อไทยเขียนเป็นอังกฤษว่า Pharlap ขอเท้าความก่อนว่าทำไมม้าแข่งผู้ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงนี้ถึงมีชื่อไทย เดิมทีเจ้าของม้าเป็นคนรับสำปะทานทำเหมืองแร่ใน จังหวัดภูเก็ตได้ไปเที่ยวถามชาวบ้านละแวกนั้นว่าอะไรเร็วที่สุด ก็ได้รับคำตอบว่า ฟ้าแลบ เค้าเลยเอามาตั้งเป็นชื่อม้าแข่งของตัวเอง
ฟ้าแลบเดิมนั้นเป็นม้าพันธ์นิวซีแลนด์ สีแดงก่ำและตัวใหญ่เกินที่จะเป็นม้าแข่ง เจ้าของซื้อมาด้วยราคาถูกๆ ตอนแรกนั้นมันไม่ค่อยวินหรอก แต่พักหลังมันเริ่มแสดงผลงานแจ่มจรัสเป็นที่จับตามอง โดยเข้าวินทิ้งระยะห่างจากม้าตัวอื่นๆ ถึงไมล์กว่าๆ สองไมล์ก็เคยมี ฟ้าแลบเป็นม้าประวัติศาสตร์ตัวเดียวที่ชนะเมลเบิร์นคัพ ถึง 3 สมัยแล้วในแต่ละวินนั้นทิ้งห่างม้าตัวอื่นขาดรอย ถ้าใครสนใจเพิ่มเติมให้ไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเวปไซต์ฝรั่งเกี่ยวกับเจ้า ฟ้าแลบ ที่นี่ครับhttp://www.pharlap.com.au/thestory/
ผลงานวินของฟ้าแลบเจิดจรัสหาม้าที่ใหนเทียมทานในโลกนี้ วินที่กินใจเหลือเกินคือตอนที่ลงเรือไปแข่งที่เมกซิโก ต้องผ่านอากาศเย็นยะเยือก ไปกระทบร้อนอบอ้าวสุดๆ แต่ก็สามารถคว้าชัยชนะมาได้ เรื่องหน้าเศร้าก็ตามมา เจ้าฟ้าแลบก็ไม่พ้นมือมารถูกจองเวรจนได้ มันถูกลอบยิงก่อนลงแข่งในสนามเมลเบิร์นคัพในปี 1930 แต่ก็รอดมาได้ และกลายเป็นม้าตัวเดียวที่ต้องมีตำรวจคอยคุ้มกันก่อนลงแข่ง แต่อย่างว่าในสังคมนี้คนชั่วมีมากเหลือเกิน
ฟ้าแลบโด่งดังสุดๆ ในตอนนั้น และแล้วเรื่องที่ต้องหลั่งน้ำตาก็เกิดขึ้น วันที่ 5 เมษายน ปี1932 ขณะเตรียมแข่งที่ แคลิฟอร์เนีย อเมริกา ฟ้าแลบก็ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ข่าวลือว่าพวกมาเฟียทนความเด่นของมันไม่ไหวเลยลอบวางยาพิษ
ชื่อเสียงของฟ้าแลบยังปรากฏให้คนรุ่นหลังได้รับรู้จนทุกวันนี้--- ตึก Realto ตึกสูงที่สุดในเมลเบิร์น ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดได้มีโอกาสขึ้นไปข้างบนหอคอยสูงสุด โปรดอ่านประวัติของฟ้าแลบด้วยในห้องหมุนนั้น ส่วนตัวฟ้าแลบที่สตาร์ฟไว้ที่ใหนนั้นผมจำไม่ได้แล้ว แหม ผมแค่คนเล่าเรื่องธรรมดาจะไปจำหมดทุกอย่างได้ไงกันเล่า จบละครับ.... ถ้าชอบเรื่องที่ผมเล่าให้ฟัง กรุณาลงชื่อด้วยครับ ขอบคุณและสวัสดีครับ
**ในภาพ ฟ้าแลบ เข้าวินอย่างขาดรอยเป็นแชมป์เมลเบิร์นคัพ ปี1930
แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 47 01:58:06
แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 47 01:56:24