ความคิดเห็นที่ 1 ปล. ไม่ได้โฆษณาเวปอื่น แต่ว่าจำเป็นต้องเอาชื่อเวปมาแปะ เนื่องจากเป็นการเอาบทความเค้ามาทั้งอัน จำเป็นต้องบอก reference ค่ะ จากคุณ : รำเพย - [ 16 ธ.ค. 47 03:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : mimi - [ 16 ธ.ค. 47 03:43:56 A:221.128.110.137 X: TicketID:081816 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไหนๆ ก็พูดเรื่องแสงแดดแล้วนะคะ จะรวบรวมหลายๆ บทความมาไว้ด้วยกันเลยนะคะ เผื่อ net ช้า หรือไม่สะดวกที่จะ Link ไปมา จะได้อ่านกันง่ายดีค่ะ ขอบคุณคุณรำเพยที่เอาบทความ และ Website ดีๆ มาบอกกล่าวกันนะคะ ทั้งนี้ บทความทั้งหมด search มาจาก ห้องสมุด E-LIB: Health Library for Thai ตามที่คุณรำเพยบอกมาค่ะ เรื่องแรก แสง Ultra A อันตรายจริงหรือ เขียนโดย นพ.ธาดา เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 23 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2542 แสงอัตรา ที่ตกลงบนพื้นโลก คือ เอ และบี เราทราบว่า แสงบี เป็นอันตรายต่อผิว ทำให้ชราเร็วและเป็นมะเร็งผิวหนัง เพราะว่าให้พลังงานมากกว่า แสง เอ 1,000 เท่า แสง เอ ไม่ถูกปิดกั้น โดยชั้นโอโซน มันสามารถผ่านทะลุกระจก เมฆ และให้พลังงานคงที่ ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนดวงอาทิตย์ตก ผิวชั้นขี้ไคลสามารถกั้นแสง บี ได้ 90% แต่แสง เอ มากกว่า 50% ผ่านทะลุผิวหนังเข้าสู่ผิวหนังแท้ ทำลายใยคลอลาเจน และใยยืดหยุ่นได้ แสง เอ ไม่ก่อให้เกิดผิวไหม้เหมือนแสง บี แต่แสง เอ ค่อยสะสมการทำลายทีละเล็กทีละน้อยอย่างช้าๆ ทำให้เซลล์ในหนังกำพร้าเปลี่ยนรูปร่าง ซึ่งเป็นการแสดงว่า ดีเอ็นเอ ถูกทำลาย สามารถลดจำนวนเซลล์ที่เกี่ยวกับภูมิต้านทาน ทำลายใยต่างๆ มีการอักเสบทั่วๆ ไป ดังนั้น ถ้าได้รับแสง เอ นานพอๆ กับได้รับแสงแดดระยะเวลาสั้นๆ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวเหมือนกัน การได้รับแสง เอ แม้แต่เพียงเล็กน้อยนาน 5 สัปดาห์ ก่อให้เกิดรอยย่นบนผิว มีจุดกระดำขึ้นตามใบหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่า แสง เอ เป็นตัวการที่สำคัญ แสง บี เป็นตัวเริ่มก่อน เมื่อได้รับแสง เอ ร่วมด้วย ปรากฏการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเร็ว ทำไมคนเราถึงชรา 1.สาเหตุ เพราะเป็นธรรมชาติ คือ ร่างกายไม่สามารถซ่อม สิ่งที่ทำให้เกิดวัยชราได้ต่อไป 2.แสงอัลตราไวโอเลต ก่อให้เกิดผิวชราเร็วขึ้น สาเหตุเป็นเพราะว่า เช่น แสงเอ ก่อให้เกิดการสะสมของไลโซไซม์ โดยการรวมตัวกับ อีลาสติน ที่เป็นส่วนประกอบของใยยืดหยุ่น และป้องกันใยยืดหยุ่นถูกทำลาย จากสารย่อยใยยืดหยุ่น ก่อให้เกิดการสะสมของใยยืดหยุ่นที่ถูกทำลายที่ชั้นใต้ผิว ความยืดหยุ่นของผิวจึงเสียไป นอกจากนี้ยังมีสารอื่นๆ อีกหลายตัวที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับแสง เอ แสงเอ ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งทำลายไขมันและโปรตีน เป็นการนำไปสู่การทำลายดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอาหารเลี้ยงเซลล์ เกี่ยวกับการระบบภูมิต้านทาน ในเรื่องนี้ แสงเอ ชนิดคลื่นสั้น เป็นอันตรายมากกว่าแสง บี แสง เอ ยังก่อให้เกิดการผันแปรของเซลล์ จากการศึกษาการใช้แสง เอ ขนาดต่ำๆ บ่อยๆ ก่อให้เกิดการทำลายดีเอ็นเอ มีการเปลี่ยนแปลงของชั้นต่างๆ ในหนังกำพร้า ก่อให้เกิดสารทีเนสซีน ในหนังแท้ สารทีเนสซีนนี้ เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่หลั่งออกมาจากเซลล์ แสดงถึงการทำลายเนื้อเยื่อ หรือใยต่างๆ ตามปกติไม่ได้พบในผิวหนังปกติ แต่พบในมะเร็งผิวหนัง โรคผิวหนังต่างๆ และแผลที่กำลังหาย สารนี้จะอยู่ใต้หนังกำพร้าเล็กน้อย ถ้ามีแสดงว่าเป็นสัญญาณว่า แสงเอ ทำลายผิวแล้ว จากการศึกษาในสัตว์ทดลองแสง เอ ก่อให้เกิดมะเร็งแต่ถ้าใช้แสง เอ และบี ก่อให้เกิดมะเร็งเร็วมาก ดังนั้น นักวิจัยจึงสงสัยว่าในคนน่าจะเหมือนกัน นอกจากนี้ ยังสงสัยอีกว่า ก่อให้เกิดมะเร็งไฝดำ มะเร็งไฝดำนี้ เป็นมะเร็งที่ร้ายแรงที่สุดของผิวหนัง ลามเร็วมาก แม้แต่ขึ้นเพียงเม็ดเล็กๆ เท่าหัวไม้ขีด แสดงว่าเซลล์มะเร็งได้ลามไปยังส่วนอื่นๆ ของอวัยวะแล้ว ชาวออสเตรเลียเป็นกันมากในปัจจุบัน เพราะว่าพวกเขาชอบอาบแดด บางคนอาจสงสัยว่าทำไมฝรั่งชอบอาบแดดไม่ร้อนหรือ คำตอบคือว่า ในบรรยากาศที่เย็นๆ อุณหภูมิ 15-20 เซลเซียส ตากแดดอย่างไรก็ไม่ร้อน จึงตากได้นาน เมื่อตากนานๆ ไป ฝรั่งผิวขาวเป็นมะเร็งผิวหนังกันมาก จึงตากได้นาน เมื่อตากนานๆ ไป ฝรั่งผิวขาวเป็นมะเร็งผิวหนังกันมาก และมะเร็งไฝดำเป็นมะเร็งร้ายแรงมาก พูดง่ายๆ ว่าถ้าใครเป็นแล้ว มักไม่รอดใน 6 เดือน จะตายช้าหรือเร็วกว่านั้นอัตราตาย ถึง 1% ของมะเร็งทั้งหมด ทีแรกยังหาสัตว์ทดลองที่เป็นมะเร็งไฝดำไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ พบปลาชนิดหนึ่งเป็นมะเร็งไฝดำเหมือนกัน และพบว่าแสง เอ สำคัญพอๆ กับแสง บี ในการที่ทำให้เกิดมะเร็งไฝดำ การใช้ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในการป้องกันการเกิดมะเร็งกลไกการเกิดมะเร็งเกิดจากแสง เอ คลื่นสั้น มีผลต่อ ดีเอ็นเอ โดยเริ่มให้เกิดอนุมูลอิสระ และการผันแปรของเซลล์ มีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีการที่เราเป็นมะเร็ง อาจเป็นเพราะ เอ ทำให้จำนวนเซลล์ที่มีหน้าที่กำจัดเซลล์มะเร็งลดลง บางทีเราใช้ครีมกันแดด ซึ่งมักผสมสารที่กันแต่แสงบี โดยมี SPF บอกไว้ แต่ไม่ได้กันแสง เอ เมื่อทาผิวแล้วทำให้คนเราทนแดดได้นานกว่า กลับก่อให้เกิดการทำลายผิวทีละเล็กทีละน้อยจากแสง เอ ครีมกันแดดส่วนใหญ่ในตลาดไม่มีชนิดใดเขียนไว้ชัดเจนว่ากันแสง เอ ได้เท่าใด ถ้าเขาจะเขียนไว้ เขาจะเขียนว่า UVA-PF 3 (-12) เม็ดสีช่วยผิวของคนเราอะไรได้บ้าง เม็ดสีที่ผิว มี 2 ชนิด เม็ดสีดำ ซึ่งมักพบในคนเอเชีย และเม็ดสีแดง ซึ่งพบในคนผิวขาว โดยเฉพาะหญิงสาวที่มีผมสีแดง เรามักมี 2 ชนิดแล้วแต่ชนิดไหนจะมากกว่ากัน จำนวนเม็ดสีดำ จะมีจำนวนตามสีผิว เช่น ผิวขาวมีน้อย ผิวเอเชียมีมาก นิโกรมีมากที่สุด แต่เม็ดสีแดงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีผิว ชาวอเมริกาบางคนเป็นคนเผือก ไม่มีเม็ดสีดำ แถมยังไม่พบว่าเป็นมะเร็งไฝดำ เพราะเซลล์สร้างสี ขาดเม็ดสีดำ เม็ดสีดำซึ่งป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ คนนิโกร หรือเอเชียไม่ชอบตากแดด ดังนั้น จึงไม่ค่อยเป็นมะเร็งผิวหนัง พบได้ประปรายเท่านั้น แสง เอ สามารก่อให้เกิดการสลายไขมันเป็นเหตุให้เกิดการทำลายหนังเซลล์ ผนังเซลล์ที่เสื่อมสลายสามารถแก้ไขได้โดยวิตามินอี และวิตามินยังป้องกัน การกันการหยุดยั้งเกี่ยวกับระบบภูมิป้องกัน สารเซลาเนี่ยม ไม่สามารถป้องกันอันตรายของเซลล์จากแสง เอ แต่ถ้าร่างกายขาดสารเซลาเนี่ยม ขบวนการการแพ้แสง จะทวีความรุนแรงมากขึ้น แสงเอ ก็มีประโยชน์เหมือนกัน เช่น รักษาโรคภูมิแพ้ของผิวหนัง การใช้ร่วมกับยาบางชนิดเช่น โซลาเรน ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิแพ้บางชนิด โรคด่างขาว แต่มีหลายโรค ที่เกิดจากแสง เอ เช่น โรคผื่นแพ้แสง, ฝ้า, ลมพิษจากแสงแดด ดังนั้น จึงต้องทาครีมกันแดดช่วยในการป้องกัน และรักษาโรคแพ้แสงต่างๆ ดังนั้น เราอาจตอบคำถามว่า แสงอัลตรา เอ อันตรายหรือไม่ คำตอบคงใช่ ดังนั้นเราควรป้องกันโดยใช้ครีมกันแดด ผู้ผลิตมักจะสนใจ ใช้แต่สารกันแสง บี โดยใช้ SPF เป็นหลัก บางชนิดผสมสารกันแสงอัตราเอ แต่ทว่าคุณสมบัติของสารนั้นไม่คงตัวทาไปไม่ถึงชั่วโมง ก็สลายตัว ควรเลือกใช้ชนิดที่กันแสง เอ และไม่สลายตัว แต่คงเป็นการยากที่ผู้ใช้จะทราบว่า ใช้ครีมกันแดดชนิดไหนจึงจะดี ควรต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนัง คนที่เป็นฝ้าควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่กันแสง เอ ด้วย จึงจะรักษาฝ้า ได้ผล... จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 03:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ซันสกรีน/ซันบล็อค กองบรรณาธิการใกล้หมอ ที่มา...นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 22 ฉบับที่ 9 กันยายน 2541 มะเร็งของผิวหนัง ในสมัยก่อนแทบจะไม่พบในเด็กเลยแต่ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้เฉพาะที่สหรัฐอเมริกา มีการตรวจพบมะเร็งผิวหนังปีละ 5 แสนราย โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กและวัยรุ่นมากขึ้น ยิ่งมีข่าวว่า ชั้นโอโซนในบรรยากาศเปลือกโลก ถูกทำลายไปมาก ก็ยิ่งทำให้โอกาส เกิดมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น เพราะขาดเครื่องกรองรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด ผิวหนังของเด็ก ๆ จะมีความอ่อนไหวต่อแสงแดดมากที่สุดใน 10 ขวบปีแรกของชีวิต ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการนำเด็กทารก ออกไปสัมผัสแสงแดด และถ้าเป็นไปได้ ในกรณีที่ลูก ๆ ออกไปเล่นกลางแจ้ง ระหว่างเวลา 10.00 น.-15.00 น. ก็ควรทายากันแดด ประเภทซันสกรีน (SUNSCREEN) และไม่ว่าเด็กจะมีผิวหนังแบบไหน ก็ควรใช้ซันสกรีน อย่างน้อย 15 SPF ขึ้นไป โดยอาจเลือกโลชั่น หรือครีมชนิดกันน้ำ เพราะจะเกาะผิวหนัง ได้นานขึ้น แม้ในวันที่มีเมฆมาก เด็ก ๆ ก็ยังมีโอกาสเกิดผิวไหม้แดด (SUNBURN) ได้ โดยเฉพาะคนที่มี ผิวขาว หรือ ในฝรั่งที่มีผมสีบรอนด์ หรือแดง และตาสีจาง ข้อเสียของผิวไหม้แดดก็คือ การเกิดจ้ำผิวไหม้แดด ครั้งเดียวก็จะทำให้บริเวณนั้นมีความเสี่ยงสูงขึ้น ต่อการเกิดมะเร็ง ผิวหนังชนิด เมลาโนมา (MELANOMA) ซึ่งเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดร้ายแรงที่สุด เคราะห์ดีที่ว่า การใช้ซันสกรีนในช่วง 18 ปีแรกของชีวิต จะลดโอกาสเกิดผิวไหม้แดด และมะเร็งผิวหนังได้อย่างมาก ซันสกรีนและซันบล็อคไม่เหมือนกัน ซันสกรีน ผลิตในรูปครีม, โลชั่นหรือน้ำมัน โดยมีหน่วยเป็น SPF (SUN PROTECTION FACTOR) คือเป็นตัวเลขที่บอกคร่าว ๆ ว่าผิวหนัง จะสัมผัสแดดได้นานเท่าใด ก่อนจะเกิดการไหม้ เมื่อเปรียบเทียบกับ เวลาที่ไม่ได้ทาซันสกรีน ยกตัวอย่างเช่น โลชั่นกันแดดที่มี SPF= 8 หมายความว่า ถ้าทาโลชั่นนี้แล้วจะสัมผัสแสงแดดได้นานขึ้น 8 เท่า เมื่อเทียบกับผิวหนังที่ไม่ได้ทาโลชั่น ข้อจำกัดของ SPF คือ กล่าวถึงรังสีอัตราไวโอเลต แถบ B (UVB) เท่านั้น โดยไม่ได้กล่าวถึงUVA เมื่อเราทาซันสกรีนลงบนผิวหนัง สารเคมีจากซันสกรีน ก็จะทำปฏิกริยากับสารเคมี บนผิวหนัง จนได้สารที่ช่วยปกป้องผิวหนัง จากแสงแดดอันแรงกล้า และเนื่องจากปฏิกริยา ที่ว่านี้ ต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นก่อนจะออกไปสัมผัสแสงแดด ควรทาซันสกรีนเสียก่อน อย่างน้อย 20 นาที ส่วนประกอบของซันสกรีน ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ในการกันแดดคือ การผสมผสาน ระหว่างสาร PABA และ BENZOPHENONES สารต่าง ๆ ที่ใช้ทำซันสกรีนมี อาทิเช่น AVOBENZONE ซึ่งเป็นสารป้องกัน UVA ได้ดีที่สุด BENZOPHENONES (OXYBENZONE, DIOXYBENZONE) สกัดกั้น UVB และป้องกัน UVA ได้ 60% CINNAMATES (CINOXATE, ETHYLHEXYL P-METHOXYCINNAMATE) สกัดกั้น UVB และ UVA ได้เล็กน้อย ANTHRIANILATES สกัดกั้น UVB และ UVA เล็กน้อย PABA (PARA - AMINOBENZOIC ACID) สกัดกั้น UVB แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เสื้อผ้าเปื้อนและอาจทำให้ผิวหนังแสบหรือเกิดปฏิกริยาแพ้ได้ PABA ESTERS (GLYCERYL PABA, PADIMATE O AND A) สกัดกั้น UVB และอาจก่อให้เกิดปฏิกริยาแพ้ได้ SALICYLATES (OCTYL SALICYLATE, HOMOSALATE) สกัดกั้น UVB ดังนั้นก่อนหาซื้อซันสกรีนควรตรวจสอบส่วนประกอบด้วย และการทาซันสกรีนก็มีความสำคัญเพราะจะต้องทาให้มากพอจึงจะได้ผล ยกตัวอย่างเช่นปริมาณที่ต้องใช้ในผู้ใหญ่คือ บริเวณใบหน้าและคอ ใช้ครึ่งช้อนโต๊ะ แขนและไหล่ ข้างละครึ่งช้อนโต๊ะ ลำตัวใช้ ครึ่งช้อนโต๊ะ ขาและหลังเท้า ข้างละ 1 ช้อนโต๊ะ ซันบล็อค (SUNBLOCK) ทำหน้าที่เป็นเสมือนม่านบังแดดให้ผิวหนังจริง ๆ ดังนั้นจึงมักจะเป็นครีมสีทึบ ประกอบด้วยซิงค์ออกไซด์ หรือไทแทเนียมออกไซด์ ซึ่งถ้าทาผิวดี ๆ แล้วจะป้องกันรังสี UVA และ UVB ไม่ให้ทะลุถึงผิวหนัง เนื่อจากเป็นม่านบังแดดสนิทจึงไม่ต้องมีหน่วย SPF แต่ในกรณีที่ซันสกรีนมี SPF สูงกว่า 15 บางทีเขาก็เรียกผลิตภัณฑ์นั้นว่าซันบล็อคได้ แม้มันจะยอมให้รังสีอัตราไวโอเลตผ่านบ้างก็ตาม ท่านผู้อ่านลองไปสำรวจผลิตภัณฑ์จำพวกซันสกรีน หรือ ซันบล็อค บนหิ้งวางสินค้า ในห้างร้านใหญ่ ๆ จะพบสินค้าไม่ต่ำกว่า 60 สูตร และถ้าดูดี ๆ จะพบสินค้าออกใหม่ ที่ช่วยปกป้องผิวหนังจากแสงแดด ได้ทั้ง UVA และ UVB แต่เดิมนั้นเราจะห่วงแต่รังสี UVB ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็งและผิวไหม้แดด แต่ต่อมาพบว่า UVA ซึ่งมีคลื่นแสงยาวกว่า UVB ไม่เพียงแต่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยเท่านั้น ยังทำให้เนื้อเยื่อประสานที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดความเสียหาย แล้วยังอาจมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ในร่างกาย ได้อีกด้วย นักวิจัยจึงเริ่มสงสัยว่า UVA อาจเป็นตัวการก่อมะเร็งด้วย พวกเขาจึงคิดค้นสารมาเติมลงไปในซันสกรีนเพื่อให้คุ้มครองผิวหนังจาก UVA ได้ เขาเรียกสารนี้ว่า "PARSOL 1789" ซึ่งแพงกว่าซันสกรีนธรรมดาถึง 2 เท่าตัว แต่ถ้าจะประหยัดสตางค์ลงก็หันไปใช้ซันบล็อคซึ่งมีซิงค์ออกไซด์ หรือไทแทเนียมออกไซด์ เพราะจะกัน UVA และ UVB ได้ ข้อเสียคือทาแล้วรู้สึกเหนอะหนะ วิธีเลือกหาซันสกรีน เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี SPF 15 หรือสูงกว่านั้น ในเด็กอาจต้องการ SPF สูง เช่นเดียว กับกรณีต้องออกไปอยู่กลางแดดนาน ๆ อยู่ในที่ราบสูง หรือภูมิประเทศ ที่มีแสงแดดจัด ถ้าท่านต้องอยู่กลางแดดมาก ผิวขาวหรือเคยเป็นมะเร็งผิวหนังมานานแล้ว ควรใช้ ซันบล็อค ซึ่งทาผิวแล้วจะทำให้แสงแดดสท้อนกลับ UVA และ UVB จึงไม่ทะลุถึงผิวหนัง ทาซันสกรีนอย่างน้อย 20-30 นาที ก่อนออกไปถูกแสงแดด เพราะสารประกอบใน ซันสกรีนต้องจับกับโปรตีนที่ผิวหนังเสียก่อนจึงจะได้ผล ทาซันสกรีนบ่อย ๆ ปริมาณ 1 ออนซ์ (30 ซีซี) จะใช้ทาผิวหนังผู้ใหญ่ที่จะถูกแสง แดดได้ทั่ว ทาซ้ำทุก ๆ 4 ชั่วโมง แต่ถ้าว่ายน้ำหรือมีเหงื่อออกมากควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง อย่าลืมทาลิปปาล์มที่มี SPF 15 หรือสูงกว่านั้นที่บริเวณฝีปากและรอบดวงตา แล้ว สวมแว่นป้องกัน UV ด้วย หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดเวลา 10.00-15.00 น. ใส่เสื้อแขนยาวและหมวกปีกกว้าง จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 04:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Dermabration และ Dermaplaning โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์ Dermabration และ Dermaplaning เป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ผิวหน้าชั้นบนของหน้าเรียบขึ้น ขอบที่แข็งขรุขระ จะนุ่มขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบขึ้น Dermabration มักใช้ในการแก้ไขแผลเป็นที่อยู่บนใบหน้า ไม่ว่าจะเกิดจาก อุบัติเหตุ ,แผลจากศัลยกรรม ใช้ทำให้รอยย่นดูเรียบขึ้น เช่น รอยย่นรอบๆปาก บางครั้งยังใช้ การ Dermabration ในการกำจัดโรคผิวหนังบางชนิด ที่อาจกลายเป็นเนื้อร้าย(Pre-Cancerous) ที่เรียกว่า Keratoses Dermaplaning มักใช้กันในการรักษาแผลเป็นที่เกิดจากสิว ทั้ง Dermabration และ Dermaplaning สามารถใช้ได้ทั้ง area เล็กๆ หรือ ทั่วทั้งใบหน้าก็ได้ อาจใช้ร่วมกับวิธีอื่นได้ด้วย เช่น การดึงหน้า การผ่าตัดแก้แผลเป็น หรือ การลอกหน้าด้วยสารเคมี ที่เรียกว่า Chemical Peel ซึ่ง การลอกหน้าด้วยสารเคมี มักใช้กับรอยย่นที่ไม่ลึกมากนัก ขณะที่การทำ Dermabration และ Dermaplaning มักใช้ใน การแก้แผลเป็นจากสิวมากกว่า นอกจากนั้น 2 วิธีนี้ มักจะใช้ในคนผิวเข้มมากกว่า การใช้สารเคมี โดยเฉพาะถ้าทำ บริเวณแคบๆ เพราะว่า การทำ Dermabration จะทำให้มีความเปลี่ยนแปลงของสีผิวน้อยกว่า การใช้สารเคมี ผู้ที่เหมาะที่สุดกับการทำ Dermabration บุคคลทุกเพศทุกวัย สามารถทำ Dermabration ได้ครับ ถึงแม้ในคนสูงอายุ อาจมีปัญหาเรื่องการหายของแผลมากกว่า อาจกลายเป็นแผลได้ ที่ยังไม่ควรทำคือ ถ้าหน้ายังมีสิวที่ยัง Active อยู่ หรือเพิ่งได้รับการฉายแสง หรือเพิ่งทำการลอกหน้าด้วยสารเคมี เพราะ โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อจะสูงมาก ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ปกติ การทำ Dermabration นี้ ค่อนข้างปลอดภัยถ้าทำในมือ ของแพทย์ผู้ชำนาญ ภาวะแทรกซ้อนที่เจอบ่อยๆ คือ เรื่องของสีผิวหลังจากทำ ซึ่งอาจมีผิวหนังเป็นสีคล้ำเลย ซึ่งสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการโดนแดด หลังจากทำ Dermabration นอกจากนั้นก็อาจเกิดขึ้นในบางคน อื่นๆที่พบ เช่น ผิวขาวกว่าบริเวณข้างเคียง,เป็นแผลเป็น, บางรายอาจ รูขุมขนใหญ่ขึ้น แต่ภาวะนี้จะดีขึ้น ถ้าการบวมของผิวหนังลดลง ปกติการติดเชื้อ และแผลเป็นจาก Dermabration จะน้อย แต่ก็มีโอกาสเกิดได้ เช่น Keloid ก่อนการผ่าตัด -ควรงด บุหรี่ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพราะบุหรี่ อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงผิวน้อยลง ทำให้แผลอาจหายใช้ได้ -งดยาแก้ปวด พวก aspirin เพราะ จะทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ จำเป็นต้องนอน รพ.หรือเปล่า ,ดมยาสลบหรือไม่ การทำ จะนอนรพ. หรือไม่ก็ได้ โดยอาจใช้ยาชาเฉพาะที่ หรือดมยาสลบก็ได้ ขึ้นกับปริมาณที่จะทำ และคนไข้ครับ การผ่าตัด การผ่าตัดอาจไม่เสร็จสิ้นในครั้งเดียว ขึ้นกับ ความลึก ปริมาณของ แผลที่จะทำ ใน Dermabration จะมีการกรอ ชั้นนอกสุดของผิวหนัง ออกด้วยเครื่องที่มีแปรงลวด หรือ กากเพชร จนถึงระดับที่พอใจ -------------------------------------------------------------------------------- การ Dermaplaning จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Dermatome (คล้ายที่โกนหนวด ไฟฟ้า) Dermatome จะมีใบมีดที่สั่น ซึ่งจะทำให้ผิวหน้า ตรงที่เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว เรียบขึ้น -------------------------------------------------------------------------------- การดูแลหลังผ่าตัด หลังจากทำ Dermabration ผิวหนังตรงนั้นจะมีการบวมแดง การทานอาหาร การพูด อาจลำบากขึ้น อาจมีอาการคันแผล และ ปวดแผลได้ อาการบวมจะลดลงใน 3วัน ถึง 1 สัปดาห์ แผลจะมีสะเก็ดในเวลาต่อมา หลังจากนั้นสะเก็ดจะหลุด และ มีเนื้อสีชมพูด้านล่าง ช่วงนี้หน้าจะคันมาก อาจต้องใช้ ointmentช่วยครับ ถ้าเกิด มีอาการคันผิดปกติ หรือแดงมากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็น สัญญาณเตือน ของการเกิด แผลเป็นครับ หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ ผิวหนังเริ่มจะเข้าที่ ควรหลีกเลี่ยงการกระแทกที่หน้า อย่างน้อย 2 สัปดาห์ กีฬา ที่ใช้ การเคลื่อนไหวมากๆ ควรงดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 6-12 เดือน จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 04:28:57 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผิวสวยด้วย IONTO เขียนโดย นพ.ประวิตร พิศาลบุตร ที่มา..นิตยสาร fitness ปีที่ 10 ฉบับที่ 106 เรื่องการปรับสภาพผิวหน้าให้เนียนใสด้วยวิธีไอออนโตนี้ ดูจะเป็นเรื่องฮิตติดลมบนเป็นที่สนอกสนใจของสาวๆ ทั้งหลาย จนถึงขั้นที่ไม่เล่าให้ฟังคงจะไม่ได้แล้ว การปรับสภาพผิวด้วยวิธี Iontophoresis หรือที่เรียกย่อๆ ว่า ไอออนโต ที่กำลังฮือฮาว่าเป็นของใหม่ในขณะนี้นั้น แท้ที่จริงแล้วเริ่มรู้จักกันมาตั้งแต่ ค.ศ.1747 คือ นับได้ 253 ปีแล้ว คำว่า Iontophoresis มาจากภาษากรีก แปลว่า การนำเอาประจุไฟฟ้าเข้าไป นำมาใช้ทางการแพทย์ เพื่อทำให้ยาซึมผ่านผิวหนังลงไปได้มากขึ้น ที่นิยมนำมาใช้มากที่สุดได้แก่ การใช้รักษาโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ จึงเริ่มมีการใช้ไอออนโตมารักษาตั้งแต่ ค.ศ.1936-1948 โดยใช้เครื่องมือไอออนโต และสารเคมีเป็นแค่น้ำประปาธรรมดา นอกจากนั้นก็มีการใช้สารเคมีต่างๆ มาใช้กับเทคนิคนี้ เพื่อรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น ใช้เมลาดินีนรักษาโรคด่างขาว, ใช้ยาชาลิโดเคน เพื่อทำให้เกิดการชาเฉพาะที่ของผิวหนัง, ใช้โซเดียมซาลิไซเลทในการรักษาหูดที่ฝ่าเท้า, ใช้ซิงค์ออกไซด์ ในการรักษาแผลที่ผิวหนัง จนมาถึง ใช้กรดวิตามินเอและเอสโตรเจน ในการรักษาแผลเป็นจากสิว สำหรับการนำไอออนโตมารักษาฝ้านั้น อดีตนักวิจัยสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติสำหรับอเมริกา กล่าวว่า เมื่อ ค.ศ.1993 มีงานวิจัยของคณะแพทย์ญี่ปุ่นตีพิมพ์ ในวารสารการแพทย์ชื่อ "Skin Surgery" ว่าใช้ Iontophoresis ของวิตามินซีมารักษาฝ้า และรอยดำจากการเกิดผื่นแพ้สัมผัส สามารถทำให้รอยดำเหล่านี้จางลงได้บ้าง วิธีไอออนโตนั้น จัดเป็นเพียงเทคนิคเสริมในการรักษาฝ้า และผู้ป่วยก็จะต้องเข้าใจว่า ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดๆ ที่จะรักษาฝ้าให้หายขาดได้ ดังนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าไม่ว่าจะเป็น แสงแดด, ความร้อน และต้องคำนึงถึงเวลาและค่าใช้จ่ายด้วย เนื่องจากเทคนิคไอออนโต เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ จึงไม่แนะนำให้ไปรับบริการ จากสถานเสริมความงาม เพราะนอกจากจะไม่ปลอดภัย ไม่ได้ผล ยังมักมีราคาแพงอย่างไม่สมเหตุสมผลด้วย บางแห่งคิดค่าทำไอออนโต ครั้งละหลายพันถึงหมื่นบาท ทั้งๆ ที่ราคาควรอยู่ประมาณ ครั้งละ 500-1,000 บาท นอกจากนั้นผู้ที่ใช้เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาตัวที่จะนำมาทำไอออนโต ผู้ที่มีบาดแผลที่ผิวหนัง หรือผิวหนังติดเชื้อบริเวณที่จะทำ และผู้ที่มีประวัติโรคลมชัก ไม่สมควรทำไอออนโต นอกจากนั้นการมีสุขภาพผิวที่ดียังมีปัจจัยหลังคือ การหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด การงดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดอง ของเมาเสพย์ยาเสพติด รับประทานอาหารให้ครบหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 04:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เครื่องสำอางปกปิดรอย Camoufage Makeup หรือCorrective cosmetics นพ.ปรารพ ประภายสาธก ที่มา...นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 4 เมษายน 2540 วันนี้ คงจะแนะนำให้รู้จักกับเครื่องสำอางประเภทหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติ ของสีผิวที่เรียกว่า Camouflage makeup หรือ "Corrective or Cover Cosmetics" กันนะครับ เพราะเครื่องสำอางประเภทนี้ ยังเป็นเครื่องสำอางที่ยังไม่แพร่หลาย ในเมืองไทย เท่าที่ควร แต่จะค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับคนไข้หลายกลุ่มด้วยกัน และเป็นที่แพร่หลายในต่างประเทศ Camouflage makeup คืออะไร สำหรับ Camouflage makeup หรือ cosmetics ก็จัดเป็น highly opaque cosmetics ที่มีจุดประสงค์ สำหรับใช้ตบแต่งเพื่อปกปิดความผิดปกติของสีผิวต่าง ๆ เพื่อที่จะให้คนไข้ในกลุ่มดังกล่าว มีความมั่นใจ และมีความสุขในการดำเนินชีวิตมากขึ้น นะครับ ข้อได้เปรียบของ Camouflage makeup ที่ต่างจากเครื่องสำอางทั่วไปที่ใช้ในการ ปกปิด เช่น Concealer หรือครีมรองพื้นทั่ว ๆ ไป ก็คือ Camouflage makeup จะติดทนกว่า มีสีให้เลือก มากกว่า และสามารถกันน้ำได้ ดังนั้นหลังจากการใช้ Camouflage makeup แล้ว คนไข้จึง สามารถจะไปทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการออกกำลังกาย อย่างเช่น การว่ายน้ำ เพราะ Camouflage makeup นั้นสามารถกันน้ำได้ (waterproof) หลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัย นะครับว่า ถ้าโดนน้ำแล้วไม่หลุด แล้วเวลาทำความสะอาดจะใช้อะไรล้าง โปรดติดตาม ในรายละเอียดต่อไปนะครับ ยกตัวอย่างสำหรับ Camouflage makeup ที่มีอยู่ตอนนี้ เช่น "Dermablend" corrective cosmetics ในปี 1983 Dr. Craig Roberts ซึ่งวเป็นแพทย์ผิวหนังชาวอเมริกา ได้พัฒนา Dermablend corrective cosmetics ขึ้นมาสำหรับคนไข้ Vitiligo (ด่างขาว) โดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยอาศัยหลักของความปลอดภัยและผ่านขั้นตอนการทดสอบต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสม กับสภาพสีผิวต่าง ๆ กัน หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์จึงได้เริ่มแพร่หลายและใช้กันกว้างขวาง มากยิ่งขึ้น โดยในระยะแรกนั้นก็เริ่มใช้ในการเสริมการรักษาคนไข้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ ความผิดปกติของสีผิว (Pigmentary abnormality) รวมถึงใน Hollywood ซึ่งตอนแรก มีเฉพาะในกลุ่มดาราบางคน เช่น Michacl Jackson ซึ่ง Dr. steven A. victor ซึ่งเป็นแพทย์ผิวหนัง ประจำตัว Michacl Jackson ได้แนะนำให้ใช้เพื่อการปกปิด Vitiligo (ด่างขาว) ซึ่ง Michacl เป็นอยู่ จนถึงกับการพูดว่าเป็นเครื่องสำอางสำหรับ "The Michacl Jackson Disease" แต่ต่อมาก็เริ่มใช้กันแพร่หลายกันมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะใช้ในกลุ่มคนไข้ ที่มีความผิดปกติ ซึ่งต้องการความสวยงามในการ ตบแต่งใบหน้า เพราะ Dermablend สามารถจะแต่งได้อย่างสวยงามแนบเนียนกลมกลืน กับสีผิวและติดได้ทนและกันน้ำได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมา Camouflage makeup ก็เริ่มรู้จักกันแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระจายไปทั่วโลกซึ่งก็มีการใช้ทั้งใน วงการแพทย์สำหรับคนไข้ที่มีความผิดปกติของสีผิว เช่น Vitiligo (ด่างขาว) Melasma (ฝ้า) ปานแดง, ปานดำ, รอยดำจากสิว, เส้นเลือดขอด (เล็ก ๆ) ฯลฯ และยังนำมาใช้ในวงการเครื่องสำอางการตบแต่งที่ต้องการอาศัยความเรียบเนียน และติดทนรวมถึงกันน้ำได้ครับ มาถึงตอนนี้คงต้องมาทำความเข้าใจซ้ำกันอีกครั้งหนึ่งนะครับว่า ไม่ใช่เป็นเครื่องสำอาง สำหรับการรักษา (Therapeutic) แต่สามารถใช้เสริมเข้าไปในการรักษาคนไข้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ในคนไข้ Melasma (ฝ้า) สำหรับตัว Melasma เราก็คงจะรักษา ในขั้นตอน หรือขบวนการต่าง ๆ ไปตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Bleaching agents (ยารักษาฝ้า) ครีมกันแดดหรือ การทำ Peeling (ลอกผิว) แต่สำหรับ Camouflage makeup นั้นก็สามารถใช้กับคนไข้ได้ ในรายที่อยากให้ ใบหน้าตัวเอง แลดูเรียบเนียน และมองไม่เห็นฝ้า เน้นนะครับว่าสำหรับการรักษา ก็เป็นไปตามปกติ ไม่ได้หยุดการรักษา หรือตัวอย่างในคนไข้ Vitiligo ก็รักษากันไปตามปกติ แต่ก็สามารถใช้ เพื่อเป็นการปกปิด เพื่อทำให้คนไข้เกิดความมั่นใจในตัวเอง และมีความสวยงาม มากขึ้น นอกจากนั้นแล้วโดยเฉพาะสำหรับคนไข้ผู้หญิงซึ่งหลังจากตบแต่งด้วย Camouflage makeup แล้ว ก็ยังสามารถใช้ Color Cosmetic Makeup แล้ว ก็ยังสามารถจะใช้ Color Cosmetic Makeup ต่าง ๆ ได้ตามปกติด้วย จะเลือกใช้ และใช้ Dermablend Camouflage makeup อย่างไร? สำหรับ Camouflage makeup ที่ซึ่ง Dermablend นั้นจะแยกกลุ่มที่จะเลือกใช้เป็น 2 กลุ่มคือ Cover cream สำหรับการตกแต่งบริเวณใบหน้า Leg and body cover สำหรับการตกแต่งบริเวณลำตัวและแขนขา ซึ่งนอกจากนั้นก็ยังมี product ที่สำคัญอีกคือ 1. Moisturizer สำหรับทาก่อนจะใช้ Cover cream หรือ Leg and body cover เพื่อความง่ายต่อการแต่ง 2. Sitting Powder ซึ่งเป็นแป้งฝุ่นสีขาว เพื่อทำหน้าที่ดูดซับ ความมัน ของตัวเนื้อครีม และทำให้เนื้อครีมเกาะติดกับผิวได้ดี 3. Cleanser/Remover สำหรับการทำความสะอาด สิ่งที่สำคัญที่สุดของเทคนิคการแต่งหน้าด้วย Dermablend หรือ color matching หรือการเลือกเฉดสีให้เข้าและเหมาะสมที่สุด ซึ่งบางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ การผสมสีเข้าช่วย ซึ่งโทนสีหลักใน Dermablend คือ โทนสีเหลือง และโทนสีแดง สำหรับ Cover cream ที่ใช้สำหรับผิวหน้าจะมีสีให้เลือกทั้งหมด 10 เฉดสีด้วยกัน เทคนิคในการเลือกสี ในขณะที่เลือกสี ควรทำในที่ที่มีแสงธรรมชาติมากที่สุด และกว้างพอ การเลือกสีนอกจากจะเลือกให้เข้ากับสีผิวของคนไข้แล้ว ยังต้องให้ตรงกับ ความพอใจของคนไข้ด้วย ในกรณีที่ต้องผสมสี ไม่ควรจะใช้โทนสีเดียวกันผสมกันเอง ควรใช้โทนสีเหลือง ผสมกับสีแดง ซึ่งจะช่วยให้ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องให้คนไข้จำส่วนผสมให้ได้ว่าใช้อัตราส่วนเท่าไหร่ด้วย สำหรับการ Test สีที่จะใช้บนใบหน้า ควรจะ Test บริเวณคาง เพื่อเทียบกับ ลำคอ ไม่ควรจะใช้บริเวณหน้าผากเพราะเป็นบริเวณ sun exposed ซึ่งมักจะมีสีคล้ำกว่า ซึ่งจะทำให้เกิดการเทียบสีผิดพลาด ทำให้สีที่ใช้เกิดความแตกต่างกันระหว่าง สีที่ใบหน้าและคอ การเลือกสีนั้น จุดประสงค์เพื่อที่จะปกปิดปัญหาสีผิวที่ผิดปกติ ดังนั้นการเลือกสีควรจะเลือกให้เข้ากับผิวปกติ ไม่ใช่เลือกให้เข้ากับสีที่ผิดปกติ สำหรับเทคนิคการแต่งด้วย Dermablend ทา Moisturizer ให้ทั่วบริเวณที่จะแต่งโดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะได้ทา Cover cream ได้ง่ายขึ้น และเพื่อความชุ่มชื้นของผิว สำหรับใบหน้า ใช้พายตัก Cover cream ออกมาตามปริมาณที่ต้องการ มาป้ายบน หลังมือ หลังจากนั้น ก็ใช้นิ้วละเลงเนื้อครีมกับผิว เพื่อที่จะได้ทำให้เนื้อครีม เริ่มอ่อนตัวลง หลังจากนั้นก็ใช้ sponge ป้ายตัว cover cream มาทาให้ทั่วหน้า และบริเวณใดที่ต้องการจะปกปิดเพิ่ม ก็ใช้นิ้ว Dab cover cream มาปิดซ้ำอีกครั้ง (ไม่ควรจะใช้การถู หรือเกลี่ยครีมออกจากบริเวณนั้น เพราะจะทำให้ต้องเพิ่ม cover cream เข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้ดูหนา และไม่สวยงาม) สำหรับบริเวณลำตัวหรือแขนขา ก็แต่งเช่นเดียวกับบริเวณใบหน้า หลังจากลง Cover cream หรือ Leg and body cover แล้วก็ให้ลง Sitting Powder ทับ (สำหรับ Leg and body cover ควรทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ก่อนจะลง sitting powder แต่สำหรับ Cover cream สามารถลง Sitting Powder ได้เลย) ซึ่งการลง sitting powder ควรใช้วิธีเขย่าและเท Sitting Powder ลงบน puff และค่อย ๆ แตะไปบนบริเวณ เนื้อครีม (ห้ามใช้วิธีถู puff กับบริเวณที่ทาครีม) หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงใช้แปรงปัดออกเบา ๆ (ห้ามใช้ puff ปัดออก) เพื่อปัดเอา Sitting powder ส่วนเกินออกก็เป็นการเสร็จสิ้นการแต่ง หลังจากแต่งแล้วเราจะสังเกตว่าบริเวณที่แต่งอาจจะดูขาวเล็กน้อย เหมือนกับทาแป้งฝุ่น แต่พอคนไข้เริ่มมี activity เริ่มมีเหงื่อ แป้ง Sitting powder ส่วนที่เกิน (หลังจากการปัดออก) ก็จะเริ่มหลุดไป คนไข้ก็จะกลับมามีสีตามที่เราแต่งเอาไว้ไม่เหลือคราบขาว ๆ อีก นอกจากนั้นสำหรับในคนไข้ผู้ชาย หากต้องการแต่งปิดเฉพาะจุดบกพร่องเฉย ๆ ก็ย่อมทำได้แต่จุดที่สำคัญคือ จะต้องเลือกสีให้กลมกลืนกับสีผิวปกติมากที่สุด เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการแต่ง Camouflage makeup ปกปิดบริเวณ lesion ที่มีสีเข้มมากกว่าสีผิวปกติ เช่น Solar lentigine (กระแดด), Melasma (ฝ้า), Postinflammatory hyperpigmentation (รอยดำตามหลังการอักเสบ) คือ ควรจะใช้ Cover cream สีที่อ่อนกว่าสีผิว ทาลงไปบริเวณ lesion เสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยทาสี ที่เป็นสีเกี่ยวกับสีผิวทับอีกครั้งหนึ่ง เอาล่ะครับ มาถึงตอนนี้หลายท่านคงพอจะเข้าหรือรู้เกี่ยวกับ Camouflage makeup หรือ Corrective หรือ Cover Cosmetics กันมากขึ้นแล้วนะครับ ทิ้งท้ายไว้นะครับสำหรับ Camouflage makeup นั้นเราควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น waterproof (กันน้ำได้) smudge-resistant (ไม่เป็นคราบด่าง), highly opaque, long-lasting (ติดทนนาน) nongreasy (ไม่มัน) fragrance-free (ไม่มีน้ำหอม) และที่สำคัญคือ ผ่านการทดสอบแล้ว จากแพทย์ผิวหนังว่าไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และไม่ก่อให้เกิดสิวนะครับ จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 04:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รอยย่นบนใบหน้าก็อาจแก้ไขได้ พญ.เยาวเรศ นาคแจ้ง ที่มา...นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 1 มกราคม 2540 ความสวยความงามบนใบหน้ายังเป็นที่ปรารถนาของทุกคน ไม่มีใครอยากมีรอยเหี่ยวย่นหรือรอยตีนกาบนใบหน้า เพราะมันฟ้องว่าแก่แล้ว บริษัทเครื่องสำอางต่างๆ ก็พากัน ผลิตเครื่องสำอางออกมาชะลอความแก่ บางบริษัทก็ผลิตโดย ยึดหลักทางการแพทย์ บางบริษัทก็ผลิตออกมาตามความเชื่อของตนเอง แต่โดยหลักการทางการแพทย์แล้วสิ่งต่อไปนี้อาจช่วยป้องกัน หรือลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้ เริ่มตั้งแต่ 1. ยากันแดด การใช้ยากันแดดตั้งแต่อายุน้อยๆ โดยเฉพาะยากันแดด ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันการกระทบกระทั่งของแสงแดดต่อผิวหนัง ได้หลายเท่า จะยิ่งทำให้ผิวหนังส่วนนั้นไม่มีโอกาสถูกแสงแดดเลย ที่นิยมใช้คือ ยากันแดดที่สามารถป้องกันแดดได้ 15 เท่า ของภาวะปกติ คือ SPF 15 (SPF คือ sun protective factor เป็นอัตราส่วนของพลังแสงแดดที่ทำให้เกิดความแดงบนผิวหน้า ขณะทายากันแดด หารด้วยพลังของแสงแดดชนิด B ที่ทำให้เกิดความแดงบนผิวหน้าในขณะไม่ทายากันแดด) หลักฐานที่แสดงว่ายากันแดดน่าจะป้องกันการเหยี่ยวย่นของใบหน้าได้นั้น ได้มาจากการที่ทายากันแดดบนหนังของกระต่าย แล้วส่องแสงแดดนาน พอประมาณ ทุกๆ วัน พบว่า ผิวหนังของกระต่ายสามารถซ่อมแซม ส่วนสึกหรอจากแสงแดดได้ ก็เลยเข้าใจว่า ถ้านำมาทาผิวหน้าของคน คงจะได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นกัน หมอผิวหนังจึงพากันแนะนำให้ทายากันแดด แต่ก่อนทาก็พึงทราบๆไว้ด้วยว่า ยากันแดดนั้นบางคนอาจแพ้ได้ โดยมีการแสบคัน สิวขึ้น ดังนั้นทาแล้วมีอาการดังกล่าวก็ควรงด 2. มอยเจอร์ครีม เป็นครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้า การใช้ครีมนี้เป็นประจำ จะทำให้ผิวหน้าชุ่มและเรียบไม่มีริ้วรอย เพราะครีมจะมีส่วนผสมของ น้ำมัน น้ำ ซึ่งเมื่อทาลงบนผิวหน้าแล้วจะทำให้คงสภาพของน้ำมัน และน้ำหล่อลื่นไว้ได้โดยที่ผิวจะอุ้มน้ำมันและน้ำไว้ดูชุ่มชื้นอยู่เสมอ แม้ส่วนอื่นๆ ที่อยู่ในครีมนี้จะระเหยออกไป แต่น้ำมันบางชนิดจะไม่ระเหย จึงเกาะเคลือบอยู่บนผิวหน้าได้ตลอด ผิวแห้งมักจะเหี่ยวย่นได้ง่าย และอาการผิวแห้งเกิดได้ทุกวัย การใช้มอยเจอร์ครีมจะช่วยป้องกันอาการแห้งได้ด้วย เพราะถ้าปล่อยให้แห้งนานๆ จะเริ่มคันและแดง 3. AHA หลายคนเคยทราบแล้วในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ AHA คือ alpha hydroxy acid ถ้าจะขายในตลาดโดยทุกคนมีสิทธิ์ซื้อได้ ไม่ควรใส่เกิน 3% ถ้าเกินกว่านี้อาจเกิดอาการแพ้ได้ในบางคน คือผิวหน้าลอกเป็นขุยเห็นชัดเจนและอาจคัน สารนี้ทำให้ผิวหน้าเรียบไร้ริ้วรอยและดูอ่อนวัยกว่าวัยอยู่เสมอ จริงๆ แล้ว AHA คือ กรดที่ได้จากกรดผลไม้ต่างๆ ที่คนไทยสมัยก่อน นำมาทาถูบนใบหน้า แต่ไม่ได้สกัดออกมาขายตามท้องตลาดเท่านั้นเอง แพทย์ผิวหนังใช้ AHA ประมาณ 40-60% เพื่อการลอกหน้าโดยสารนี้มีคุณสมบัติ ไปลอกชั้นขี้ไคลออกไป ทำให้ผิวดูบางลง ข้อเสียของการใช้สารนี้คือ บางรายเกิดอาการหน้าแดง ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย ตั้งแต่เชื้อไวรัส เช่น เริม เชื้อแบคทีเรีย เช่น หนองเม็ดเล็กๆ บนใบหน้า 4. Tretinoin คือ กรดวิตามินเอ มีจำหน่ายตามร้านขายยา ความเข้มข้นที่นิยมใช้คือ 0.05% เป็นยาที่ทาแล้วทำให้ผิวหน้าลอกเป็นขุยบางๆ มีอาการผิวแดง และจะยิ่งแดงมากขึ้นเมื่อถูกแดด ดังนั้นเมื่อแพทย์สั่งใช้ จึงแนะนำให้ทาก่อนนอนเพื่อเป็นการหลบแสงแดดไปในตัวเอง เมื่อครั้งที่ผลิตยาตัวนี้ออกมาใหม่ๆ คือเมื่อ 5-7 ปีก่อน มีแพทย์ชาวอเมริกัน มาอธิบายถึงการออกฤทธิ์ของยานี้ในการทำให้อาการเหยี่ยวย่นของผิวหน้าหายไป แพทย์ไทยก็ยังฮือฮาอยู่พักใหญ่ จนปัจจุบันนี้ก็หลายปีผ่านมาแล้ว ก็ปรากฏว่าผลป้องกันการเหี่ยวย่นไม่ชัดเจนจนเป็นที่ประทับใจนัก เพราะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะประเมินผลได้แน่นอนว่า ชะลอความแก่ได้จริงหรือไม่ 5. คอลลาเจน เป็นสารสกัดจากวัวโดยนำเอาคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังส่วนที่คาดว่ามีอาการย่น ได้แก่ หางตา หน้าผาก แก้ม เมื่อฉีดสารนี้เข้าไปก็จะไปกองอยู่ใต้ผิวหนังตรงที่เราฉีด สารนี้จะดันผิวหนังส่วนนั้นให้นูนเต่งขึ้นแต่ต้องทำด้วยความชำนาญ สารนี้ผลิตมาเมื่อ 10 กว่าปีนี้เอง แต่ปัจจุบันก็มีปัญหาเรื่องวัวบ้า จึงอาจมีการระงับการใช้ชั่วคราว 6. ลอกหน้าด้วยสารเคมี ต้องกระทำโดยแพทย์โดยการใช้ Trichloaetic acid หรือphenol เป็นเปอร์เซ็นต์ที่เหมาะสม ทางลงบริเวณที่มีรอยย่นสัปดาห์ละครั้ง จะมีส่วนทำให้รอยย่นหายไป แต่ต้องทำด้วยแพทย์ที่ชำนาญ ห้ามทำด้วยตนเองหรือโดยบุคคลที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมเป็นอย่างดี เพราะสารดังกล่าวจัดเป็นยาอันตราย เพราะเป็นกรดอย่างแรง เป็นกรดที่ใช้นำมาสาดหน้าของคู่อริ เพราะทำให้เกิดแผลเป็น น่าเกลียดน่ากลัวได้บนใบหน้า จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 05:05:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาอีกรอบกับ เครื่องสำอาง ใช้ได้นานแค่ไหน โดย คุณกระต่ายเต้น ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27 ฉบับที่ 7 สิงหาคม 2546 การเลือกซื้อเครื่องสำอางมีคุณภาพดีนั้นไม่ยากนัก แต่ต้องอาศัยความละเอียดถี่ถ้วนพอสมควร เพราะบ่อยครั้งที่จุดเล็กๆ อย่างอายุของเครื่องสำอาง อาจทำให้สาวๆ เสี่ยงกับอันตรายต่อผิวสวยๆ เครื่องสำอางหมดอายุโดยไม่รู้ตัว เครื่องสำอางที่ดีจะต้องบอกเวลาผลิตเอาไว้ เช่น Manufactured ตามด้วยตัวเลขบอก วัน-เดือน-ปีที่ผลิต หรือวันหมดอายุ เช่น Best ( หรือ Used) before ตามด้วยวัน-เดือน-ปีที่หมดอายุไว้ แม้จะมีการระบุวันที่เอาไว้ เครื่องสำอางส่วนใหญ่บอกเฉพาะวันที่ผลิต แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหมดอายุเมื่อไรกัน มีหลักคร่าวๆ ให้พิจารณา ดังนี้ มาสคารา (Mascara) หมดอายุภายใน 3 เดือนหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก อายแชโดว์ (Eye Shadow) หมดอายุภายใน 2 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก อายไลเนอร์ (Eye Liner) หรือดินสอเขียนขอบตา ในกรณีที่มีการเหลาเป็นประจำ จะหมดอายุภายใน 2 ปี ลิปสติก (Lipstick) หมดอายุภายใน 2-3 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก ลิปไลเนอร์ (Lip Liner) หรือดินสอเขียนขอบปาก หมดอายุภายใน 2 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก รองพื้น(Foundation) ถ้าเป็นแบบผสมน้ำ ใช้ได้ 1 ปี แบบผสมน้ำมันใช้ได้ภายใน 1 ปีครึ่ง หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก แป้งฝุ่นหรือแป้งบลัชออน (Blush on) สีต่างๆ ที่ใช้ทาแก้ม/หน้า หมดอายุภายใน 2 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก ยาทาเล็บ ปกติจะหมดอายุภายใน 1 ปี แล้วแต่คุณภาพ ระหว่างนั้นถ้าไม่ค่อยได้ใช้ ควรเขย่าขวดบ่อยๆ จะช่วยยืดอายุได้ น้ำหอม ถ้ายังไม่เปิดใช้เก็บให้ห่างจากแสงสว่างและความร้อนจะมีอายุนาน 3 ปี ถ้าเริ่มเปิดใช้จะอยู่ได้ราว 1 ปีครึ่ง แต่ถ้าเริ่มมีกลิ่นผิดปกติหรือกลิ่นฉุนเหมือนน้ำส้มสายชู มีสีคล้ำลงหรือเปลี่ยนสี ลักษณะข้นเหนียวแสดงว่าน้ำหอมขวดนั้นหมดอายุแล้ว ทั้งหมดเป็นวิธีการประเมินในเบื้องต้น เครื่องสำอางบางยี่ห้ออาจใช้ได้นานหรือสั้นกว่านี้ ซึ่งการใช้และการเก็บรักษาก็มีส่วน ถ้าเก็บในที่สะอาด ปิดมิดชิด และอุณหภูมิไม่สูงเกินไป เครื่องสำอางก็จะอยู่ได้นาน ส่วนวะการใช้ที่ถูกต้อง เช่น เครื่องสำอางที่ใช้กับบริเวณที่บอบบางมากๆ เช่น ดวงตาอย่างอายไลเนอร์หรือมาสคาราไม่ควรใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะอาจเกิดการติดเชื้อโดยบังเอิญได้ เช่นเดียวกับลิปสติกควรใช้คู่กับพู่กันทาปากจะดีกว่าการใช้ทาลงบนริมฝีปากโดยตรง เพราะจะทำให้เนื้อลิปสติกปลอดจากการปนเปื้อนของแบคทีเรียและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 47 05:18:59 จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 05:09:40 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่แปะมาซะเยอะในกระทู้คุณรำเพย ขอบคุณคุณรำเพยด้วยค่ะ ที่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ได้ คิดว่าคงพอแค่นี้แล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวจะตาลายกันไปหมด อย่างรัย ยังมีเรื่องน่าอ่านอีกเยอะนะคะ เช่นเรื่องสิว เรื่องฝ้า การทำ botox การดูแลเส้นผม ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีอันตราย แพ้ หรือไม่แพ้ อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ http://www.elib-online.com/doctors/dermato_cosmetic.html#A2 ค่ะ ทั้งนี้โกโก้ มิได้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างใดกับเวปดังกล่าวค่ะ แค่ตามเข้าไปอ่านแล้วพบเรื่องน่าสนใจมากมาย เลยอยากเอามาแบ่งปัน เพราะได้ความรู้อะไรดีๆ จากที่นี่ไปเยอะเหมือนกัน เลยชอบที่จะหาสิ่งที่น่าสนใจมาบอกเล่ากันค่ะ แลกเปลี่ยนความรู้กันนะคะ บอร์ดจะได้ไม่เหงาค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ไป "จอง" ของกันซะเยอะ ที่นี่เหงาเลยนะคะ ^_^ จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 05:25:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 -*- อ่านไม่หมด เดี๋ยวมาอ่านใหม่ ความรู้เต็มสมอง จะออกสอบไหมเนี่ยะ กรี๊ดดดด จากคุณ : แพนด้านุ้ย - [ 16 ธ.ค. 47 07:39:43 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณค่ะ คุณรำเพย และคุณ cocoa butter ต้อง save เก็บไว้อ่านก่อนล่ะ จากคุณ : แพท ภัทรียา - [ 16 ธ.ค. 47 07:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ออกสอบแน่ ๆ เลย จากคุณ : jipnaja - [ 16 ธ.ค. 47 08:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หนูเนยโกโก้ จะให้พี่ออกข้อสอบเหรอ ได้ได้ ป้าจะอิ๊บเนี่ย คนแรกเลย มาทำข้อสอบได้ หุ หุ จากคุณ : รำเพย - [ 16 ธ.ค. 47 08:57:01 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ^ ข้อสอบวิชาโภชนาการและความงาม 1. จงอธิบายเทคนิคในการเลือก Camouflage Makeup มาอย่างละเอียด 2. AHA คืออะไร? 3. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างซันสกรีนและซันบล็อกมาอย่างละเอียด จากคุณ : cutiebear - [ 16 ธ.ค. 47 09:14:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ทำไมในประเทศไทยไม่เปิดสาขาโภชนาการและความงามเนอะ?(หรือว่ามีแล้วแต่ไม่รู้หว่า?) จากคุณ : charlotte - [ 16 ธ.ค. 47 09:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มีประโยชน์มากๆ แต่ก็ยาว+เยอะมากๆ ตาลายค่ะ อ่านไม่หมด ต้องพักไว้ก่อน ไงๆ ก็ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ฟรองซ์98 - [ 16 ธ.ค. 47 10:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ จากคุณ : รอรักแท้ - [ 16 ธ.ค. 47 11:25:23 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คำตอบ ย้อนกลับไปดูข้างบน จากคุณ : jipnaja - [ 16 ธ.ค. 47 12:07:45 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณคะมีประโยชน์มากๆคะ จากคุณ : honeymew - [ 16 ธ.ค. 47 12:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กระทู้นี้ save โดยด่วน ขอบคุณคุณรำเพยและคุณเนยโกโก้ค่ะ จากคุณ : หัวฟูค่ะ - [ 16 ธ.ค. 47 13:00:16 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณพี่รำเพยมากๆครับๆๆๆ และพี่ Cocoa Butter ด้วยครับ จากคุณ : coombe lane's guy - [ 16 ธ.ค. 47 15:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากค่ะ (เยอะดีจริงๆ) จากคุณ : CoTTonu - [ 16 ธ.ค. 47 16:24:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณนะคะ ที่มีคนเห็นประโยชน์ อิอิ ออกข้อสอบดีกว่า ใครตอบคำถามพวกนี้ถูก เดี๋ยวมีรางวัลให้ ส่งตรงจากอเมริกาค่ะ อิอิ 1. sunscreen ต่างจาก sunblock อย่างรัยคะ เป็นไปได้ไหม ว่าไม่ต่างกันในบางกรณี เอาพอเข้าใจ idea นะคะ 2. การรักษาฝ้าให้หายสนิท ต้องทายารักษาฝ้าประกอบกับใช้กันแดดใช่หรือไม่คะ 3. ถ้าเราไปตากแดดนานๆ จะทำให้เกิดอาการแพ้แสงแดด เป็นผื่นแดง ใช่มั้ยคะ 4. ใครยังใช้เครื่องสำอางที่มันเลยกำหนดหมดอายุไปแล้ว แต่ทิ้งไม่ลงมั่งคะ อิอิ ลงชื่อกันเลยค่า โกโก้มีเพียบเลย ซื้อแล้วเก็บเป็นปีๆ จะทิ้งก็เสียดาย ใช้แค่สองสามครั้งเอง ส่วนมากเป็นยาทาเล็บ กับลิป เพราะไม่ค่อยได้ใช้ แต่ชอบสีมัน ทิ้งไม่ลงจริงจริ๊ง คุณครูจะมาตรวจข้อสอบพรุ่งนี้นะคะ วันนี้ขอบายไปนอนก่อนล่ะค่ะ จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 16:30:00 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ปล. ห้ามตอบแบบ คุณ jipnaja นะคะ ตอบอย่างนั้น โกโก้พับเสื่อกลับเมืองไทยเลยค่ะ ถูกทุกคน ^_^ จากคุณ : cocoa butter - [ 16 ธ.ค. 47 16:32:18 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ว้าว กระทู้นี้สาระแน่นปึ้กเลยค่ะ ขอบคุณพี่รำเพยและคุณโกโก้มากนะคะ^^ จากคุณ : sLap911 - [ 16 ธ.ค. 47 17:16:53 A:61.90.61.133 X: TicketID:053997 ]

ความคิดเห็นที่ 27 โอย รำเพยตาลาย จากคุณ : รำเพย - [ 16 ธ.ค. 47 17:26:48 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สุดยอดเลยครับ ผมจะมีออกรายงานเรื่องรังสี UV พอดี อิอิ copy ส่งอาจารย์ดีกว่า ^^ จากคุณ : หนุ่มติดดิน - [ 16 ธ.ค. 47 18:18:03 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คือว่าอ่านแล้วได้ความรู้มากๆ แต่ว่าเป็นคนที่เห็นอะไรที่คล้ายๆจะเป็นวิทยาศาสตร์จะตาลายและวิงเวียน แหะแหะ คือมีคำถามหลายๆข้อ หวังว่าจะมีผู้รู้หลายๆท่านช่วยไขข้อข้องใจนะคะ (เหมือนในนี้เหมือนจะมีกูรูเต็มไปหมด) กันแดดเนี่ย เราควรจะใช้แบบนี้ผสมมากับครีมเลย หรือว่าใช้ครีมที่ไม่มีกันแดดแล้วค่อยทากันแดดต่างหากคะ ตอนนี้ใช้คลาแรงค์ ไวท์ พลัส SPF 20 อยู่ คือเป็นเดย์ที่ผสมกันแดดเลยน่ะค่ะ โดยส่วนตัวใช้อะไรก็ไม่ค่อยแพ้ ตากแดดถึงดำ แต่ก็ขาวง่าย แต่พออ่านบทความแล้ว แดดไม่ไม่ใช่แค่ทำให้ดำ ก็เลยห่วงๆว่าไอ้ที่เราใช้ๆเนี่ยจะพอรึเปล่า (ปกติใช้ครีมทั่วๆไปจะกดครีม 1 จึ๊ก ก็พอ แต่เดย์จะกด 2 จึ๊ก เพราะอ่านในกระทู้ล่างๆบอกว่าให้ทากันแดดในปริมาณที่เยอะหน่อย อย่างก) อีกคำถามก็คือ ครีมทาหน้าเนี่ย มักจะมีสรรพคุณในการแก้ที่ไม่เหมือนกัน แล้วปกติมันมักจะแบ่งยังไงบ้างคะ อ่านแล้วจะเข้าใจไหมเนี่ย แบบว่าเช่น ตัวนี้ทำให้ขาว ตัวนี้เสริมสร้าง ตัวนี้ป้องกันอนุมูลอิสระ แบบนี้น่ะค่ะ มีการแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆบ้างไหมเอ่ย ถ้าคำถามมันดูแบบไร้สาระเหมือนกับว่าคนถามไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ขออภัยด้วย เพราะว่าไม่ค่อยเข้าใจอะไรที่เกี่ยวกับวิชาการเท่าไหร่ (อย่างที่บอก เห็นอะไรวิทย์ๆก็จะลงไปดิ้น วิชาวิทย์กายเรื่องแสงอาทิตย์และพลังงาน เต็ม 30 ยังได้ 3 มาแล้วเลย แหะ แหะ ^^" ) ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Ona - [ 16 ธ.ค. 47 19:35:17 A:61.91.141.164 X: TicketID:073019 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มาแจมมั่งค่ะ หาคำตอบมาให้ได้ 1 ข้อค่ะ หามาให้ จากในเวปที่คุณ cocoa butter แปะไว้ข้างบนนะคะ เรื่อง "สารพัดสารและผลิตภัณฑ์เพื่อการถนอมผิวหน้า" เพราะใบหน้าคือ ปราการด่านแรกที่ทำให้ผู้พบเห็นอยากเข้ามาทำความรู้จัก หรือไม่ก็รีบเดินหนีไป การใส่ใจถนอมผิวหน้าจึงเป็นเรื่องใหญ่ แม้ใบหน้าเราจะเล็กนิดเดียว เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย สำคัญขนาดนี้ ก็ต้องมาดูเรื่องการเลือกสารหรือผลิตภัณฑ์ เพื่อการถนอมผิวหน้าเสียหน่อย 1.ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวหน้าขาว เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ ที่มีสรรพคุณช่วยให้ผิวหน้าขาวนั้น ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย สารสีขาวทึบแสง เช่น ไตตาเนี่ยมไดออกไซด์ (Titanium dioxide) ซิงก์ออกไซด์ (Zinc oxide) บิสมัส สับไนเตรต (Bismuth subnitrate) คาโอลิน (Kaolin) ซึ่งมักจะมีอยู่ในเครื่องสำอาง ประเภทแป้งรองพื้น ทำให้หน้าขาวขึ้น ช่วยกลบเกลื้อน ลบริ้วรอยจุดด่างดำได้ แต่เมื่อล้างออก ผิวหน้าก็จะกลับสู่สภาพเดิม 1.1 AHA (Alpha Hydroxy Acids) เป็นสารที่ช่วยลดแรงยึดเหนี่ยวของเซลล์ในชั้นบน ของหนังกำพร้า ซึ่งเป็นเซลล์ที่ตายแล้วมีการทับถมกันของเซลล์ให้หลุดออกไปง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ๆ ที่แข็งแรงกว่าแทนที่ ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น ขาวเนียนขึ้น มีความยืดหยุ่น ริ้วรอยตื้นๆ ลดลง AHA บางคนเรียกเป็นภาษาไทยว่า " กรดผลไม้ " เนื่องจาก AHA มีอยู่ในผลไม้ ผู้ที่รักสวยรักงามในสมัยก่อนรู้จักใช้กันมานานแล้ว แต่จะเป็นการนำเอาผลไม้บางชนิด เช่น แตงกวา แอปเปิล สตรอเบอรี่ มาฝานเป็นแผ่นๆ แล้ววางบนหน้า แล้วทำให้หน้า ดูสดใสเปล่งปลั่ง แต่ในบางครั้งก็พบว่า ในผลไม้บางอย่างอาจมีสารที่ระคายเคือง ต่อผิวหนังโดยตรง หรือบางทีสารในผลไม้นั้นเมื่อถูกแสงแดด อาจเปลี่ยนเป็นสาร ที่ระคายต่อผิวหนังได้ ปัจจุบันจึงมีการสกัดสาร AHA มาใช้โดยตรง เพื่อความสะดวกในการใช้ และลดปัญหาเรื่องสารที่ระคายต่อผิว 1.2 BHA (Beta Hydroxy Acid) ได้แก่ กรดซิลิซิลิก (Salicylic Acid) เป็นสารที่มีคุณสมบัติ ทำให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไปได้เร็วขึ้น เช่นเดียวกับ AHA แต่เนื่องเป็นสาร ที่ละลายได้ดีในไขมัน จึงผ่านลงไปในผิวชั้นที่อยู่ลึกกว่า AHA ทำให้ลอกผิวได้ลึกกว่า แต่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้มากกว่าด้วย 1.3 สารป้องกันแสงแดด ที่ช่วยปกป้องผิวไม่ให้ดำคล้ำ หรือเกิดอันตรายเนื่องจากแสงแดด โดยการดูดซับคลื่นรังสี UVA และ UVB แต่ตามปกติเซลล์ผิวหนังจะมีระบบป้องกันตัวเอง ด้วยการผลิตเมลินิน (Melanin) ซึ่งเป็นสารสีดำ เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด จะสังเกตได้ง่ายๆ ว่าเมื่อผิวหนังบริเวณใดถูกแดด ผิวหนังบริเวณนั้นจะดำคล้ำขึ้น 1.4 วิตามินซี ทำหน้าที่ในการกำจัดอนุมูลอิสระ และเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน พบบ่อยในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียว แต่ในการใช้ผสม ในครีมบำรุงผิว ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าจะป้องกันผิวหนังหย่อนยานได้ นอกจากจะช่วยทำให้ผิวหน้าขาวขึ้น 2. ผลิตภัณฑ์ลบรอยเหี่ยวย่นและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การเลือกซื้อครีมบำรุงผิวเพื่อต่อต้านริ้วรอย ควรมีหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจว่า ตรงตามความต้องการของเราหรือไม่ องค์ประกอบของสารต่างๆ ที่ช่วยในการต่อต้านริ้วรอย และเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ลบริ้วรอยเหี่ยวย่น ได้แก่ 2.1 วิตามินอี เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่สำคัญในพลาสมาและเม็ดเลือดแดง ที่ช่วยปกป้องสารประกอบไขมันจากอนุมูลอิสระ ผลจากการทดลองพบว่า วิตามินอี ช่วยลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวหน้านุ่มขึ้น โดยไม่มีอันตราย แต่อย่างใด 2.2 Retinol อนุพันธ์สังเคราะห์ของวิตามินเอ เราเรียกว่าเรตินอยด์ ซึ่งพบว่า สามารถช่วยลดริ้วรอยได้ เมื่อทาสารนี้และทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น กระและฝ้าจางลง 2.3 Beta-carotene เป็นสารตั้งตนของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จาก Lipid Peroxidations ไม่ควรรับประทานติดต่อกัน เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้ 2.4 วิตามินบี 3 (Niacinamide) พบว่าช่วยในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า ทำให้ลดริ้วรอยได้ 2.5 Coenzyme Q-10 ในการทดลองพบว่า สารดังกล่าวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ ของร่างกายตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังพบว่า สามารถป้องกันการสันดาปของแสง UVA ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ จึงทำให้ลดริ้วรอยรอบดวงตา และชะลอความแก่ได้ 2.6 Panthenol เป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก มีคุณสมบัติดึงดูดน้ำได้ดี ถ้าเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ทาผิวก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว 2.7 AFA เป็นสารใหม่ ที่ย่อมาจาก Amino Fruit Acids เป็นกรดผลไม้ชนิดหนึ่ง ที่มีโครงสร้างคล้าย AHA แต่ AFA มีกลุ่มไอออนถึง 3 กลุ่ม ที่จะคอยทำลายอนุมูลอิสระ ในขณะที่ AHA มีกลุ่มไอออนเพียง 1 กลุ่ม ซึ่งหมายความว่า AFA จะสามรรถทำหน้าที่ เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากกว่า นั่นแสดงว่า สารนี้จะชะลอ การเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ดีกว่าด้วย นอกจากนี้ โครงสร้างของ AFA จะมีหมู่กรดอะมิโนอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสารสำคัญในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว แต่สารตัวนี้ยังมีการค้นคว้าวิจัยไม่มาก จึงต้องใช้ความระมัดระวัง และยังไม่มีขายในเมืองไทย 3. สารสกัดจากธรรมชาติ 3.1 น้ำมะขามเปียก ในมะขามเปียกมีวิตามินซีจากธรรมชาติสูงมาก มีสารที่ช่วยบำรุงผิว และทำให้ผิวหน้านุ่มนวล ความเปรี้ยวของน้ำมะขามมีฤทธิ์เป็นกรด จึงทำให้น้ำล้างหน้า กลายเป็นน้ำอ่อน ซึ่งทำให้ไม่ระคายเคืองผิวหน้า สามารถใช้ได้บ่อย และใช้ได้กับทุกลักษณะของผิว การทำน้ำมะขามเปียก คือ นำมะขามเปียกคั้นกับน้ำตาลให้เข้มข้น แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ เพียงครั้งเดียวให้สะอาด จากนั้นละเลงหน้าด้วยน้ำมะขามเปียก หมักไว้สัก 5-10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด 3.2 สารสกัดจากมังคุด (Garcenia Mangostana) เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทย ในมังคุดมีการค้นพบสาร GM-1 ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อหรือระงับการเจริญเติบโต ของเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ แก้แพ้ โดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนสเตียรอยด์ ช่วยกระชับรูขุมขน สมานผิว และต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดภาวะริ้วรอย จึงนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์รักษาผิวหน้า และช่วยรักษาสิว 3.3 ใบแปะก๊วย (Ginkgo Biloba) เป็นพืชโบราณของจีน ที่นำมารับประทาน เพื่อรักษาโรคหอบหืด และเป็นยาขับปัสสาวะ แต่ในแปะก๊วย มีสาร Ginkgolides ซึ่งมีสาร Antixoidants ป้องกันภาวะชรา และช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในระบบประสาท และป้องกันการตีบตันของเส้นเลือด โดยเพิ่มพลังงานในเซลล์ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ซึ่งผู้ผลิตเครื่องสำอางได้นำมาสกัดและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ช่วยชะลดริ้วรอย ขับสารพิษออกจากผิว ทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง 3.4 ชาออสซี่ หรือ ทีทรี (Tea Tree) เป็นชาที่มีต้นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ชาวพื้นเมืองได้นำมาใช้เพื่อรักษาแผลสดและป้องกันการติดเชื้อ โดยใช้น้ำมันจากใบ มีสาร Terpenan-4-ol ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อราได้หลายชนิด จึงได้มีการนำสารดังกล่าวมาใช้ในผลิตภัณฑ์ล้างหน้าเพื่อลดความมัน ช่วยป้องกัน และรักษาสิว นอกจากนี้ยังใช้ในกลุ่มพวก แชมพู สบู่อาบน้ำ และคลีนเซอร์ เป็นต้น 3.5 ชาเขียว (Green Tea) เป็นพืชสมุนไพรของจีน เดิมใช้รักษาอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อย อาหารไม่ย่อย หดหู่ ไข้หวัด ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง พบว่าในชาเขียว มีสาร Polyphenols ที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่ทำให้เกิดริ้วรอย ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ลดระดับคลอเลสเตอรอล ในวงการ เครื่องสำอางได้นำมาผสมในผลิตภัณฑ์ป้องกันและลดริ้วรอย ฟื้นฟูสภาพผิวให้เปล่งปลั่ง สดใส 3.6 โสม (Gingeng) พืชสมุนไพรที่ขึ้นชื่อที่สุดของจีน ที่มีส่วนประกอบของสาร Ginsenoside ที่มีคุณสมบัติชะลอความเสื่อมของเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้แก่ช้า ช่วยปรับสภาพร่างกาย ให้ทนต่อความเครียด และลดการอ่อนล้า เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย ในวงการความงาม ได้มีการนำโสมมาใช้ในครีมบำรุงผิวหน้า ชะลอความแก่ ครีมบำรุงผิวกาย 3.7 Licorice เป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากแป้งสาลี ชะเอม ปัจจุบันนิยมนำมาผสมในเครื่องสำอาง เช่น แป้งรองพื้น ครีมบำรุงผิวหน้า ผิวกาย ลิปสติค ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า แม้ว่าผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ จะมีประโยชน์และมีความเสี่ยงน้อยกว่าสารเคมี แต่ถ้าจะให้ดีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการใช้โดยปราศจากความรู้ หรือไม่มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำ อาจทำให้เกิดโทษได้เช่นกัน เช่น การใช้สารที่มีความเข้มข้นมากไป ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในคนที่ผิวแพ้ง่าย หรือใช้ผิดขั้นตอน หรือมีการเก็บที่ไม่ถูกต้อง เหมาะสม ก็อาจส่งผลต่อผิวพรรณได้ทั้งสิ้น เขียนโดย...สุชาวดี จตุทิพย์โกมล ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 25 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2544 เห็นสารธรรมชาติมากแบบนี้แล้ว ลงไปอ่านเรื่อง • • เครื่องสำอางธรรมชาติ ไม่แพ้จริงหรือ • • ของพี่รำเพย ประกอบด้วยเลยนะคะ อีกข้อ ขอเชิญพี่รำเพยผู้เชี่ยวชาญด้านกันแดดมาตอบดีกว่าค่ะ มิกล้า จากคุณ : ปอสี่ - [ 16 ธ.ค. 47 19:44:49 A:63.203.69.66 X: TicketID:006304 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โอ๊ะ มาตอบอย่างรวดเร็ว ขอบคุณมากๆค่ะ อย่างนี้ สมมติว่าเพื่อนกำลังใช้ครีมที่มีวิตามินซีอยู่ มันบอกว่าใช้แล้วขาวเด้งมากๆ (เห็นด้วยกับมันมากว่ามันดูเด้งขึ้น) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันริ้วรอย ดังนั้นต้องหาครีมที่มีสารป้องกันริ้วรอยมาใช้คู่กัน หรือว่าอาจจะหาครีมที่มีทั้งวิตามินซีและสารป้องกันริ้วรอยผสมอยู่มาใช้ จะได้ครบเครื่อง แบบนี้ใช่ไหมค่ะ ^^ (คนห้องนี้ใจดีจัง แอบติดอ่านทุกวันเลยนะเนี่ย) จากคุณ : Ona - [ 16 ธ.ค. 47 21:02:57 A:61.91.141.164 X: TicketID:073019 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ทำไมเยอะจังง่า o.O ขอม่ายอ่านซักกระทู้นะคะ หนูง่วงอ่า จากคุณ : นู๋ มิ น (Smelly) - [ 16 ธ.ค. 47 21:20:23 ]

ความคิดเห็นที่ 33 save + vote + เก็บเข้าคลัง แต่เดี๋ยวจะเข้ามาอ่านใหม่น๊า ตาลายไปหมดแล้ว จากคุณ : winki_pinki - [ 16 ธ.ค. 47 23:42:39 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ยาวชะมัด มาจองที่ก่อง อิอิ เด๊วกลับมาอ่าน จากคุณ : น้องเป็นสาวขอนแก่น (krtty) - [ 17 ธ.ค. 47 00:11:23 ]

ความคิดเห็นที่ 35 กันแดดเนี่ย เราควรจะใช้แบบนี้ผสมมากับครีมเลย หรือว่าใช้ครีมที่ไม่มีกันแดดแล้วค่อยทากันแดดต่างหากคะ ตอนนี้ใช้คลาแรงค์ ไวท์ พลัส SPF 20 อยู่ คือเป็นเดย์ที่ผสมกันแดดเลยน่ะค่ะ โดยส่วนตัวใช้อะไรก็ไม่ค่อยแพ้ ตากแดดถึงดำ แต่ก็ขาวง่าย แต่พออ่านบทความแล้ว แดดไม่ไม่ใช่แค่ทำให้ดำ ก็เลยห่วงๆว่าไอ้ที่เราใช้ๆเนี่ยจะพอรึเปล่า รำเพยจะต้องตอบว่าการจะตอบได้ว่าครีมทาผิวที่คุณใช้อยู่นั้นกันรังสียูวีได้ครบอยู่หรือไม่น่ะจะต้อง ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของสารกันแดดที่ใส่ไว้ค่ะ ถ้าคุณบอกส่วนผสมที่เป็นสารกันแดดมาให้ดูก็จะดูให้ได้ว่ากันครบหรือไม่ กันแดดกับครีมบำรุงผสมกันแดดน่ะไม่แตกต่างนะคะ ถ้าใช้ในบริมาณเท่ากันและใส่สารกันแดดไว้กันได้ครบ ใช้อันใดอันหนึ่งก็ได้ค่ะแค่ว่าต้องเลือกเป็นแค่นั้น และไอ้ที่จะกันครบหรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคา เพราะว่าของแพงบางอย่างที่กันได้ไม่ครบก็มี ของถูกที่กันครบก็มี มันแล้วแต่จริงๆจ้ะ แล้วแต่สารเลยค่ะ ส่วนที่เหลือ ต้องให้คนเอามาแปะมาตอบละค่ะ (เอามาแปะดีนัก รับผิดชอบตอบด้วยน้อง) แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 47 09:48:23 จากคุณ : รำเพย - [ 17 ธ.ค. 47 09:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 36 กั๊ซซซซซซซซซซซซซซซ กล่องไม่อยู่นี่นา จิ๊ ใช้ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองจีน พอกลับมาก็ทิ้งกล่องไปแล้ว (ปกติเป็นคนใช้ยังไม่หมด ก็ยังไม่ทิ้งกล่อง) เดี๋ยวๆลองดูในเวปก่อนละกันค่ะ เผื่อมี อ๊ะๆ เจอแล้ว ส่วนผสมดังนี้นะคะ Ingredients : - Lock-Around System ®: a combination of Raspberry Extract and a Vitamin C derivative. Slows down all factors which trigger pigmentation. - Clarins patented plant combination (Parsley, Camomile) and fruit extracts (Grapefruit and Japanese Mandarin) to brighten, freshen and illuminate the complexion. - UVA PA ++ and UVB SPF 20 filters: photostable and heat resistant. - Polyols: maintain moisture levels in the epidermis. - Velsilk® Complex: ensures optimal hydration, promotes a matte appearance and leaves skin feeling silky-smooth. - Chamomile (Alleviates,Relaxes) - Gentian (Purifies,Regenerates) - Grapefruit (Moisturises,Protects,Purifies,Regenerates) - Mandarin (Nourishes) - Parsley (Clears,Tones) ขอบคุณค่ะที่ตอบคำถาม ^^ (เจ้าเมืองจีนตัวดีเลยนะคะ ทำหน้าพังสุดๆ เพื่อนๆที่มาจากต่างประเทศก็บ่นกันระงมเลย ใครไปก็ระวังด้วยนะคะ) จากคุณ : Ona - [ 17 ธ.ค. 47 10:31:38 A:61.91.82.231 X: TicketID:073019 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาอ่าน... (แล้วมึน) จากคุณ : balabongi - [ 17 ธ.ค. 47 10:59:22 ]

ความคิดเห็นที่ 38 @_@ เป็นอีกทู้ที่กว่าจะอ่านจบก็... จากคุณ : ~ONe PeAcH~ - [ 17 ธ.ค. 47 20:45:06 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ cocoa butter ทำมัยไม่มีคนมาตอบเรยอ่ะ แล้วเราตอบตอนนี้ยังทันป่าวเนี่ย !!! 1. sunscreen ต่างจาก sunblock อย่างรัยคะ เป็นไปได้ไหม ว่าไม่ต่างกันในบางกรณี เอาพอเข้าใจ idea นะคะ = ซันสกรีน มีสารเคมี ที่จะทำปฏิกริยากับสารเคมี บนผิวหนัง จนได้สารที่ช่วยปกป้องผิวหนัง จากแสงแดด มีค่า SPF ซันบล็อค ทำหน้าที่เป็นเสมือนม่านบังแดดให้ผิวหนัง จึงไม่มีค่า SPF ในกรณีที่ซันสกรีนมี SPF สูงกว่า 15 บางทีเขาก็เรียกผลิตภัณฑ์นั้นว่าซันบล็อคได้ (ขออนุญาต ก๊อปปี้คำตอบบ้าง เพิ่มเติมเองบ้าง) 2. การรักษาฝ้าให้หายสนิท ต้องทายารักษาฝ้าประกอบกับใช้กันแดดใช่หรือไม่คะ = ไม่ใช่ค่ะ ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดๆ ที่จะรักษาฝ้าให้หายขาดได้ 3. ถ้าเราไปตากแดดนานๆ จะทำให้เกิดอาการแพ้แสงแดด เป็นผื่นแดง ใช่มั้ยคะ = ใช่ค่ะ และอาจเกิดจ้ำผิวไหม้แดดด้วย 4. ใครยังใช้เครื่องสำอางที่มันเลยกำหนดหมดอายุไปแล้ว แต่ทิ้งไม่ลงมั่งคะ อิอิ ลงชื่อกันเลยค่า = เราคนนึงละค่ะที่เสียดายสตางค์ ทิ้งไม่ลงจริง ๆ ลิปกลอส ลิปบาล์ม สารพัด ได้รางวัลป่าวจ๊ะ ฮิฮิ จากคุณ : น้ำเงี้ยว - [ 17 ธ.ค. 47 21:24:40 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ว้าว ๆ ความรู้เพียบ โดยเฉพาะเรื่องแพ้แดด เพราะว่าเป็นอยู่เลยค่ะ ชอบขึ้นผื่นแดง ๆ ประจำ แต่พอมาใช้ spectraban แล้วก็ดีขึ้นค่ะ จริง ๆ แล้วยี่ห้ออะไรก็ได้ ที่ไม่แพ้ และ spf ซัก 60 น่ะค่ะ เผอิญหมอแนะนำมาอย่างงี้ ซึ่งบางบทความก็บอกว่าค่า spf สูง ๆ ไปก็ไม่ได้ช่วยให้กันแดดมากขึ้นเท่าไหร่ ประมาณว่าไม่จำเป็น ใช้แค่ 30 ก็พอ หรือใช้แล้วอาจจะทำให้หน้าแพ้ได้ คงแล้วคนเนอะ จากคุณ : แบ๊น แบน - [ 17 ธ.ค. 47 21:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คุณ Ona คะ ไอ้ที่เขียนมาน่ะ คาแรงเค้าเขียนไว้แค่นี้เองค่ะเรื่องที่เกี่ยวกับสารกันแดดนะคะ เค้าบอกไว้แค่นี้เอง UVA PA ++ and UVB SPF 20 filters: photostable and heat resistant ไม่ได้บอกรายละเอียดสารว่าใส่อะไรไว้บ้างน่ะค่ะ แต่ว่าจากการที่ใช้คำว่า filters นี่น่ะ ก็ทำให้เดาได้อย่างหนึ่งว่าอาจจะกันได้ไม่ครบสำหรับยูวีเอนะคะ เพราะว่าปกติถ้ามันกันครบนี่มักจะเขียนว่า uv protection (แต่ก็ไม่เสมอไปนะคะ) เท่าที่เห็นมาพวกที่ใช้คำว่า "ตัวกรอง" นี่ส่วนมากกันได้ไม่ครบถ้วนน่ะค่ะ บางทีก็กันได้เกือบครบเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องบอกกันก่อนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดานะคะ เพราะว่าไม่ทราบแน่ชัดว่า "สาร" ที่เขาใช้นั้นใช้สารกันแดดอะไรบ้าง ดังนั้นจึงตอบได้แค่นี้แหละค่ะ จากคุณ : รำเพย - [ 18 ธ.ค. 47 05:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 42 โห ขอบคุณมากค่ะ คุณน้ำเงี้ยว นึกว่าถอดใจกันหมดแล้วค่ะ ^_^ ขอชื่อ ที่อยู่ หลังไมค์ นะคะ จะส่งของไปให้ค่ะ จากคุณ : cocoa butter - [ 18 ธ.ค. 47 07:25:05 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คุณ cocoa butter หลังไมค์แล้วนะคะ ดีใจจังค่ะ จากคุณ : น้ำเงี้ยว - [ 18 ธ.ค. 47 20:59:28 ]