ความคิดเห็นที่ 2
"สายนทีรินหลั่งจากฟ้า แบ่งพสุธาเป็นซ้ายและขวาสองฝั่ง.."
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ป้าเวียงแก้ว-เวียงแก้ว ลัดตะนะสะหวัน คู่ชีวิตของ สุลิวัต ได้ครวญเพลง "สองฝั่งของ" อย่างไพเราะ และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้ขับร้องโดยไม่ต้องเปิดดูเนื้อเพลงเลยแม้แต่น้อย เพราะนอกจากทุกถ้อยความจะแนบแน่นอยู่ในใจอยู่เสมอ เช่นเดียวกับภาพของคู่ชีวิตที่จากไปแล้ว ป้าเวียงแก้ว ยังเป็นผู้ดูแลลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดของ "สุลิวัต" ด้วย นับแต่ที่ผู้เป็นสามีได้เสียชีวิตไปเมื่อ 7 ปีก่อน
แม้ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนในชีวิต แต่ด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มและการต้อนรับเปี่ยมด้วยไมตรีของหญิงผู้สูงวัยในวันแดดงามยามต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ไปเยือนยัง สองชั้นบนถนนสายหลักเมืองคันทะบุลี แขวงสะหวันนะเขตหลังนั้น มั่นใจทันทีว่าหญิงเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นเบื้องหน้ามิใช่ใครอื่น
เมื่อทักทายสบายดีกันแล้ว มุมหนึ่งของบ้านที่เปิดเป็นกิจการโต๊ะสนุกเกอร์เกือบสิบโต๊ะ จึงกลายเป็นที่สนทนาของคนสองฝั่งโขงไปทันที ท่ามกลางเสียงครึกครื้นของลูกค้าและไม้คิวกระทบลูกที่แทรกมาเป็นระยะๆ
""ลูกๆ ไม่มีใครมาทางดนตรีเลย มีแต่ค้าขายอยู่ตลาด แต่เขาก็รู้อยู่ว่าพ่อเป็นนักประพันธ์ดัง แต่ก็ไม่อยากจะมายุ่งเกี่ยว เพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่ เพลงที่เอาไปร้อง ลูกๆ เขาก็ไม่รู้รายละเอียดว่าเพลงไหนเป็นของพ่อ มีแต่แม่นี่แหละที่รู้ และเก็บไว้หมดทุกเพลง""
ป้าเวียงแก้ว ในวัย 59 ปี เอ่ยถึงลูกชายหญิงทั้ง 4 ที่ออกเรือนไปกันหมดแล้วด้วยความเสียดายที่ไม่มีใครสืบทอดแม้แต่คนเดียว
แต่นั่นยังไม่มากเท่า การที่เพลงดังหลายเพลงของสุลิวัต ถูกคนที่ไม่ใช่ลูกหลานตระกูล "ลัดตะนะสะหวัน" นำไปขับร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยคนที่ไม่ได้ขออนุญาตอีกต่างหาก
""เพลงท่านก็มีหลาย อยู่ต่างประเทศก็ร้องมาขาย ทำซีดีออกมาขาย พี่น้องหลายคนก็ว่าทำไมบ่ติดตาม เราก็ไม่รู้จะติดตามยังไง บางครั้งก็ลองๆ ดูอยู่ว่าบางม้วนที่อัดต่างประเทศก็บ่เห็นมาติดต่อหรือขออนุญาตสักครั้ง บางม้วนที่อยู่ต่างประเทศก็ทำไมมีเพลงท่านเข้าไป โดยที่ท่านก็ไม่ได้มีตัวแทน มีแต่เรานี่แหละ ก็คิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี ก็เลยอยู่ไปเรื่อยๆ""
ตลอด 7 ปีมานี้จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความช้ำชอกใจระคนสงสัยก็ว่าได้ เพราะไม่รู้จะไปติดตามอย่างไรดี ได้แต่ติดตามกระแสโดยการซื้อซีดีเพลงนั้นเพลงนี้มาฟังว่าเป็นเพลงของสุลิวัตหรือไม่เท่านั้นเอง โดยมี "กุหลาบปากซัน" เป็นที่ตั้ง ร่วมด้วย "เวียงในฝัน" และ "สองฝั่งของ" ที่ถูกนำไปร้องอยู่เนืองๆ
หรืออย่างล่าสุดที่เพลงเก่าที่กลับมาดังอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น "ปลาแดกก้นไห", "ฮักเหนือคมมีด" หรือแม้กระทั่ง "เซโปนรำลึก" ก็หาได้มีใครมาติดต่อไม่
ลักษณะการขายเพลงตอนที่สุลิวัตมีชีวิตอยู่ ป้าเวียงแก้วเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร ปล่อยให้ผู้เป็นสามีได้จัดการธุระตามใจชอบ ถึงกระนั้นยังจำได้ว่าแม้มีการขายเพลงก็จริงอยู่ บางคนมาถึงบ้านก็มีให้เห็นอยู่ แต่ถือว่าเป็นจำนวนน้อยที่สุด
จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่เวลานั้น ป้าเวียงแก้วจะไม่ทราบถึง ตอนที่ บัวเงิน ซาพูวง อธิบดีศิลปากรลาว คนปัจจุบัน ครั้งหนึ่งสมัยที่เป็นรองอธิบดีก็เคยไปหาท่านจำปาถึงบ้านที่สะหวันนะเขต เพื่อขออนุญาตนำเพลง "กุหลาบปากซัน" และ "เวียงในฝัน" มาบันทึกเสียงในเมืองไทย โดยมอบเงิน 3,000 บาทให้ท่านจำปาไว้เป็นค่าลิขสิทธิ์เพลง ซึ่งในตอนนั้นท่านจำปาไม่รู้หรอกว่าบัวเงินซื้อเพลงมาให้สุนารี และตัวเขาเองขับร้องในชุด "คู่ขวัญสองฝั่งโขง" ด้วย
อย่างไรก็ดี ในรอบ 7 ปีมานี้ ตั้งแต่ท่านจำปาตายไป ป้าเวียงแก้วได้รับค่าเพลงเพียงสามครั้งเท่านั้น
ครั้งแรก - ได้จากท่านบัวเงิน ที่นำเพลงไปร้องคู่กับสุนารี จำนวน 3,000 บาท และหลังจากท่านสุลิวัตเสียชีวิต ป้าเวียงแก้วได้เข้าพบท่านบัวเงินอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเจรจาเรื่องค่าเพลง ก็ได้เงินมาอีกจำนวนหนึ่ง
ครั้งที่สอง - มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ก้อนหนึ่งเพิ่งได้รับเมื่อกลางปีที่แล้ว จำนวน 5,000 บาทจากกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม ที่ส่งเงินพร้อมจดหมายแจ้งว่าเป็นค่าลิขสิทธิ์เพลง "กุหลาบปากซัน" ที่นักร้องไทยนำไปบันทึกเสียง โดยไม่ได้ระบุชื่อศิลปินไทยแต่อย่างใด
ครั้งที่สาม - เป็นค่ามันสมองที่น่าตกใจที่สุด ก็เห็นจะเป็นเมื่อ 7 ปีก่อน ครั้งที่ นพดล ดวงพร แห่งวงดนตรีเพชรพิณทอง ได้ขอซื้อเพลง "กุหลาบปากซัน" ผ่านทานตะวัน นักร้องของท่านจำปา ที่เวียงจันทน์ ในราคาเพียง 30,000 กีบ หรือคิดในอัตราสมัยนั้นก็ประมาณ 1,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท เท่ากับ 30 กีบ) แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันก็เหลือเพียง 150 บาทเท่านั้น เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเวลานี้ 1 บาทแลกได้ 200 กีบ
หนังสือสัญญาที่ระบุว่า ""...นพดล ดวงพรยินดีจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ก่อน 30,000 กีบ แล้วภายหลังอัดสำเร็จแล้วจะจ่ายให้อีกจำนวนหนึ่งตามความเหมาะสม..."" ซึ่งในสัญญาดังกล่าวมิได้ระบุจำนวนชุดลงไปด้วย
ถึงวันนี้ป้าเวียงแก้วก็ยังคงเก็บรักษาสำเนาสัญญาซื้อเพลงดังกล่าวไว้เป็นอย่างดี โดยที่มิได้คอยและหวังว่าจะได้ "เพิ่ม" อีกเท่าไหร่
นั่นเป็นสามครั้งที่ได้รับค่าเพลง นอกนั้นไม่เคยได้รับเลย แม้กระทั่งศิลปินที่เคยบอกว่าได้จ่ายค่าเพลงโดยฝากผ่านญาติพี่น้องฝั่งลาว ป้าเวียงแก้วก็ไม่เคยเห็นแม้แต่กีบเดียว
สมมติทุกค่ายเพลงจ่ายเงินตามจำนวนครั้งที่ "เนชั่นสุดสัปดาห์" รวบรวมไว้ในตารางประกอบเรื่อง เฉพาะเพลง "กุหลาบปากซัน" เพลงเดียว ถ้าซื้อขายกันในราคาเพลงอมตะลูกทุ่งไทย ก็ตกเพลงละ 10,000 บาทต่อ 1 ต้นแบบ ซึ่งมีการบันทึกเสียงไปแล้ว 14 ต้นแบบ ป้าเวียงแก้วก็จะได้เงินประมาณ 1 แสน 4 หมื่นบาท
มันเป็นเงิน "ค่ามันสมอง" หรือ "ค่าปากกา" ของนักแต่งเพลงคนหนึ่งควรจะได้มิใช่หรือ?
ด้วยวัย 59 ปี แม้จะดูสุขภาพแข็งแรงหน้าตาผ่องใสไม่เจ็บไข้ อีกทั้งยังพร้อมหน้าด้วยลูกหญิงชายทั้งสี่ และเป็นย่ายายที่ใจดีของหลานอีกห้า-หกคนก็ตาม ตลอดระยะเจ็ดปีกว่ามานี้ ข้อสงสัยเรื่องการดูแลลิขสิทธิ์เพลงยังค้างคาใจเสมอมา
""ก็มีแต่รักษาไปอย่างนี้แหละ จิตใจเรานั้นคิดไม่อย่างทำอะไร อยากอยู่เฉยๆ ไปเรื่อยๆ แก่แล้วไม่อยากไปทำอะไรรุนแรง เขาเอาของเราไปขาย ถ้าเขาอยากให้เรา เขาก็ให้ ก็คิดว่าแล้วไป แต่ว่าป่านนี้มันเป็นอย่างนี้แล้ว คุณค่าเพลงเราก็รู้อยู่ แต่ก็คิดซื่อๆ พอกินก็กินไป มีพออยู่ก็อยู่ไปน่ะนะ (หัวเราะ) บ่ได้เดือดร้อน ลูกก็ใหญ่หมดแล้ว เป็นครอบเป็นครัว ลูกก็พออยู่พอกินแหละ..อยากอยู่แต่บ้านบ่อยากออกไปเอาจริงเอาจังกับเขานะ""
ป้าเวียงแก้วกล่าวทิ้งท้าย พร้อมกับยกกรุเพลงต้นฉบับลายมือของ สุลิวัต มาให้ดูเป็นหลักฐาน ว่ามิได้มีแค่เพลงดังๆ ที่เคยได้ยินเท่านั้น หากแต่มีอีกนับร้อยที่ไพเราะน่าร้องน่าฟัง
""จะพูดยังไงดี มีแต่ว่าถ้าอยากเอาเพลงท่านจำปาไปร้องไปอัดขาย มีแต่ว่าอยากให้มาพัวพันด้วย ไม่ว่าค่าตอบแทนมันจะน้อยจะมากก็ตาม แต่ว่าเราในนามเป็นผู้รับช่วงต่อ อยากรู้ว่าได้อนุญาตให้แล้ว ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลเพลง จะได้รู้ว่าใครเอาไปอัดด้วยวิธีใด""
เป็นดังนี้แล้ว ข้ามฝั่งของคงไม่ไกลเหลือตาและฝ่าเท้าที่ศิลปินนักร้องแต่ละท่านจะก้าวเดินไปเยี่ยมยามถามข่าวแล้วกระมัง?
+++++++++++++++++++++++++
ที่มา - เนชั่นฯ สุดสัปดาห์
โดยคุณ : นิวาตะ
จากคุณ :
447
- [
18 ธ.ค. 47 14:52:53
]
|
|
|