CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    THIS LIFE..........18 มงกุฎที่เมลเบิร์น(เรื่องเล่าสู่กันฟัง)

    ในบรรดาผู้เสพยาเสพติดหรือชื่อสามัญตามที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า “ขี้ยา” นั้นคงจะไม่มีขี้ยาที่ไหนสบายไปกว่าขี้ยาของออสเตรเลียโดยเฉพาะที่เมลเบิร์นนี้ ทั้งนี้เพราะว่าสวัสดิการสังคมและเงินว่างงานสามารถเอื้ออำนวยให้พวกนี้ได้อยู่กินแบบสบาย รวมทั้งกฎหมายบ้านเมืองยอมอ่อนข้อให้พวกเค้าในบางเรื่องเช่น อนุญาตให้ปลูกกัญชาไว้สำหรับเสพส่วนตัวได้ไม่เกินคนละหนึ่งต้นหรือในบางรัฐอนุญาตถึงสามต้นก็มี และพวกที่ขึ้นทะเบียนเพื่อบำบัดรักษานั้นสามารถไปฉีดสารเสพติดเพื่อบรรเทาอาการเสี้ยนยาก่อนจะลงแดงตายได้ที่กล่องอนุเคราะห์ตามจุดต่างๆ โดยแสดงบัตรประจำตัวขี้ยาแล้วยื่นแขนเข้าไปข้างในช่องที่จัดไว้ให้ จากนั้นพยาบาลที่อยู่ในกล่องจะทำการฉีดยาและดูแลเรื่องความสะอาดให้  

    แต่ถึงกระนั้นก็ตามความเอื้ออารีของรัฐบาลท้องถิ่นที่อุตส่าห์จัดหางบประมาณมาเอาใจบรรดาขี้ยาต่างๆ ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาสำนึกในความมีน้ำใจของสังคมหรืออย่างน้อยมีกระจิตกระใจที่จะพัฒนามารยาทในสังคมของพวกเขาให้ดีขึ้นมาได้เลย ความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ เช่นว่าทิ้งเข็มที่ใช้แล้วลงในกล่องที่ติดตั้งไว้ในห้องน้ำสาธารณะทุกที่ พวกนี้ยังไม่สามารถที่จะทำได้ ยังคงทิ้งเข็มที่ใช้แล้วทั่วไปในพื้นห้องน้ำสาธารณะหรือบริเวณชายหาดต่างๆ โดยเฉพาะหาดที่ เซนต์ คิวด้า (St. Kilda) เมืองชายหาดสวรรค์ของขี้ยาน้อยใหญ่ในเมลเบิร์น ที่ทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าจะเดินเท้าเปล่าบนหาดทรายของเมืองนี้อีกต่อไป

    บางคนอาจจะสงสัยว่าในหนังสือแมกกาซีนทั่วไปจะกล่าวถึงแต่สิ่งดีๆ ในเมืองนี้ แต่ทำไม เควิน ลี ถึงได้จงเกลียดจงชังเมืองนี้และขี้ยานักหนา จึงขอบอกกันตรงๆ ว่าพักหลังๆ ของๆ ผมหายบ่อยมาก ซึ่งบางอย่างมันเป็นของที่ไม่น่าจะหาย เช่นว่าเบาะนั่งของเด็กที่ผมวางเอาไว้หน้าบ้านตอนเย็น พอรุ่งขึ้นมันหายไปแล้ว! นี่ยังไม่นับครั้งก่อนที่รถจอดไว้แล้วโดนงัดเอาเครื่องเล่นซีดีและเศษเหรียญไปอีก ขี้ยาบางคนที่อ่านตรงนี้แล้วอาจจะเถียง “มันไม่แฟร์โว๊ย.... อะไรๆ หายก็โทษขี้ยาแล้วตอนที่ของขี้ยาหายล่ะ ใครรับผิดชอบ” ถ้าให้ผมตอบผมก็ว่าขี้ยาด้วยกันเองนะแหล่ะเป็นคนขโมย

    นอกจากพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยและตัดช่องย่องเบาแล้ว ยังมีวิธีหาเงินของขี้ยาฝรั่งอีกหลายอย่าง ซึ่งในที่นี้ผมจะจัดพวกขี้ยาและมิจฉาชีพไว้เป็นพวกเดียวกันหรืออย่างน้อยพวกนี้พึ่งพาอาศัยกัน โดยรับซื้อขายของใช้ที่ได้จากการลักขโมย พวกนี้จะบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใช้เองเช่น “Hot deals” หรือที่ได้ยินกันบ่อยคือ “Fell off the truck” พอถอดความหมายเป็นไทยได้ว่า “หล่นมาจากรถบรรทุก” ถ้าพวกนี้บอกถึงที่มาของสิ่งของแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นของร้อนแน่นอน ซึ่งแน่นอนราคานั้นต้องมีการหั่นแหลกเกิดขึ้นแน่ๆ

    ตรงที่ราคาล่อใจนี่เองเป็นเหตุให้หลายๆ คนโดนหลอก ที่ผ่านมาเคยมีน้องนักเรียนไทยหลายคนมาเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองโดนฝรั่งหลอกเข้าให้ แต่ละคนนั้นเสียตังค์คนละไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะว่าน้องพวกนี้เพิ่งมาอยู่กันที่นี่ใหม่ๆ ยังไม่ประสีประสา คงคิดว่าฝรั่งนั้นเป็นพวกที่ซื่อสัตย์ไปหมดทุกคน

    รายแรกนั้นเป็นคนรักกล้องถ่ายรูปมากๆ ไปเรียบๆ เคียงๆ อยู่หน้าร้านกล้องถ่ายรูปอยู่นาน จนตกเป็นเป้าสายตาของมิจฉาชีพ และแล้วก็มีฝรั่งคนหนึ่งแต่งกายค่อนข้างภูมิฐาน เดินเข้ามาหาพร้อมกับบอกแนะนำว่าตัวเค้าเองเป็นคนขายส่งกล้องรุ่นต่างๆ ให้กับร้านนี้ ถ้าคุณสนใจรุ่นไหนก็บอกเค้าได้ เค้าจะขายให้ในราคาพิเศษ พ่อหนุ่มนักเรียนนอกนั้นถึงกลับตาลุกวาวเพราะได้โอกาสแล้ว จึงสอบถามราคาของกล้องที่ตัวเองตั้งใจจะซื้อ พอเซลแมนคนนั้นบอกราคาก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ เพราะมันถูกกว่าท้องตลาดถึง 300 ดอลล่าร์ ว่าแล้วจึงนัดแนะให้เซลแมนคนนั้นจัดหาของมาให้ โดยจะจ่ายเงินให้แบบยื่นหมูยื่นแมวกัน

    เซลแมนหายไปสักพักจึงกลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกข้างในบรรจุกล่องใส่กล้องถ่ายรูปรุ่นที่หนุ่มนักเรียนนอกต้องการ ถึงและกล่องนั้นซีลพลาสติกอย่างดีราวกับว่าเพิ่งมาจากในร้าน เค้าจึงจ่ายเงินไปให้ แล้วก็กลับบ้านด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง พอมาถึงที่บ้านจึงบรรจงเกะกล่องเพื่อยลโฉมกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเพราะมันเป็นก้อนหินดีๆ นี่เอง หาใช่กล้องถ่ายรูปที่ต้องการไม่ เค้าจึงโกรธตัวเองอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ไม่น่าใจง่ายและขี้โลภอยากได้ของถูกเลย และแล้วก็โดนหลอกจนได้ เค้าแวะเวียนไปที่ร้านนั้นอยู่หลายวัน หวังว่าจะเจอไอ้ฝรั่ง สิบแปดมงกุฎคนนี้และจะสั่งสอนด้วยมวยไทยซะหน่อย แต่ไม่มีวี่แววของไอ้ฝรั่งที่ว่าอีกเลย

    น้องนักเรียนไทยอีกรายหนึ่งก็เพิ่งโดนหลอกอีกหมาดๆ เล่าเหตุการณ์ให้ผมฟังว่า ตัวเองนั้นเพิ่งจะมาถึงที่นี่เพื่อเรียนต่อปริญญาโท แต่ที่ห้องพักไม่มีทีวี ตัวเค้าเองอยากได้ทีวีมากๆ เพราะอยู่บ้านเหงาเหลือเกิน อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่เดินอยู่แถวๆ นอร์ธเมลเบิร์น ก็มีชายรูปร่างขี้ยาคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วถามขายคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คให้ ชายคนนี้บอกว่าเพราะดูท่าทางแล้วเป็นนักเรียนและตัวเค้าเองก็ร้อนเงินเลยอยากขายของให้ หนุ่มนักเรียนนอกคนนี้ก็บอกไปว่าไม่ได้อยากได้โน๊ตบุ๊คหรอก แต่อยากได้ทีวี พอจะมีมั้ย ขี้ยาคนนั้นเห็นท่าจะได้ทีเลยบอกไปว่า มีในสต๊อกแน่นอน (ซึ่งผมเองก็เพิ่งมาเรียนรู้วิวัฒนาการของหัวขโมย คือเดี๋ยวนี้มันเก็บของกันเป็นสต๊อกแล้วเหรอ ไม่ใช่ขโมยมาขายไปเหมือนแต่ก่อน)

    และแล้วขี้ยาคนนี้ก็พาเค้าไปที่ซอยแห่งหนึ่ง มาถึงที่หมายแล้วเค้าก็ให้หนุ่มนักเรียนนอกรออยู่ประตูรั้วเตี้ยๆ หน้าบ้านแล้วตัวเค้าเองก็เดินเข้าไปเคาะประตู สักพักก็มีคนออกมาเปิดประตูและพูดคุยกันสักพัก ชายคนนั้นทักทายและทำท่าทางเหมือนคุ้นเคยกันดีดูจากการพูดคุยกับคนที่มาเปิดประตูให้ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของพ่อหนุ่มนักเรียนนอกนี้โดยตลอด

    สักพักขี้ยานั้นก็เดินออกมาพร้อมกับบอกราคาของทีวีรุ่นต่างๆ พร้อมกับโชว์แคตตาล๊อกให้ดูพ่อหนุ่มนักเรียนนอกถึงกับใจเต้นตูมตามเนื่องจากราคามันถูกกว่าท้องตลาดเหลือเกิน และรู้อยู่ในใจแล้วว่าเป็นของขโมยมาแน่นอน แต่เค้าบอกกับตัวเองว่า “ไม่สนวะ ของขโมยก็ขโมย ขอให้มันเป็นของใหม่อย่างที่ว่าก็แล้วกัน” เค้าจึงตกลงจ่ายเงินให้ไป 200 ดอลล่าร์ก่อน แล้วที่เหลือค่อยมาเอาตอนที่ของมาถึงมือแล้ว แล้วขี้ยาคนนั้นก็เดินอ้อมไปหลังบ้านซึ่งดูเหมือนจะไปเอาทีวีมาให้

    รออยู่นานแสนนานหลายชั่วโมงก็ไม่เห็นออกมาเสียที พ่อหนุ่มนักเรียนนอกชักกระวนกระวาย จนในที่สุดเมื่อหมดความอดทนจึงตัดสินใจไปเคาะประตูหน้าบ้านเรียก แล้วคนเมื่อกี้ที่เปิดประตูคุยกับไอ้ขี้ยา ก็เปิดประตูออกมา เค้าจึงถามคำถามทันที
    “เพื่อนคุณเมื่อกี้ยังไม่เอาทีวีมาให้เลย เค้าไปไหนแล้วล่ะ”
    ชายคนนั้นทำท่างุนงง บอกว่าคนเมื่อกี้ไม่ใช่เพื่อนเค้านะ เป็นใครก็ไม่รู้มาบอกว่าอยู่บ้านหลังถัดๆ ไปข้างหลัง แต่ลืมกุญแจประตูรั้วเอาไว้ในบ้านเลยมาขอปีนรั้วเข้าไปจากด้านนี้ ก็เท่านั้นเอง ซึ่งเค้าเองก็ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้แล้วก็เห็นชายคนนั้นปีนรั้วข้ามไปแล้วจริงๆ พ่อหนุ่มนักเรียนนอกมาถึงตอนนี้จึงรู้ว่าตัวเองโดนหลอกเสียแล้ว จึงไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วเจ้าที่ตำรวจก็มาที่เกิดเหตุพร้อมกับสอบถามรูปพรรณสัณฐานจากหนุ่มนักเรียนนอกกับคนที่เปิดประตูบ้านคนนั้นด้วย

    แต่อย่างว่านะแหล่ะตำรวจที่นี่ก็เหมือนกับตำรวจที่ไหนในโลกคือขี้เกียจ และไม่สนใจกับเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ จดลงบันทึกประจำวันแล้วก็หายจ้อย ไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นมาอีก เรื่องราวทั้งหมดน่าจะเป็นอุทาหรสำหรับคนขี้โลภและชอบซื้อของโจรนะครับ จึงได้หยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง..........

    จากคุณ : เควิน ลี - [ 21 ม.ค. 48 17:57:31 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป