อย่างไม่อยากเชื่อและตกใจ กับจำนวนตัวเลขของผู้แวะเวียนมาในกระทู้นี้ และรู้สึกเกินเลยกับการถูกนำไปเป็นกระทู้แนะนำ จนทำให้กระดากว่ารู้สึกเป็นเกียรติหรือน่ารังเกี่ยจสำหรับตัวเองดี
จากหลายความคิดเห็น บ้างมาอย่างเกรี้ยวกราด, บ้างมาอย่างปรามาส บ้างมาแบบเชิงจิตพิเคราะห์
นาทีนี้ ผมกำลังนึกถึงข้อความหนึ่งอันมีมาจากขดสมองของมนุษย์ยิวโบราณที่ชื่อคาริล ยิปราล
.เมื่อมีคนพูดถึงคุณ มันหมายถึงการแก้ตัวเมื่อคุณพูด และมันหมายถึงการยอมรับเมื่อคุณเงียบ
.. , Damn! มันเสือ..พูดถูก แล้วในกรณีนี้ผมควรจะพูดหรือเงียบดี?
นาทีถัดมา ผมสงสัยขึ้นมาว่า เมื่อคุณถูกพิพากษาให้เป็นนักโทษด้วยความผิดอันไดก็ตามแล้ว คุณมีสิทธิที่จะกล่าวโทษต่อผู้อื่นในความผิดเดียวกันนั้นได้หรือไม่? และในความสงสัยอันต่อเนื่อง ผมนึกถึงลายนิ้วมือของคนเราว่า จากคนบนโลกตามตัวเลขของนักสถิติที่บอกไว้ว่ามีถึงกว่า 6000 ล้านคน จะไม่มีใครสักคนที่มีลายนิ้วมือเหมือนกันเลยหรือ? และแท้จริงแล้ว ความหมายของลายนิ้วมือของแต่ละคนมีไว้เพื่ออะไร? เพื่อเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความเป็นเอกหรือเพียงไว้เป็นเครื่องรับรองและยอมรับของเถ้าแก่โรงตึ๊ง?
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อทุกความคิดเห็น ทุกคำชี้แนะ และทุกคำวิจารณ์ ขอได้รับการน้อมรับจากผมด้วยความยินดี
จากประสบการณ์ในครั้งนี้ ผมได้พบว่า มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะนำเอาชีวิตที่ผ่านเรื่องราวยาวนานนับสิบปีของใครสักคน (แม้กระทั่งมันเป็นของผมเอง) มาบอกเล่าให้คนอื่นได้รับรู้และเข้าใจได้ด้วยตัวหนังสือไม่กี่ร้อยตัวกับเนื้อที่ของเวลาอันน้อยนิด นักเขียนนวนิยายเล่มหนาหลายคนคงได้คิดฆ่าตัวตายกันบ้าง ถ้าผมทำอย่างนั้นได้ และด้วยเหตุผลนี้ ผมคาดโทษกับตัวเองว่า "เอ็งไม่สมควรมีสิทธิแม้แต่จะหงุดหงิดกับข้อวิจารณ์กับทุกคนในทุกกรณี....และเอ็งก็ไม่สมควรดูถูกตัวเองและเมินเกียรติของผู้อ่าน ด้วยการจบเรื่องของเอ็งไว้เพียงเท่านั้น!"
ประเด็นที่ผมเขียนในวันก่อนนั้น ไม่ได้มีความหมายเกินไปกว่าในวันที่ผมรู้สึกเศร้า เสียใจ และหดหู่ และผมต้องการที่จะระบายมันออกมาเหมือนกับการบ่นเท่านั้น (บังเอิญว่าผมบ่นดังไปหน่อย) แต่อย่างสำนึกและขอบคุณ ผมมาได้พบความหมายและนิยามหลายๆอย่างของการเป็นไปของครอบครัวและตัวผมเองอย่างไม่บังเอิญแต่ไม่เคยคิดหามาก่อน จากคำวิพากย์เหล่านั้น
...........
ด้วยอายุที่ไม่ห่างกัน หลายครั้งมากที่ผมเดินกับลูกสาว แล้วถูกมองด้วยสายตานัยว่าหนุ่มหัวงูกับเด็กใจแตก ในขณะที่ถ้าเดินกับลูกชาย นัยของสายตากลับกลายเป็นเกย์หนุ่มกับเด็กหิวเงิน!
- ลูกๆผมไม่เข้าวัด ด้วยเหตุผลที่ว่า พระไม่เคยอด และฟังบาลีไม่เป็น แต่เค้าจะไปบ้านเด็กพิการทางสมองแทนเมื่อรู้สึกหิวบุญ (ส่วนผม เข้าวัดเพื่อเสวนาธรรมกับพระพุทธรูปในบางครั้ง)
- หลายครั้ง ที่อาจารย์ของลูกผมติดต่อมาหา ในกรณีของการเถียงอย่างหาข้อสรุปด้วยกันไม่ได้ เหตุเพราะลูกผมดันไม่เชื่อในทฤษฎีบางอย่างในการหาคำตอบของโจทก์ (ผมเคยสอนเค้าว่า ทฤษฏีใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวันบนโลกใบนี้)
- ในช่วงที่แฟชั่นรีโทรกำลังมาแรง ลูกชายผมยังคงใส่กางเกงและเสื้อยืดตัวเก่งเหมือนเดิม ในขณะที่ลูกสาวเจาะหูใส่เข็มกลัดถึง 4 รู (ส่วนผม ห่างเชิ๊ร์ท ไท กับสแลคมานานแล้ว)
ภรรยาผมเคยบอกว่า ผมมีอิทธิพลและสร้างความเป็นไปให้แก่พวกเค้า แต่ภรรยาผมไม่เคยกังวลกับความเป็นไปของลูกมากไปกว่าการกลับดีกและติดต่อไม่ได้ ผมไม่แน่ใจว่า บทบาทของพ่อแม่อื่นๆเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่สำหรับผมในฐานะของผู้เป็นพ่อแล้ว ผมมีโอกาสได้สอนวิธีการแก่ลูกชายที่หนังอวัยวะเพศที่ยังไม่เปิด หรือแม้แต่ความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆของการออกเดทครั้งแรกของลูกสาว
..............
20 ปี ของผมและภรรยา ด้วยหน้าที่การงานที่ต้องเดินทางตลอด แต่ในทุกครั้งที่ผมกลับมา เราจะไปหาร้านบรรยากาศที่เราชอบและนั่งคุยกัน และในเกือบทุกครั้ง เราจะมีเรื่องลูกมาเป็นหัวข้อสนทนาหลัก ด้วยเหตุผลที่ว่าระยะที่ไกลกว่าและเวลาที่น้อยกว่า ทำให้ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกได้ดีกว่า ไม่ว่าในความเป็นบวกหรือลบ และเราก็จะมีข้อสรุปในความเป็นไปของลูกๆได้เป็นอย่างดี
เด็กชอบแอบกินแมลงสาบในห้อง. ลูกศิษย์ชายและหญิงในวัยนมเริ่มแตกพาน ชอบพากันไปแลกประสบการณ์หนุ่มสาวกันในห้องเก็บของของโรงเรียน, นโยบายเปิดรับนักเรียนนานาชาติ หรือในกรณีที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งไปติดบ่อนติดพนันเข้า...........ปัญหาที่มาเป็นคำถามให้ผมช่วยคิดเหล่านี้ ยังคงเป็นประเด็นที่เราแลกเปลี่ยนกันอยู่เสมอ ทั้งโดยการนั่งคุยกัน หรือบางครั้งผ่านทางโทรศัพท์
ผมเคยถามภรรยาของผมอย่างตรงๆว่า เธอเคยกังวลว่าผมไปมีคนอื่นหรือคนใหม่บ้างไม๊ในเมื่อเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆเค้า? เธอตอบผมอย่างไม่คิดนานเลยว่า "....... (เธอเรียกชื่อผม) เราให้เกียรติด้วยกันมาตลอด เราต่างรู้จักตัวตนของกันและกันดี และเธอก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันให้หายไปหรือลดน้อยลงไป ฉนั้นทำไมชั้นต้องไปกังวลเรื่องนี้ด้วย"........."ผูกพัน แต่ไม่ผูกมัด นั่นคือวิถีของเรา และชั้นรู้สึกดีกับตรงนี้มากกว่า"
เมื่อประมาณสักเดือนที่แล้ว แฟนผมเปรยว่า อยากได้เลี้ยงลูกเล็กๆสักคน
.............
หลายครั้ง ในไม่นานปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมได้เดินทางไปหาเพื่อน และได้เห็นลูกๆในอายุอนุบาลของเค้าแล้ว ผมรู้สึกอยากมีลูกเล็กๆบ้าง แต่ภายหลังของความรู้สึกนี้ ผมให้รู้สีกได้เขินและถามกับกับเองว่า "ลูกสองคนแล้ว ยังไม่พออีกหรือ? แล้วนึกยังไงหว่า เสือ..อยากมีลูกขึ้นมา?" และผมก็ให้คำตอบกับตัวเองในหลายวันหลังจากนั่งมองตัวเองอยู่หน้ากระจก "อืม.....คำว่าวุฒิภาวะอันน่าจะเป็นนั่นเอง ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น"
"ส่งเจ้าบ่าว!" คือคำที่ถูกนำมาใช้ทุกครั้งที่ผมไปสถานอาบอบนวด หรือสถานผ่อนคลายไหนๆของผู้ชาย ไม่ว่ากับเพื่อนหรือกับลูกค้าก็ตาม แม้บางครั้งจะได้รับการเชื้อเชิญทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อม ผมจะปฎิเสธด้วยการบอกว่า "ผมไม่ถนัดทำธุรกิจกับสาวๆสักเท่าไหร่" จำได้ว่ามีอยู่ 2 ครั้งที่ถูกลูกค้าชักชวนในเชิงบังคับ ซึ่งทำให้ผมต้องเลือกและขึ้นไปใช้บริการด้วย.....และโชคดีที่ผมได้นอนดูทีวีโดยมีสาวน้อยคนนั้นนอนหลับอยู่ข้างๆอย่างไม่ต้องปฎิเสธกันมากนัก
หลายคนมองว่าผมเป็นคนเจ้าชู้ เยอะคนที่มองว่าผมแค่ดูเหมือนเป็นคนเจ้าชู้ ไม่น้อยคนมองว่าผมไม่เจ้าชู้ ..... แต่ผมไม่กล้าถามว่านิยามของความเจ้าชู้ของเค้านั้นเป็นอย่างไร?
ในบรรทัดนี้ (ซึ่งอาจไม่ใช่บรรทัดสุดท้าย) กับความเมื่อยล้าของความคิด ผมเพียงอยากบอกว่า ผมไม่สงสัยกับความเจ็บปวดที่ต้องเสียใครสักคนไปแล้ว และไม่ระแวงกับการถูกวิพากย์ว่าเป็นพ่อที่ดีหรือเลว หรือเป็นสามีที่น่าพาไปโดดบ่อจรเข้ให้ตายๆไปซะ
เพราะบังเอิญผมได้เห็น ด้านที่สามของเหรียญ และความหมายของการใช้ชีวิตอยู่บนขอบของกรอบแห่งสังคม สำหรับชีวิตผมแล้ว
จากคุณ :
Phuket_Jazzy
- [
13 มี.ค. 48 17:31:18
A:202.47.247.130 X: TicketID:085861
]