ความคิดเห็นที่ 1 เราคิดว่าเกิดมาเพื่อใช้กรรมที่ทำไว้ชาติที่แล้วค่ะ แล้วก็ทำความดีต่อเพื่อสะสมไว้สำหรับชาติหน้า  อันนี้คิดแบบเล่นๆอ่ะค่ะ เพราะไม่รู้ว่าชาติที่แล้วกับชาติหน้ามีจริงรึเปล่า จากคุณ : piggy angel - [ 15 มี.ค. 48 16:49:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ....ใช้กรรม..... ด้วยคน  ตราบใดที่ยังตัิดกิเลสไม่สิ้น ก็ยังคงเวียนว่ายอยู่เ้ช่นนั้น จากคุณ : ลูกเจี๊ยบอกหัก - [ 15 มี.ค. 48 16:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เราว่าเราเกิดมาเพื่อใช้กรรมค่ะ ชาติที่แล้วคงทำบาปไว้เยอะ ชาตินี้เลยเป็นคนต้องมาเป็นทุกข์กับตัวเอง เราก็เบื่อเหมือนคุณเลยค่ะ แต่ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาความเบื่อของตัวเองยังไงดี ทนเบื่อจนกว่าจะตายไปข้างนึงมั่งคะ จากคุณ : เกือบแล้ว - [ 15 มี.ค. 48 16:52:45 A:203.107.240.114 X: TicketID:051282 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ... อืมม... ตอบยากเนอะ? (-_-") แต่ข้าพเจ้าณ วันนี้ ก็คิดเหมือน จขกท ตอนเรียนป.ตรีล่ะค่ะ ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อมี "ความสุข" --ถ้าวันนี้ รอบข้างมันน่าเบื่อมาก เราเปลี่ยนคนอื่นๆ ไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองนะคะ อยากจะมี"ความสุข" ก็ต้องไขว่คว้าหามัน หาแนวทาง"ความสุข" ของตัวเองให้ได้ละกันนะคะ โชคดีค่ะ ... จากคุณ : Spirited A's way - [ 15 มี.ค. 48 16:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เกิดมาเพื่อใช้กรรม ทำความดีให้มากๆ จะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกไง จากคุณ : มดดำ - [ 15 มี.ค. 48 17:00:11 A:203.155.162.43 X: TicketID:091108 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เกิดมาเพื่อ.....สนองเจตนารมณ์ของตนเองค่ะ ทุกอย่างเกิดจากความคิดของเราเอง ทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ ที่ทำอยู่ ที่มีอยู่ ก็เพราะเราเองที่อยากมี อยากทำ เพราะงั้นถามตัวคุณเองดีกว่าค่ะ ว่าต้องการอะไร................. จากคุณ : NICE130 - [ 15 มี.ค. 48 17:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเคยสงสัยเหมือนกันครับ ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร เค้าบอกว่าคนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม กรรมที่เราทำไว้ในชาติที่แล้ว เกิดมาชาตินี้เพื่อทำกรรมแล้วไปชดใช้ชาติหน้าอีกที ผมเบื่อจริง ๆ นะครับ กับการทีคนเราต้องเป็นแบบนี้ เคยถามว่า ทำอย่างไรผมถึงจะหลุดจากบ่วงกรรมนี้ได้ คำตอบก็คือ ต้องเข้าสู่นิพพานครับ ...สู่นิพพาน เพื่อหลุดพ้นจากทุกสิ่ง กรรมที่ผ่านมาถือเป็นอโหสิกรรม ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อย ๆ ผมว่าจริง ๆ มันก็ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่เหมือนกันครับ ....ผมมีความคิดส่วนตัวว่า ในเมื่อเราเกิดมาในชาตินี้ โดยที่ไม่รู้จักตัวตนเราในชาติที่แล้ว ทำไมต้องไปคอยชดใช้กรรมให้เค้าด้วย เพราะคุณต้องอย่าลืมว่า กรรมดีและกรรมไม่ดี ไม่สามารถเอามาหักล้างกันได้นะครับ หมายความว่า ไม่ว่าชีวิตนี้คุณจะทำดีแคไหนก็ตาม ชาติหน้าก็ต้องไปชดใช้กรรมอีกล่ะ ...แล้วก็อีกเรื่องนึงคือ การที่คนเราต้องหมั่นทำกรรมดีในชาตินี้ เพื่อให้ตัวเองมีความสุขในชาติหน้า ถามว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าชาติหน้าจะเป็นอย่างไร จะมีความสุขแบบไหน แล้วคุณได้มีความสุขกับเค้ารึป่าว? คุณทำในวันนี้ให้คนที่เป็นใครก็ไม่รู้ แต่คิดว่าน่าจะเป็นคุณเอง ....บางทีก็ไม่รู้จะทำไปทำไมน่ะครับ สู้ทำชีวิตนี้ให้ดีที่สุดไม่ดีกว่าหรือ? ปล.  มีคนบอกว่าผมโง่และเพี้ยน ที่คิดแบบนี้ บางคนก็ว่าเพี้ยน ๆ หน่อย แต่ผมว่าผมอาจจะสับสนในชีวิตนะครับ ลป. พูดแบบนี้ยังไงผมก็ยังรักศาสนาอยู่นะครับ อาทิตย์ก็ทำสังฆทานไป 2 ชุด 2 วันแล้วเนี่ย จากคุณ : Mr.DogGie - [ 15 มี.ค. 48 17:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เกิดมาเพื่อพัฒนาจิตใจตัวเองให้สูงยิ่งๆขึ้นไปทุกๆชาติภพที่เกิดมา      เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีกไงครับ      มันน่าเบื่อจริงๆอ่ะแหละ ลองคิดดู(ตามความเชื่อของพุทธศาสนานะ ขออนุมานว่าคุณเป็นพุทธ)ชาติก่อนคุณก็อาจจะต้องขวนขวายร่ำเรียน หางานทำ แล้วก็ตาย      ชาตินี้คุณก็ขวนขวายเรียนจนปริญญาสูงสุด หางานทำ ทำงาน แล้วก็ตาย      ชาติหน้าก็อาจจะเกิดมาเป็นแบบนี้อีก      ถ้าเบื่อจริงๆก็หันมาพัฒนาและยกระดับจิตใจของตัวเองดีกว่า ลองไปตั้งกระทู้ที่ห้องศาสนาดูครับ จากคุณ : The Legendary Midfielder - [ 15 มี.ค. 48 17:08:30 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เกิดมาเพราะ เป็นผลกรรมที่ทำมาเมื่อก่อน จากคุณ : news-headline - [ 15 มี.ค. 48 17:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่าคำถามแบบนี้มีคนไม่น้อยครับที่สงสัย เพราะเป็นคำถามที่เราจะใช้ตอบตัวเราเองเพื่อจะดำรงชีวิตต่อไปในทิศทางใด เพื่อใคร อย่างไร จนผมได้เรียนรู้สัจธรรมที่สำคัญข้อหนึ่งโดยบังเอิญครับ คุณน้าผมกำลังจะตายใน 5 วัน เพราะโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว เธอมีลูก 4 คน คนสุดท้องอายุแค่ 8 ขวบ เธอพูดกับหมอประโยคเดียวเสมอครับว่า "หมอ ฉันจะหายใช่ไหมๆๆ" เธอจากไปโดยไม่มีคำตอบจากสวรรค์แม้แต่เพียงคำบอกใบ้สักหนึ่งเดียว ว่าเธอสมควรจะตายเหรอ คนดีอย่างเธอสมควรจะจากไปเช่นนี้เหรอ ชีวิตมีค่าเสมอครับ เราจะเรียนรู้เมื่อเรามีมันเหลืออยู่ในตัวเราน้อยเต็มทน คนบางคนอยากอยู่แต่กลับตัองไป คนบางคนสมควรจะตายแต่ดันอยู่ให้รกโลกอยู่ได้เรื่อยไป ค่าของชีวิตอยู่ที่การ "ใช้" "คิด" และ "ลงมือทำ" ครับ คุณ จขกท.กำลังเบื่อเพราะ "ใช้" ชีวิตอยู่กับสิ่งที่จำเจซ้ำซาก หรืออยู่กับชีวิตที่ไม่ใช่ตัวเอง "คิด" อย่างคนตันหนทางเพราะไม่มีสีสันให้ชีวิต เช่น เรื่องของคนรัก เรื่องของการงาน และยังไม่ได้ "ลงมือทำ" จัดการกับชีวิตที่แสนจะน่าเบื่อครับ ลองเปลี่ยนที่วิธี "คิด" ก่อนครับ ให้คิดและมองโลกในแง่ดี เช่น เรื่องความรัก หากมันไม่มีผ่านมา ไม่มีคนที่เรารัก ไม่มีคนที่รักเรา ลองปรับให้ตัวเองเป็นคนที่น่า "รัก" ก่อนไหมครับ ผมเคยมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง น่าตาดีมาก ฉลาด บ้านรวย ครบถ้วนเรื่องออปชั่นเสริม ... แต่ไม่มีแฟนครับ หรือคบใครก็คบได้ไม่นาน เธอชอบคิดว่าคนนี้แย่อย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ดีอย่างที่เธอชอบ เธอตั้งกฏ ตั้งกรอบขึ้นล้อมตัวเองจนออกจากสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ ต่างกับอีกคนที่ไม่สวยสักนิด แต่เธอน่ารักมากๆที่พูดจาอย่างเข้าอกเข้าใจคนอื่น มองโลกแง่ดีมาก ไม่อยากจะบอกว่ามีคนมาจีบเธอเยอะมากครับ อย่างเรื่องงานผมว่าลองเปลี่ยนที่มุมมองก็สำคัญครับ เช่น อคติต่อที่ทำงาน เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย จะช่วยได้มากครับ แต่เป็นที่ประเภทของงานแล้วล่ะก็ลองหางานใหม่ดูสิครับ งานที่ค่าตอบแทนเหมาะสมกับเรา (ทั้งการศึกษาและการดำรงชีวิต) งานที่เราทำแล้วเราชอบ เรารัก เหมือนไม่ต้องทำงานเลยครับ รู้สึกสนุกกับมันด้วยซ้ำ ตัวอย่างให้ดูอย่างโน้ตอุดดม แต้พานิชครับ ชีวิตนี้สุดแสนจะน่าอิจฉา ผมว่าความสุขเป็นปลายทางจอมปลอมของชีวิตครับ เพื่อนผมเป็นเสือผู้หญิงชอบฟาดฟันไปทุกหย่อมหญิง สร้างราคีให้ผู้บริสุทธิ์ มันบอกว่าชอบมีความสุขดี ผมไม่ได้จะหมายความว่าความสุขไม่ดี เพียงแต่เป็นความสุขปลอมครับ สุขของแท้อยู่ข้างในครับ ถ้าเป็น "สุข" ที่สะกดด้วย ข ไข่ ก็ดีใจด้วยครับ แต่บางครั้งเป็น "สุก (ไหม้)" ที่มากับ ก ไก่ ก็แย่ครับ มันสุขแบบสุกสุก ประเด๋ว ประด๋าว ไม่จีรังยั่งยืน ผมเคยเป็นอย่างคุณ จขกท. ครับ สงสัยว่า คนเรามันเกิดมาเพื่ออะไรกันนะ เพื่อเวียนว่ายต่ายเกิดเหรอ เพื่อมีชีวิตที่ซ้ำซากเหรอ - เรียนหนังสือ แต่งงาน มีลูก แก่ และตายเหมือนกัน ผมตอบคล้าย คห.1 ครับ คนเราเกิดสร้างเพื่อชดใช้กรรมส่วนหนึ่ง (ตามหลักคว่ามเชื่อทางศาสนาพุทธ) แต่ผมขอเพิ่มอีกจุดคือ เราเกิดเพื่อ "คนอื่น" ครับ เกิดมาเพื่อทำความดี ทำเพื่อ"คนอื่น" ความดีนี่หลายคนนี่ก็ดีแตกไปแล้วนะครับ ดีไปได้แล้วเจอโลกที่โหดร้ายก็ทำตัวไม่ดีตามสภาพแวดล้อมไปก็มี ความดีมันเหมือนผมไม้ที่อร่อยมากครับ แต่มักจะสุกช้า คือต้อง่ใจเย็นเพื่อจะ "สุข" กับมัน แม้จะทำดีแล้วไม่ได้ดีอย่าเสียใจนะครับ บางทีปิดทองหลังพระ คนอื่นไม่เห็น แต่ตัวเรารู้ ตัวเราทำดีแล้วสุขใจ ตัวเราเห็นก็พอแล้วครับ โม้มาเสียยืดยาว ก็ขอสรุปไว้เพียงว่า อยากให้คุณ จขกท. เปลี่ยนวิธีคิดและสภาพแวดล้อมทุกอย่างดูบ้าง เช่น ลองไปทำเพื่อสังคมดูบ้างครับ ผมเคยทำบุญที่บ้านสงเคราะห์คนชรา ได้คุยกับคุณตา คุณยาย เยอะแยะเลย ผมกลับมาบ้านมากอดคุณยาย (อาม่า) ที่บ้านทุกวันเลยครับ  รักแกมากขึ้นอีกเยอะเลยครับ มนุษย์เราเรียนรู้จากคนอื่นครับ แม้แต่ยาจกขอทาน หรือ คนกวาดถนน เป็นครูสอนเราได้ทั้งนั้นครับ ต้อง"เปิด" ใจยอมรับกับโลกกว้างใบนี้ อยากแนะนำให้ลองไปท่องเที่ยวเปิดโลกทัศน์เยอะๆครับ บางทีคุณอาจจะได้เห็นอะไรที่ยังสวยงามกว่านี้อีกหลายอย่างครับ ผมรับประกัน หากไม่มีเวลาหาหนังสือให้กำลังใจดีๆสักเล่มมาอ่านก็ได้ครับ เล่มที่ผมยกย่องไว้เป็นตำนานในใจก็ของคุณประภาส ชลศรานนท์ ครับ อ่านแล้วเปลี่ยนวิธีคิดของผมไปหมดเลย ออกมาหลายเล่มแล้วครับ อีกเล่มคือ "7 อุปนิสัยสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง" ของ สตีเวน อาร์ โควี่ ครับ อ่านแล้วอึ้งว่า แกคิดได้สุดยอดมากครับ วันนี้คุณอาจจะเหนื่อยมากไปก็ได้นะครับ ให้เวลาตัวเองสักหน่อย หาเวลาไปพักผ่อนบ้าง คุยกับเพื่อนเก่าๆบ้างจะช่วยได้มากครับ หรือไม่ก็มาคุยกันในพันทิปนี่ก็ได้นะครับ มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ น่ารักเยอะเลย บุญรักษาครับ จากคุณ : t e e n o i - [ 15 มี.ค. 48 17:13:25 ]

ความคิดเห็นที่ 11 จากคำถามเกิดมาเพื่ออะไร ผมบอกไปแล้วว่าชดใช้กรรม เรามาดูว่า ทำอย่างไรถึงไม่ต้องชดใช้กรรม คือ นิพพาน นี่คือทางสู่นิพพานครับ เส้นทางการดับการรับรู้อะไรอีกทั้งสิ้น มีองค์ประกอบ8 ประการ 1. สัมมาทิฏฐิ(ความเห็นถูกต้อง) คือ มีความเห็นเข้าใจในความจริงของโลก 4 อย่างคือ ปัญหา  ได้แก่ ความไม่สบายร่างกายและจิตใจ สาเหตุ ได้แก่ สิ่งที่ฝังอยู่ในใจ 3 อย่างที่ดันเราให้เกิด ให้มีตัวตน ให้ยังคบงมีการรับรู้อยู่บนโลก คือ .1 ความต้องการที่ยังมีอยู่ เช่นเรื่องเพศ เรื่องเสียงเพลง เรื่องการถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้าม เรื่องนึกคิด เรื่องอยาก เรื่องไม่อยาก เป็นต้น .2 ความไม่พอใจ เช่น ความโกรธ ความอิจฉา ความหวงแหน ความเสียดาย เป็นต้น .3 ความหลง กล่าวคือ มีอาการมัวเมา คล้ายถูกสะกด วนเวียนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นวัฏฐจักร ไม่หาทางออก เช่น - วนเวียนอยู่กับการนอน - วนเวียนอยู่กับการมีเพศสัมพันธ์ - วนเวียนอยู่กับความประหม่า,กลัว - วนเวียนอยู่กับความต้องการ ฯลฯ   ทางออก การไม่มีตัวเองหลงเหลืออยู่อีก  การเป็นอิสระจากทุกสิ่ง ไม่มีการไปอยู่ที่ใด ๆ อีก ไม่ว่า โลก สวรรค์ หรือที่ไหน ๆ วิธีเดินไปยังทางออก ได้แก่ทางเดิน อันมีองค์ประกอบ 8 ประการครับ 2. สัมมาสังกัปปะ คือ ความคิดถูกต้อง มี - คิดออกจากกามคุณ 5   - คิดในอันไม่พยาบาท   - ดำริในอันไม่เบียดเบียน 3. [b]สัมมาวาจา การพูดดี คือเว้นจากการพูดเสีย 4 อย่าง ได้แก่ - การพูดคำไม่จริง - การพูดยุให้คนแตกกัน เช่น นินทา - การพูดคำหยาบคาย - การพูดคำเพ้อเจ้อ ไม่มีประโยชน์ เช่น การล้อเล่น 4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำชอบ ได้แก่ - เว้นจากการสังหารสิ่งที่มีชีวต - เว้นจากการเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ - เว้นจากการละเมิดทางเพศกับผู้หญิงที่มีเจ้าของ แม้แต่พี่ชาย 5. สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีวิตถูกต้อง ไม่คดโกง หลอกลวง เบียดเบียนผู้อื่น หาเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ นอกจากนี้ยังมี อาชีพที่จัดเป็นมิจฉาอาชีวะ เช่น การประกอบการค้า 5 ชนิดได้แก่ - ค้าขายเครื่องประหาร, อาวุธ - ค้าขายมนุษย์ - ค้าขายสัตว์ที่มีชีวิตสำหรับฆ่าเป็นอาหาร - ค้าขายน้ำเมา - ค้าขายยาพิษ 6. สัมมาวายามะ คือ ความพยายามถูกต้อง มี 4 วงิธี ได้แก่ - ระวังสิ่งไม่ดีในใจไม่ให้เกิดขึ้น - ละสิ่งไม่ดีที่ได้เกิดขึ้นแล้ว - ทำสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้น - รักษาสิ่งดีที่เกิดขึ้นแล้ว และให้ดีขึ้นต่อไป 7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ความไม่เผลอ ไม่เลินเล่อ ไม่ฟั่นเฟือน เลื่อนลอย สัมมาสติ คือ หลักธรรมที่เรียกว่า สติปัฎฐาน 4 ได้แก่ 1. กำหนดรู้ร่างกาย หมายถึง รู้อาการ การเคลื่อนไหว ของกาย เช่น ทำความรู้ตัวเมื่อเดิน เมื่อเอนตัวนอน เมื่อกระดิกนิ้ว เมื่อหันหน้า ให้รูว่า สักแต่มีร่างกายเท่านั้น และกำหนดรู้ในร่างกายภายใน ที่มีแต่ลำไส้ หนอง เลือด กระดูกเป็นต้น 2. กำหนดรู้ความรู้สึก เช่น ความสบายใจ ความไม่สบายใจ ความสบายร่างกาย ความไม่สบายร่างกาย กำหนดรู้ ให้สุกแต่ว่าเป็นผู้ดูความรู้สึกเท่านั้น โดยไม่เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้กำหนดรู้ว่า สักแต่ว่ารู้สึกเท่านั้น 3. กำหนดรู้จิต หมายถึง เมื่อจิตมีความปรารถนาทางกามคุณ 5 ก็ให้รู้ว่าจิตมี เมื่อจิตไม่มีก็รู้ว่าจิตไม่มี เมื่อจิตจะเกิดความปรารถนาด้วยเหตุใดก็ให้กำหนดรู้เหตุนั้น เมื่อจิตจะดับความปรารถนานั้นได้ด้วยเหตุใด ก็ให้กำหนดรู้ด้วยเหตุนั้น ให้กำหนดรู้ว่า สักแต่ว่าจิตเท่านั้น เมื่อจิตผ่อนคลายก็ให้รู้ว่าผ่อนคลาย ฯลฯ เมื่อจิตหดหู่ ก็ให้รู้ว่าจิตหดหู่ เมื่อจิตไม่หดหู้ก็ให้รู้ว่าจิตไม่หดหู่ เมื่อจิตจะเกิดความหดหู่ด้วยเหตุใด ก็ให้กำหนดรู้เหตุนั้น เมื่อจิตจะดับความหดหู้ได้ด้วยเหตุใด ก็ให้กำหนดรู้เหตุนั้น 4. กำหนดรู้ความคิดที่แล่นไป หมายถึง การกำหนดรู้สิ่งที่ใจคิดขึ้นมา แต่งขึ้นมา ทุกเรื่อง ให้กำหนดรู้ เป็นแต่เพียงผู้ดูเรื่องราวเท่านั้น ไม่นำตัวเองลงไปเกี่ยวข้องในเรื่องที่ใจคิดขึ้นมา สักแต่ว่าคิดเท่านั้น โดยที่ตัวเองไม่ลงไปเกี่ยวข้องด้วย ทั้ง 4 อย่างนี้เป็นอย่างยอ่ครับ แต่ก่อน ผมเอง เคยมีความคิดแบบ คุณเช่นกัน แต่หลังจากได้เดินตามทางนี้แล้ว สบายใจขึ้นมากเลยครับ 8. สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้ชอบ  หมายถึงการที่จิตไม่ว่อกแว่กนั่นเอง ข้อสำคัญที่สุดคือข้อ 7 เป็นการทำลายสิ่งที่อยู่ในใจของคุณ ทีละส่วน จนในที่สุด ทุกอย่างในใจ จะถูกความเข้าใจ คือปัญญา กินเนื้อที่ไปจนหมด เมื่อปัญญากินเนื้อที่ทุกส่วนของการคิดแล้ว จิตจะไม่มีทางดิ้นไปไหนได้อีก ที่สุดของชีวิตอยู่ตรงนี้ครับ จากคุณ : Mr.DogGie - [ 15 มี.ค. 48 17:14:26 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ Dogie ครับ ผมว่าความคิดคุณเข้าท่าออก น้อยคนนักครับที่จะคิดในแง่ของการนิพพานได้ลึกซึ้งออกรสในแบบตัวเองได้ครับ ผมเคยอ่านในคู่มือชีวิตของท่านพุทธทาสครับ ท่านบอกว่านิพพานนี่คนส่วนมากจะใฝ่ฝันกัน เหมือนเป็นจุดสูงสุดของชีวิต เป็นความสุขที่ใครก็ใคร่ใฝ่หา แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า นิพพาน คือ เย็น ครับ เย็นและสงบกับทุกสิ่ง ถามว่าคนธรรมดาไม่ได้บวชพระจะบรรลุนิพพานได้ไหม ตอบได้เลยครับว่า "ได้" เรารู้สึกให้อภัยคนที่ขับคนปาดหน้าเรายิ้มให้กัน ขอโทษที่ไปเดินชนคนอื่นยิ้มให้กันได้ ขอบคุณคนที่กดชั้นลิฟท์ให้ ยิ้มให้กันได้ สิ่งเหล่านี้ ผมมองเองว่าเป็น "นิพพาน" ได้ เพราะทำให้ชีวิตเราเย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง ไม่มีซึ่งอารมณ์ ตัณหา ราคะ มาปนเป คิดแบบผู้มีความคิดที่เจริญแล้ว จากคุณ : t e e n o i - [ 15 มี.ค. 48 17:21:57 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถามอย่างนี้เหมือนกับว่า เมื่อเกิดมาแล้วจะถูกประทับภาระกิจให้ทำอะไรซักอย่าง ...มันมีอย่างนั้นที่ไหนเล่า คงถามสั้นๆว่าคุณเกิดมาแล้วต้องการอะไรในชีวิตดีกว่า ถามอย่างนี้แล้วก็จะมีคำถามตามมาอีกว่า แล้วจะให้มันเป็นไปอย่างที่เราต้องการได้อย่างไร ตั้งคำมอย่างนี้กับชีวิตดีกว่าครับ ส่วนคำถามที่ว่า เกิดมาเพื่ออะไร... มันตอบอะไรก็ได้ทั้งนั้น จะตอบว่าเกิดมาเพื่อ ตาย ก็ยังได้เลย จากคุณ : firstini chemistani - [ 15 มี.ค. 48 17:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คงเป็นความตั้งใจของผมที่จะมาเกิด แต่ความจำในส่วนนั้นของผมหายไปแล้ว จากคุณ : jaminonez - [ 15 มี.ค. 48 17:24:19 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตอนตั้งคำถามไม่ทันนึกว่าจะมีคนมาตอบว่าเป็น ผลแห่งกรรม กันเยอะขนาดนี้ จริงอยู่การดับทุกข์ ต้องดับที่เหตุแห่งทุกข์ ถ้าเราไม่ได้ทุกข์ แค่รู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า สำหรับปุถุชนคนเดินดินธรรมดาๆ ความสุขในชีวิตคืออะไรดี (เขียนเอง งงเอง) จากคุณ : จขกท - [ 15 มี.ค. 48 17:25:40 A:129.88.46.212 X: TicketID:034095 ]

ความคิดเห็นที่ 16 "....ตอนนั้นบอกตัวเองว่า คนเราเกิดมาเพื่อมีความสุข...." ...คุณยังตอบเก่ง...ตอนนั้นครับ....ถ้าเป็นผม...ผมตอบไม่ถูกครับ...รู้แต่ว่า...ตัวเอง...ไม่ได้ทำให้ตัวเองเกิดได้...ก็พ่อแม่..ทำให้เราเกิดมานี่ครับ... ...ถ้าจะเชื่อเรื่องดวง..เรื่องตกฟาก...ละก้อ...ผมคิดว่าพวกเราโชคดีนะครับ...ถ้าตกฟากผิดไปนิดเดียว...ยุ่งเลยละครับ...ตกเหนือไปหน่อย...ลงไป..ลาว...เลยไป ก็เจอ..เขมร...สั้นไป..ก็ไปเจอ..พม่า...ตกฟากลง...ไทย...พอดีเลยครับ...โชคดีไป... "....วันนี้เราอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีคนที่เรารัก ไม่มีคนที่รักเรา มีงานที่น่าเบื่อ แล้วเราจะมีชีวิตอย่างนี้ไปจนแก่ตายเลยเหรอ...." ...ผมเชื่อว่า...คนเรา..ทำให้ตัวเองมีความสุขได้ครับ...ขึ้นอยู่ว่า...ตั้งใจทำมากน้อยเท่านั้น...ความสุข...ไม่ได้วิ่งมาหาเราครับ...เราต้อง..ไปหา...ต้องไขว่ขว้าเอาเอง...ผมเอง...ผมว่า..ผมมีความสุขกับชีวิตนี้จังเลยครับ... ...คุณเจ้าของกระทู้..ต้องพยายามหน่อยครับ...ผมเชื่อว่าคุณต้องทำให้ตัวเองมีความสุขได้ครับ... จากคุณ : หมี่สดล้วน - [ 15 มี.ค. 48 17:26:42 ]

ความคิดเห็นที่ 17 (มาอีกรอบ) คุณ จขกท. ไม่ลองหาแฟนสักคนละครับ ผมว่ามันช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิตได้นะครับ ทำตัวให้น่ารักๆ นิวลุ้คน่าดูเข้าไว้ มีแฟน มีความรักโลกมันเปลี่ยนไปจริงๆครับ หากไม่ซีเรียสกับเรื่องความรัก ลองเปลี่ยนงานไหมครับ ถ้ายังรักงานที่เก่า ลองเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ ที่อยากจะลองทำดูสิครับ ช่วยได้มาก ชอบ คห. 16 ครับ ว่าความสุขบางครั้งเราต้องเป็นฝ่ายออกค้นหาครับ " หนทางจะเป็นของผู้ที่ออกค้นหาเสมอ " จากคุณ : t e e n o i - [ 15 มี.ค. 48 17:32:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คนเราจะเกิดมาเพื่ออะไรผมไม่รู้ครับ ผมรู้แค่ว่าควรเกิดมาเพื่อคนอื่น นั่นจึงถือได้ว่าไม่เสียชาติเกิด ถ้าคิดจะเกิดมาเพื่อตัวเอง มันก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ ที่เกิดมาเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์เท่านั้น ไม่ได้มีจุดหมายอย่างอื่น ส่วนตัวผมยึดถือแนวคิด คนเราเกิดมาต้องคิดเห็นแก่ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว พึงกระทำเรื่องราวให้กับสังคม... ผมไม่คิดลึกซึ้งอะไรมากมาย ยังไม่คิดตัดทางโลกครับ จากคุณ : โชกโชนชีวิต - [ 15 มี.ค. 48 17:38:02 A:203.113.35.7 X:203.151.140.115 TicketID:072707 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอนตอบไม่ทันเห็น ความเห็นของคุณ t e e n o i โดนใจมากๆเลย สองวันก่อนเพิ่งดูรายการเกี่ยวกับ มูลนิธิช่วยเหลือเด็กๆ ด้อยโอกาสตามชนบท ก็มีความคิดว่า เอ หรือนี่จะเป็นอีกทาง ที่เราจะทำให้ชีวิตดูว่างเปล่าน้อยลง ด้วยการออกไปช่วยเหลือคนอื่น ขอบคุณทุกๆความเห็นอื่น โดยเฉพาะคุณ Mr.DogGie ที่นำเรื่องดีๆ มาแบ่งปันกัน จากคุณ : จขกท (อีกที) - [ 15 มี.ค. 48 17:40:20 A:129.88.46.212 X: TicketID:034095 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เคยคิดเหมือนกันค่ะ...." คนเราเกิดมาเพื่ออะไร " ...... แต่คิดเร็วกว่าจขกท.  ตอนนั้นอายุยังน้อยนัก คำตอบที่ได้คือ......" เกิดจากการสมสู่ ของพ่อกะแม่ "....   เวลาเงียบ ๆ เหงา ๆ ฟุ้ง ๆ ก็จะคิดคำถามนี้อีก......ตอนแรกคิดว่ามีบุญที่ได้เกิดเป็นคน........แต่ทำไมต้องเกิด......ควานหาคำตอบอยู่สักพัก.....ได้คำตอบคือ   " เกิดมาเพื่อใช้กรรม...แต่เป็นการมองในแบบพุทธ.....ถ้ามองแบบศาสนาอื่นคงไม่ใช่ "......... ตอนนี้ได้เป็นแม่คน 2 คน.......ไม่ค่อยกลับมาถามคำถามนี้กับตัวเอง.......ก็เราเป็นคนทำให้คน 2 คนเกิดมา.....นั่นล่ะคำตอบ   ชัดเจนทีเดียว ....... //วันนี้เราอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีคนที่เรารัก ไม่มีคนที่รักเรา มีงานที่น่าเบื่อ แล้วเราจะมีชีวิตอย่างนี้ไปจนแก่ตายเลยเหรอ// คุณต้องถามตัวเองนะว่าทำไม.....ความรักของคุณถึงได้เหือดหายไป    จนไม่สามารถจะหยิบยื่นให้ใครได้     ถ้าตัวคุณเองยังให้ใครไม่ได้........แล้วใครที่ไหนจะให้คุณได้ การงานที่น่าเบื่อของคุณ.......คงถึงจุดอิ่มตัวกระมัง ลดความทะยานอยาก.....ความตื่นเต้น  และท้าทาย ส่วนใหญ่.....คนที่มีความคิดแบบนี้......มักจะอิ่มจนเอียน ......ทั้งความรัก  ความท้าทาย  ติดอยู่กับกฏเกณฑ์ที่เคย ชินจนเกิดความจำเจซ้ำซาก....... คุณไม่ต้องออกไปควานหาความรักที่ไหนหรอก......ความรักน่ะ.....วนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวคุณนั่นแระ อยู่ที่ตัวคุณคิด และตัวคุณเชื่อ......ลองยิ้มให้คนที่อยู่ตรงหน้าซิ.....หรือแม้แต่กล่าวทักทาย   โลกของคุณก็สดใส  ง่ายนิดเดียว ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนใคร ไม่อาฆาต และไม่ผูกใจเจ็บ ชีวิตก็สุขแล้ว......โดยไม่ต้องใช้เงินทอง ขออย่างเดียว.....จงอย่ามีความสุข.....บนความทุกข์ของผู้อื่น......ชีวิตและคุณค่าความเป็นคนของคุณ.....จะสมบูรณ์มากค่ะ จากคุณ : มีอมยิ้ม - [ 15 มี.ค. 48 18:15:25 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คนเราเกิดมามีความต้องการ และทำความต้องการให้สำเร็จค่ะ ตอนนี้ถ้ายังไม่มีฝันอะไรก็อยู่กับความต้องการพื้นฐานไปก่อน เช่นถ้าหิวก็กิน ถ้าอิ่มก็นอน อยากดูหนังก็ไปดู แต่ถ้าวันหนึ่งรู้สึกว่าทำอะไรได้มากกว่านี้ก็ดำเนินตามความฝันนั้นไป ถ้าทำได้....นั่นแหละคือความสุขสุดยอดของชีวิตค่ะ จากคุณ : กะเทยไทยในอัมสเตอดัม - [ 15 มี.ค. 48 18:28:58 A:84.80.52.170 X: TicketID:077778 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คนเราเกิดมาเพื่อหาความสุขให้ชีวิต คุณตอบถูกแล้ว แต่ปัญหามาอยู่ตรงที่ คุณนิยามคำว่า "ความสุข" เป็นอย่างไร ผมอ่านเจอจากที่ไหนสักแห่ง และผมก็จำได้ไม่แม่น แต่จำได้ตลอด เนื่องจากใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตมาตลอด ความสุขที่แท้จริง ก็คือผลพลอยได้จากการทำให้คนอื่นมีความสุขนั่นเอง อย่าเพิ่งเบื่อ วิธีหาความสุขแบบนี้ทำได้ไม่ยาก และไม่ต้องใช้เงินด้วย  เริ่มต้นตอนนี้เลยก็ได้ ตื่นขึ้นมา ระหว่างออกจากบ้าน ลองยิ้มอย่างจริงใจให้กับเพื่อนบ้านที่คุณรู้จัก แต่ไม่เคยทักสักหน่อย แล้วดูซิว่าจะเกิดอะไรตามมา จากคุณ : สงกรานต์ - [ 15 มี.ค. 48 19:49:42 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อืมมมม กระทู้ปรัชญา จากคุณ : สาด - [ 15 มี.ค. 48 20:49:43 A:203.118.125.179 X: TicketID:025493 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ได้ข้อคิดดีครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ทิฐิเป็นพิษร้ายต่อความรัก - [ 15 มี.ค. 48 21:25:02 A:137.226.192.148 X: TicketID:071823 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ดีจัยที่ได้อ่านกระทู้นี้นะคะ เพราะว่าก็เคยถามตัวเองเหมือนกานว่าเกิดมาเพื่ออะไร แต่ในที่สุดตัวเราเองก็นึกคำตอบไม่ออก .........แต่วันนี้พอได้มาเห็นคำตอบที่ทุกๆคนตอบเราเองก็ได้ข้อสรุปแล้วละคะว่าเกิดมาเพื่ออะไร ...อ่านแล้วงงป่าวเนี่ย - - จากคุณ : hong_12 - [ 15 มี.ค. 48 21:55:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ผมเอง... ก็เคยตั้งคำถามนี้ในใจ และเคยเป็นเรื่องที่ถกกันหน้าดำ คร่ำเครียดกับเพื่อนๆ จนแทบจะวิวาทกันเป็นหมู่มาแล้ว...  ( ฮ่า ๆ ๆ ) ส่วนตัว...  จาก ที่เคยศึกษาธรรมะมาบ้าง  เคยบวชเรียนมาบ้าง อ่านหนังสือธรรมะ และหนังสือเกี่ยวกับปรัชญามาบ้าง...( ไม่มากหรอกครับ... จริงๆ ) ผมก็เลิกหาคำตอบ เพราะ ไม่มีทางที่จะรู้คำตอบที่แท้จริงใดๆได้ ใครจะมาเฉลย  และผมก็คิดไปคิดมา ก็ได้คำตอบเดียวกับคุณ "สงสัย" และอาจเป็นคำตอบที่เหมือนกับใครอีกหลายๆคนคิด คำตอบที่ผมหาให้กับตัวเอง ก็คือ... กรรม ( เราเกิดมา ก็เพราะยังไม่หมดกรรม ) กรรม... ในที่นี้... ไม่ใช่แค่เรื่องของ กฎแห่งกรรม เพราะ กรรม  ก็คือ การกระทำ ก่อกรรมดี ทั้งทางมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ก็จะได้รับผลกรรมที่ดี ก่อกรรมชั่ว คิดร้าย มุ่งร้าย อิจฉา ริษยา แก่งแย่ง กล่าวร้าย ทำสิ่งร้ายๆ ก็เป็นทุกข์ ทั้งทุกข์ที่เกิดทันที ซึ่งหน้า และทุกข์ ที่จะเกิดจากผลกรรมร้าย ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ก็เหมือนกับ ปลูกทุเรียน ก็ต้องงอก ต้องโตมาเป็นทุเรียน ส่วนเรื่องที่คุณถามนั้น ที่ว่า ไปทำร้ายคนไม่ดี ทำร้ายคนดี จะเป็นการก่อกรรมใหม่ หรือ เป็นกรรมเก่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนในการหาคำตอบ แต่มีวิธี ที่ง่ายกว่านั้น ( ในความคิดผม... ) ก็คือ การตัดบ่วงกรรม คือการเป็นคนดี ละเว้นกรรมชั่ว ใครร้าย ก็ไม่ต้องร้ายตอบ ( บอกตัวเองว่า อโหสิ ) แล้วเมื่อใครร้ายกับเรา ทำร้ายเรา ก็บอกกับตัวเองว่า เค้าเป็นเจ้ากรรม นายเวรเก่า จากชาติปางก่อน เราก็จะใจเย็นลง ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เราก็สามารถอภัยได้ ( การอภัย...เป็นบุญกุศล สูงกว่าการให้ทาน หรือทำบุญด้วยวัตถุ ) จากพระธรรมคำสอน...  สิ่งสำคัญ คือในใจเราเอง เราเป็นผู้กำหนดทุกข์ เป็นผู้กำหนดสุขให้กับตัวเองทั้งสิ้น ( เว้นแต่ว่า... ตอนเกิด... ถ้าคุณไม่ยอมรับว่า เป็นผลกรรมจากชาติปางก่อน ) ถ้าเราขยันหมั่นเพียร ศึกษาหาความรู้ ใช้สติ ใช้ปัญญา ร่ำเรียน หาหนทางหากินที่ดี เสาะหาช่องทางการทำธุรกิจ อาจไม่รวยล้นฟ้า แต่ว่า ก็ไม่จน ไม่ลำบากจนต้องไปคุ้ยขยะกิน หรือต้องไปเป็นขอทานแน่ๆ ส่วนคนที่ขี้เกียจ ไม่หาความรู้ ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่ประหยัด ไม่เก็บออม ถ้าไม่มีบุญเก่า ไม่ต้องบอก... ใครๆก็รู้ว่า ไอ้คนนี้... จนแน่นอน ไม่มีทางรวย ส่วนเรื่องของทุกข์ สุขต่างๆ ก็เกิดจากเราไปผูกใจ กับสิ่งนั้นๆ เช่น ความรัก...  ถ้าเราไปรักคนที่ไม่รักเรา  หรือรักคนที่ไม่ดีกับเรา ไปรักคนที่นิสัยไม่ดี --- ใครๆ ก็บอกได้ ว่า เป็นทุกข์แน่ๆ  ถ้าเรารักคนที่รักเรา หรือเราพบคนที่ต่างก็รักกัน ก็มีความสุขจากการมีความรักแน่ๆ ( เรื่องกินอยู่ไว้ว่ากันทีหลัง ) ต่อมา... ความอยากมี อยากได้ อยากเป็น ถ้าได้ในสิ่งที่อยาก ก็หายทุกข์ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ไปทุกข์กับ ความอยากใหม่ๆ จนกว่าจะสนองต่อกิเลสได้  ไม่สิ้นสุด...   จนกว่า   จะหยุดความอยาก การสูญเสีย...  เสียคนที่เรารัก... เราผูกพันธ์ จิตเราบอกกับเราว่าเรารักเค้า เราผูกจิตเรากับบุคคลคนหนึ่ง เมื่อเค้าเลิกกับเรา หรือเค้าตายจากเราไป เราก็เป็นทุกข์  ทั้งที่... มีคนตายเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น หรือเป็นแสน... ทุกๆวัน  แต่เราไม่ได้ผูกใจไว้กับคนเหล่านั้น  เราก็ไม่เป็นทุกข์ ดังนั้น ถ้าเราปลดใจตัวเอง ให้คนที่เราผูกพันธ์ กลายเป็น "คนอื่น" ได้...  เราก็ไม่ทุกข์ ( เหมือนกับเมื่อเราเลิกรักได้  คนที่เราเคยรัก หรือ เคยทำร้ายเรา ก็กลายเป็น "คนอื่น" ) สรุป... ไม่ว่าเราจะเกิดมาทำไม เป็นคนดี และใช้ชีวิต อย่างมีคุณค่า อย่างมีสติ  นั่นแหละครับ... ดีที่สุด พิมพ์ทีเดียว...ตอบสองกระทู้เลย...ฮ่า ๆ ๆ จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 15 มี.ค. 48 23:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ตอนนี้ คิดเหมือนกันค่ะ ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ส่วนตัว ก้ไม่รู้ค่ะ รู้แต่ว่าอยากมีความสุข แต่ ความสุขที่แท้ จริง ก้ยังไม่รู้ซะอีก.... คล้ายว่า เราเกิดมาเพื่อเดินทางไป ในแต่ละวัน เพื่อ ทำๆ ในสิ่งที่คิดว่าต้องทำ บางคนได้ทำใน สิ่งที่อยากทำ ต่างกันไป ..... ทุกวันนี้ ก้ยังไปเรื่อยๆค่ะ คิดในแง่ดี ก้อ คือได้มีโอกาสมาพบเจอ เหตุการณ์มาก มาย ได้เกิดมาเรียนรู้ อาจสุข ทุกข์ ปะปน แต่เชื่อว่า ต้อง ทั้งสุขและทุกข์อ่ะค่ะ ยังไง คุณก้อน่าจะมีเรื่องดี ๆ เข้ามา บ้างล่ะ ลองคิดให้ตัวเองสบายใจและมีความสุขนะคะ เกิดมาทั้งที อย่าพยายามตั้งคำถามอะไรให้มันยากนักเลย ค่ะ ...... ขอให้มีความสุขมากๆในชีวิตนะคะ จากคุณ : leonymb21 - [ 15 มี.ค. 48 23:19:29 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คนเราเกิดมา เพื่อทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ สำหรับตัวเอง ถ้าเรามีชีวิตไปวันๆ มันก็ดูไร้ความหมาย ไร้ทิศทาง ไร้อนาคต ถ้าเราทำอะไร เท่ากับความสามารถที่เรามีอยู่ หรือน้อยกว่า ความสามารถที่เราจะทำได้ ชีวิตเราก็แค่เฟืองชิ้นเล็กๆ ของสังคม เป็นแค่ผงธุรีบางๆของโลกใบนี้ ที่ไม่ความหมาย เราจะอยู่หรือตาย ก็มีค่าเท่ากัน เพราะไม่ได้มีผลกับใคร แต่ถ้าเราได้ลองทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่เกินตัว ทำอะไรสัก อย่างเพื่อมวลมนุษยชาติ เพื่อสังคม เพื่อประเทศชาติ เพื่อให้โลกได้จารึกชื่อเราเอาไว้ก่อนตาย เพื่อให้ลูกหลาน ได้อ่านประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อของเราอยู่ด้วย เพื่อเป็น ก้าวหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพอะไรสักอย่าง แล้วคุณ จะรู้ว่า ชีวิตนี้ คนเราเกิดมาเพื่ออะไร ถ้าจำเรื่องทรอยได้ มีตอนหนึ่งที่ เฮอร์คิวรีส ตัดสินใจ ไปรบกับทรอย เฮอร์คิวรีสไม่ได้ทำเพื่อสปาร์ตา แต่เพื่อ เกียรติยศที่โลกจะจารึกชื่อของเขาไว้ไปอีกหลายพันปี ต่างหาก ถ้าจำหนังเรื่อง คิง อาเธอร์ ได้ อาเธอร์ออกรบกับแซ็กซอน หลังจากที่ได้รับอิสรภาพแล้ว เขาเลือกที่จะอยู่ต่อบนเกาะ ทั้งๆที่รู้ว่ากาต่อสู้ครั้งนี้ อาจทำให้เขาตายได้ แต่เขาก็สู้ เพราะเขาสู้ด้วยอุดมการณ์ ไม่ใช่ด้วยหน้าที่ คนเราถ้ามีความฝันสักก้อนหนึ่ง ต่อสู้กับอุปสรรค แล้วทำ ให้มันสำเร็จ แล้วคุณจะรู้ว่า ชีวิตคุณเกิดมาเพื่ออะไร จากคุณ : ..ฟ้าใส.. - [ 15 มี.ค. 48 23:23:56 ]

ความคิดเห็นที่ 29 จาเข้ามาบอกว่าชอบทุกๆคำตอบมากๆเลยครับ..ให้เเง่คิดกับผมมากเลย.. เพราะตอนนี้ผมไม่รู้จิงๆ..ถึงอ่านจะพอเข้าใจ..เเต่ผม..ยังคงไม่รู้จิงๆคับ..(จะพยายาม) จากคุณ : Venom Vapor - [ 15 มี.ค. 48 23:40:55 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เราเองเคยตั้งกระทู้แบบนี้เหมือนกันเมื่อหลายเดือนที่แล้ว เป็นเพราะตอนนั้นมันมีบางอย่างที่ทำให้เราหดหู่ เมื่อเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่าย คนเรามักจะมานั่งคิดว่า ชีวิตของเราดิ้นรนไปเพื่ออะไร มันจะว้าวุ่นจนไปจบตรงที่ว่า คนเราเกิดมาทำไม ทั้ง ๆ ที่ตอนที่เรามีความสุข เราไม่เคยคิดหรอกว่า ตอนนั้นเราเกิดมาทำไม ทำให้เรารู้ว่าคนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ว่า เมื่อมีความสุข ก็อย่าลืม เก็บเอาไว้เผื่อวันที่เรามีความทุกข์บ้าง ให้นึกถึงว่าวันเวลาที่มีความสุข เพื่อที่จะแรง มีกำลังต่อสู้กับทุกข์ที่เกิด เพื่อให้ผ่านมันไปถึงความสุขที่เฝ้ารอได้ จากคุณ : สาวเซ็กซี่สี่ชั่ง - [ 16 มี.ค. 48 00:11:07 ]

ความคิดเห็นที่ 31 บางคนว่าไว้.... คนเราก็คือไวรัส .... ที่เกิดมาเพื่อทำลายโลก..... เพราะฉนั้น อย่าคิดมาก ทำหน้าที่ของตนเองต่อไป จากคุณ : ช่วยอะไรได้ป่าวหว่า - [ 16 มี.ค. 48 00:40:36 A:203.147.24.44 X: TicketID:089128 ]

ความคิดเห็นที่ 32 We were born to seek for an answer of your question. We born so that we will learn, live, love and leave a legacy. Hopefully, before the day comes, we will find the answer to this question. Keep seeking for the truth of life. จากคุณ : Candle light - [ 16 มี.ค. 48 05:48:14 A:144.92.47.83 X: TicketID:001954 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เด็กๆด้อยโอกาสในชนบท คงจะมีความสุขมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นอีกหลายคน.. แค่นึกภาพตามก็พลอยมีความสุขไปด้วยแล้วครับ ขอให้ได้ทำสิ่งดีๆที่ตั้งใจไว้ครับ จากคุณ : LIFE AFTER DEATH - [ 16 มี.ค. 48 10:32:01 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม... ก็...  ใช้ชีวิต ให้มีคุณค่า สร้างความสุขให้แก่คนรอบข้าง ตามกำลัง ไม่สร้างความทุกข์ ให้กับตัวเอง หรือคนอื่น ถ้า สามารถ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น หรือ สาธารณะได้ ก็จะรู้สึกดี  รู้สึกถึง " ความหมาย ของการมีชีวิตอยู่ " เมื่อเรา รู้สึกได้ว่า...  ชีวิตของเรา...  มีความสำคัญต่อผู้อื่น สามารถเป็นที่พึ่งพิงของผู้อื่นได้ ( จากใจนะครับ ) แล้วก็... ถ้าเราไม่คาดหวัง ว่าคนที่เราทำดีต่อเค้า ทำดีเพื่อเค้า จะดีต่อเราตลอดไปได้ เมื่อวันหนึ่ง หากเค้าไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น... เราก็... จะไม่เป็นทุกข์ครับ ถ้า...เราดีต่อผู้อื่น โดยไม่คาดหวังได้... เราก็ไม่เป็นทุกข์ - นั่นแหละครับ ผมเชื่อ... อย่างนี้ จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 16 มี.ค. 48 15:31:20 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คิดว่าเกิดมาถ้าชาติที่แล้วกะชาติหน้ามีจริง จะทำชาตินี้ให้ดีเพื่อชาติหน้าจะได้ไม่เหมือนชาตินี้ จากคุณ : warm_bin - [ 16 มี.ค. 48 15:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม แต่สงสัยว่าคนเรา ตายแล้วไปไหน นอนคิดประจำ ถ้าคืนไหนนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกว่าวันเวลาแต่ละวันผ่านไปเร็วมากๆ อีกไม่นานก็คงถึงเวลาที่ต้องตายซักวัน ไม่รู้ว่าตายแล้วดับไปเลย หรือว่าไปเกืดที่ไหนอีก แล้วจะเป็นไปตามศาสนาไหนล่ะ ถ้าพุทธ ก็บอกว่าไปเกิดชาติหน้า ถ้าคริตส์ก็ไปพบประผู้เป็นเจ้า จากคุณ : คิดกันบ้างป่าว (X Dog) - [ 16 มี.ค. 48 21:59:56 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สั้นๆ ครับ คนเราเกิดมาก็เพื่อค้นหาว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรนั่นแหล่ะ คำตอบมีอยู่ในตัวปัญหาเองครับ ถ้าคุณชัดเจน เคลียร์กับชีวิตตัวเองและเดินทางไปถึงจุดนั้นได้ นั่นก็บรรจุถึงจุดประสงค์ในการเกิดมาของคุณแล้วครับ ถึงแม้มันจะไม่ใช่นิพพานก็เถอะ จากคุณ : Axiom (one-world) - [ 17 มี.ค. 48 23:19:09 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คนเราเกิดมาเพื่อ ทำให้คนอื่นมีความสุข โดยพื้นฐานที่ไม่ทำให้ตัวเราเองต้องทุกข์ด้วยนะคะ จากคุณ : ให้รักนำทาง - [ 18 มี.ค. 48 10:07:57 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้าบอกว่าเกิดมาใช้กรรมหมายถึงบาปกรรม อันนี้คือคติ ของทางพราหมณ์ไม่ใช่เหรอครับ   ถ้าในทางศาสนาพุทธ กรรมหมายถึงการกระทำทุกอย่างทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จากคุณ : Qingwen - [ 20 มี.ค. 48 22:27:58 ]