CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ทนไม่ไหวแล้วค่ะ....ถึงคนทั้งประเทศจะเชิดชูเธอก็เถอะ!!!

    คิดว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับคุณแม่ที่มาเรียกร้องสิทธิ์ให้กับลูกของเธอที่ต้องมาพิการเพราะความสะเพร่าของโรงพยาบาลนะคะ...
      อยากบอกว่าเราเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเด็กคนนั้นค่ะ
      เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อ 21 ปีที่แล้ว แม่เราคลอดเราก่อนกำหนดที่โรงพยาบาลรัฐที่มีชื่อเสียงมากๆแห่งหนึ่ง เด็กคลอดกำหนดจะไม่ค่อยแข็งแรง(แต่ตอนนั้นอวัยวะของเราครบสามสิบสองเลยนะ)จึงต้องมีการฉีดยาต่างๆให้ และก็เกิดอาการติดเชื้อที่ข้อสะโพกเหมือนกัน กว่าจะรู้เชื้อโรคก็กัดกินข้อสะโพกจนเหลือเล็กนิดเดียว ทำได้แค่เพียงผ่าตัดเพื่อชำระล้างและฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น
      ผลจากความสะเพร่าครั้งนั้น ทำให้กระดูกขาข้างซ้ายทั้งท่อนไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร (ตอนนี้เราอายุ 21 แล้ว แต่หมอบอกว่ากระดูกเราเล็กเท่าเด็กอายุ 10 ขวบ) ขาเราเลยสั้นกว่ากัน 7 เซนติเมตร และกระดูกสันหลังคด เราใช้การกายภาพบำบัดเพื่อรักษา จนเดินได้ แต่เวลาเราเดิน ก็จะดูรู้แหละ ว่าขาเรามีปัญหา เรากับแม่มีความหวังมาตลอดว่าเมื่อโตเต็มที่ จะสามารถผ่าตัดใส่ข้อเทียมให้กลับมาเดินปกติได้ แต่เมื่อปีที่แล้ว (เราอายุครบ 20 ปี) หมอกระดูกที่สนิทกับครอบครัวเราเค้าบอกว่าคงผ่าตัดไม่ได้แล้ว เพราะกระดูกเล็กมาก เกินกว่าที่จะใส่ข้อเทียมลงไป กลัวว่าจะมีผลร้ายมากกว่าดี
    .........
    เหมือนฟ้าถล่มเลยค่ะ
    ..........
      เนื่องจาก ฉันมีปมด้อยเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กๆต้องใส่ร้องเท้าเพื่อการกายภาพบำบัด ที่จะมีเหล็กดามอยู่ ก็จะมีเพื่อนๆล้อ ให้เราต้องร้องไห้อยู่บ่อยๆ โตขึ้นก็เดินไม่สวย กะเผลกๆ เพราะขามันไม่เท่ากัน เนื่องจากต่างกันถึง 7 เซน  อยากใส่รองเท้าส้นสูงสวยๆเหมือนคนอื่นบ้างก็ไม่ได้ เพราะกระดูกขาเราไม่แข็งแรง และเราจะล้มบ่อยมากๆ แผลเต็มไปหมดเลย
      .......
      เราเคยร้องไห้เรื่องนี้อยู่หลายต่อหลายครั้งในชีวิต ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงโชคร้ายอย่างนี้หนอ ไปทำอะไรใครไว้ ถึงต้องเป็นอย่างนี้...แต่บอกได้เลยว่า ในเวลาเดียวกันชีวิตของฉันมีความสุขไม่แพ้ใครในโลกนี้ และขอยกความดีทั้งหมดให้กับแม่
      ...
      นับตั้งแต่ฉันเป็นโรคร้ายนี้ นอกจากที่แม่จะดิ้นรนไปหาหมอที่ได้ชื่อว่าเก่งเรื่องโรค septic hip มารักษาจนกระดูกสันหลังที่คดยืดตรงได้ หาคนมากายภาพบำบัดจนเราเดินได้ แม้จะช้ากว่าพัฒนาการก็ตาม แม่ยังให้ความสำคัญมากๆเรื่องสุขภาพจิตของฉันควบคู่ไปด้วย
      ....
      ตั้งแต่เกิดมา แม่ไม่เคยเรียกฉันว่า "เด็กพิการ" เลยสักครั้ง
      ...
      แม่สอนให้ฉัน เป็นผู้หญิงที่สวยงามที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อชดเชยในสิ่งที่ฉันบกพร่อง แม่ให้ฉันเล่นเปียในเพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจจากขามาที่นิ้วแทน (เพราะตอนนั้น ฉันอยากเต้นบัลเลต์มาก แต่หมอไม่อนุญาต เพราะเป็นการทำร้ายขาตัวเองอย่างแรง) แม่จะหาข้อมูล และวิธีการรักษาอื่นๆอยู่เสมอ เช่น กายภาพบำบัด หรือพาไปหาร้านตัดรองเท้าที่สามารถทำให้ส้นสูงขึ้นมาข้างนึง
    ..........
       นอกจากแม่จะให้กำเนิดแล้ว แม่ยังเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับฉัน เป็นเพื่อน เป็นพี่สาว และเป็นพ่อ...แทนพ่อที่ตายจากพวกเราไปหลังจากฉันเป็นโรคร้ายประมาณ 3 ปี
    ..........
      และฉันเองก็มีความสุขดี จนกระทั้งได้เห็นรายการหนึ่งที่แม่มีลูกที่เป็นปัญหาเดียวกับฉันมาให้สัมภาษณ์
    ..........
      ตลอดรายการ ฉันนั่งหน้าชา และโมโหขึ้นมาหลายครั้ง เพราะเด็กที่เค้าพูดถึงว่า อาภัพอย่างนู้นอย่างนี้ ที่ต้องมาพิการ ชีวิตต้องย่ำแย่เพราะเป็นเด็กพิการ โตขึ้นมาต้องหาแฟนไม่ได้เพราะเป็นเด็กพิการ เป็นเด็กที่น่าสงสารเพราะเป็นเด็กพิการ พิการ พิการ พิการ พิการ และพิการ ..... คำพูดทั้งหมดนั้น มันเหมือนกำลังพูดว่าเราอยู่ตลอด
      ..........
      และถ้าคนที่ได้ดูรายการนี้ทุกครั้งที่เค้ามาให้สัมภาษณ์ แล้วสังเกตุหน้าเด็กชายเคราะห์ร้ายที่บัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว คนนั้น ก็จะเห็นว่า น้องเค้าหน้าตาอมทุกข์ ไม่มีความสุขเอาซะเลย นั้งเดี๋ยวๆก็น้ำตาซึม แม่พูดมาอีกประโยคนึงก็น้ำตาซึมอีกแล้ว
      .......
      ฉันเข้าใจความรู้สึกของเด็กคนนั้นดี และรู้สึกเหมือนว่าไปนั่งเป็นน้องเค้าเลย อินน์มาก คิดตลอดเลยว่า โห!! ถ้าแม่เราพูดอย่างนี้จะรูสึกยังไงเนี่ย
      ......
      ฉันอยากจะโทรเข้าไปในรายการมาก บอกให้แม่เค้าหยุดพูดเสียที ลูกเค้าโชคร้ายพออยู่แล้ว อย่ามาซ้ำเติมด้วยคำร้ายๆ ทำลายหัวใจลูกตัวเองอีกเลย ขนาดเราเองยังจี๊ดขนาดนั้น น้องเค้าจะรู้สึกยังไงบ้าง...คิดบ้างหรือเปล่า...แล้วถามจริงๆเถอะ ถ้าฟ้องร้องได้เงิน 42 ล้านอย่างที่ต้องการแล้วชนะเนี่ย มันคุ้มมั้ยกับสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ของลูก คุ้มมั้ยกับคำว่าเป็น"เด็กพิการ"ที่จะติดตัวลูกไปตลอดชีวิต
      .......นอกจากนั้น เราอยากจะโทรเข้าไปบอกทางรายการว่า เด็กคนนั้น กับเด็กคนที่เป็นตัวแทนเยาวชนที่เคยไปออกรายการนั้นเป็นโรคเดียวกัน จากความสะเพร่าของโรงพยาบาลเหมือนกัน....และฉันก็มีความสุขดี ไม่คิดจะไปเรียกร้องค่าเสียหายใดๆเลย....จะบอกเค้าว่า การที่มีขาแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ชีวิตฉันย่ำแย่เลย เรามีเพื่อนมากมายที่เรารัก และรักเรา เราทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเอง และช่วยเหลือสังคมอยู่ตลอด ที่แม่เค้าพูดว่า "แล้วลูกฉันจะมีผู้หญิงที่ไหนมารักมาชอบ" บอกได้เลยว่า ตอนนี้ฉันค้นพบแล้ว คนที่พร้อมจะรักฉันที่มีขาแบบนี้ คนที่ไม่เคยแคร์ว่าใครจะพูด จะว่าฉันยังไง คนที่กลับพูดว่าเค้าจะดีพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันรัก คนที่จะโกรธทุกครั้งถ้าฉันไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง และขาคู่นี้แหละ ที่เป็นตัวพิสูจน์ว่า ผู้ชายคนนี้รักในสิ่งที่ฉันเป็นจริงๆ ไม่ได้ตัดสินฉันจากรูปร่างลักษณะภายนอกเลย
     .....
      ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการจะยกตัวเองไปข่มกับใคร แต่เบื่อที่จะต้องเปลี่ยนโทรทัศน์หนีเวลาเห็นข่าวนี้ เพื่อหนีความรู้สึกแย่ๆที่มาเกาะกินใจ เบื่อที่จะต้องคิดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เราจะช่วยเค้าได้บ้างมั้ยในฐานะที่เราน่าจะเข้าใจความหดหู่ที่ต้องมาเป็นแบบนี้มากที่สุด
      .....
      และเหนือสิ่งอื่นใด อยากให้คนในสังคม มองเรื่องนี้ในมุมของเราบ้าง มุมของคนที่ต้องอยู่กับขาแบบนี้ไปชั่วชีวิต ไม่ใช่แค่ฟ้องร้องและได้เงินมา ไม่นานก็หมดไป ในขณะที่เราต้องอยู่กับความขมขื่นนั้นต่อไป มุมของคนที่พยายามจะอยู่อย่างมีความสุข และรับมันให้ได้ ไม่อยากให้ใครมาซ้ำเติม โดยเฉพาะ....
      ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า"แม่"
      ...........
      ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ จะว่าเราก็ได้นะ เพราะเรื่องแบบนี้เราเข้าใจว่ามันมองได้หลายมุม เราอยากให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอ่านด้วยซ้ำ เผื่อว่ามันยังไม่สายไปที่จะกลับมาดูแลจิตใจลูกของเธอ
    .............
       และถ้าคนที่เข้ามาอ่านเป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ และรู้วิทยาการใหม่ๆที่จะช่วยให้เราเป็นปรกติเหมือนคนอื่นได้ ช่วยทิ้งอีเมลไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

    จากคุณ : ชัตโตะ - [ วันแรงงาน 02:02:03 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป