ความคิดเห็นที่ 1 ดีแล้วที่เริ่มออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายจนเป็นนิสัย น้ำหนักก็ลดเองถ้ากินเท่าเดิม แปลกผู้หญิง serious มากเรื่องน้ำหนัก น่าจะดูรูปร่างมากกว่า ถ้าพุ่งไม่ยื่นออกมา น้ำหนักเท่าไรก็ไม่เห็นเป็นไร กินอย่างไร ก็กินทุกมื้อแหละ แต่ อย่าเบิ้ล เลี่ยง หวาน มัน เค็ม ทานผักผลไม้ทั้งกากให้มากๆ ข้าวก็ควรเป็นข้าวกล้อง พวกนี้จะเป็นอาหารที่ปล่อยน้ำตาออกมาที่ละช้าๆ (low glycemic index) ทำให้อิ่มนาน และดีต่อร่างกาย ป้องกันเบาหวานด้วย จากคุณ : K.Senior - [ 16 มิ.ย. 48 04:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ที่เราทำนะ คือเราเลือกที่จะกินเป็นมื้อๆไปเลย แล้วงดพวกขนมจุกจิกหมดเลย น้ำอัดลมทุกอย่าง น้ำหวาน หรือ พวกน้ำผลไม้อ่ะ เราไม่กินเลยนะ แล้วในห้องจะมีแต่พวกผลไม้อย่างส้มแทน ขนมขบเคี้ยว  ขอบอกว่า แรกๆทรมานมากๆ แต่พอ ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง อยู่ตัวนะ สบายด้วย  เออ แต่เราก็เน้นออกกำลังกายด้วย 1 ชม. อย่างต่ำ ตอนนี้กำลังโดนบังคับให้วิ่ง 1 ชม. อยู่ ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า  แต่ยังไงก็เอาใจช่วยนะ จากคุณ : ระรวยระรินกลิ่นไอฝน - [ 16 มิ.ย. 48 09:53:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ควบคุมอาหารดีกว่าอดอาหารครับ     เพราะถ้าอดมากไปร่างกายจะเอากล้ามเนื้อตัวเองมาเผาผลาญครับ  ซึ่งมีผลกระทบคือ 1.   ทำให้กล้ามเนื้อเราเหลว และอัตราเผาผลาญลดลงครับ ทางแก้คือ 1.     ออกกำลังกายแบบ Cardio เช่น วิ่ง, ปั่นจักรยาน, Eliptical .... และออกกำลังกายแบบ Weight Traing ควบคู่กันไป เพื่อป้องกันร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อครับ 2.    ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ครับ   แต่ลดพวกขนมทานเล่น, ของหวานดีกว่า,  มื้อหลักก็กินเหมือนเดิม แต่หลักอาหารแบบคุณเคแนะนำก็ดีครับ   กินให้ครบทุกมื้อจะดีกว่าครับ แล้วเพิ่มการใช้พลังงานโดยการออกกำลังกายครับ จากคุณ : bicycle_trend - [ 16 มิ.ย. 48 11:22:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เล่นกล้าม เพิ่ม เมตาบอลิซึม เมตาบอลิซึม คือกระบวนการในสิ่งทั้งหลายที่เราทำ หรือที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา ที่ต้องใช้พลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไป เช่น การหายใจ การคิด การย่อยอาหาร การเต้นของหัวใจ เดิน หรือการเล่นกีฬา กิจกรรมที่ใช้พลังงานเหล่านี้นี่เอง จะเป็นตัวกำหนดว่าคน จะอ้วน จะผอม จะเหลือไขมันพอกพูนอยู่ในร่างกายมากน้อยแค่ไหน เมื่อคุณอายุราวๆ 30 ปี เมตาบอลิซึม ของร่างกายจะเริ่มลดลงราว 5 % ต่อปี นั่นหมายความว่า ถ้าคุณกินอาหารเท่าเดิม แต่คุณก็อ้วนขึ้นๆ จนต้องเปลี่ยน ไซด์ เสื้อผ้าให้ใหญ่ขึ้น เมื่อเรายิ่งอายุมากขึ้นมวลกล้ามเนื้อในร่างกายเรามันลดลง ทั้งนี้เป็นเพราะเราออกกำลังกายน้อยลงผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ คาดคะเนว่า ทุกๆ 1 ปอนด์ของกล้ามเนื้อที่หายไป ทำให้การเผาผลาญพลังาน ลดลงไป 30 แคลอรี่ต่อวัน ผู้หญิงตอนอายุไกล้หมดประจำเดือน จะสุญเสียมวลกล้ามเนื้อไปราวครึ่งปอนด์ต่อปี แต่พอหมดประจำเดือนแล้วจะสูญเสียราว 2 เท่า ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกายด้วยแล้ว พออายุ 65 ปี ก็อาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปถึงครึ่งหนึ่ง ของที่เคยมีตอนยังสาว ทำให้ความสามารถในการเผาผลาญอาหารลดลง วันละ 200-300 แคลอรี่เป็นผลให้อ้วนง่ายการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานไขมันเมื่อเราอายุมากขึ้นที่ ง่ายๆ คือ การเพิ่มการออกกำลังกายโดยการเล่นกล้าม ไม่แนะนำให้ไปวิ่งไปเดิน เพราะแม้เป็นสิ่งดี แต่ก็เป็นเพียงการใช้กล้ามเนื้อเฉพาะบางมัดเท่านั้น ถ้าท่านเล่นกล้ามให้กล้ามเนื้อให้กล้ามเนื้อในแต่ละส่วนโตขึ้น แข็งแรงขึ้น จะทำให้การเผาผลาญพลังงานของท่านเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว การเล่นกล้ามเช่น อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ภายในไม่กี่เดือน จะทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เท่ากับที่สูญเสียไปใน 5-10 ปี การเล่นกล้ามจึงเป็นวิธีสร้างความหนุ่มสาวให้เกิดขึ้นอย่าง ง่ายๆ และรวดเร็วสำหรับผู้หญิงก็สามารถเล่นกล้ามได้ ผู้หญิงอาจจะเลือกเล่นกล้ามโดยไม่ทำให้แลดูน่าเกลียดก็ได้ คือเล่นกล้ามเนื้อที่ไม่มีไครมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก เช่น กล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งจะทำให้ทรวดทรง องค์เอวดีขึ้น หรือถ้าเล่นกล้ามเนื้อหน้าอก ก็จะช่วยเสริมให้เต้านมดูสูงขึ้นเป็นสง่าราศีโดยไม่ต้องไปเสริมเต้าให้เสียเงิน นอกจากนี้ยังมี กล้ามเนื้อแก้มก้น กล้ามเนื้อหลัง ที่สามารถพัมนาให้โตขึ้น เพื่อการเผาผลาญพลังาน เพื่อลดใขมัน กล้ามเนื้อที่ว่า นี้มันซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า คนอื่นไม่เห็นก็ไม่ต้องกลัวน่าเกลียด ส่วนกล้ามเนื้อแขนกล้ามเนื้อน่องก็เพลาๆลงมาหน่อย อย่าให้มันโตขึ้นการเล่นกล้ามที่ว่านี้ทำได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินให้ศูนย์ฟิตเนท เพียงซื้อ ดัมเบลล์ ขนาดพอเหมาะซักชุด กับม้านั่งยาวสักตัว ก็สามารถเล่นกล้ามได้เกือบทุกมัดแล้วสำหรับคนที่ชอบกิน ถ้าไม่ได้กินแล้วไม่มั่นใจ ขอกินเพื่อให้การเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ก็อาจลองในสิ่งต่อไปนี้ที่ไม่ค่อนอันตรายคือ จากคุณ : bicycle_trend - [ 16 มิ.ย. 48 11:24:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คนอ้วนหากอยากจะผอม การที่จะลดความอ้วนให้ได้เป็นผลสำเร็จ ควรจะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้ 1. ลดปริมาณเซลล์ไขมันในร่างกายลงให้ได้ โดยลดทั้งขนาดของเซลล์ไขมันและปริมาณ หรือจำนวนเซลล์ไขมัน ซึ่งสามารถทำได้โดยวิธีการอดอาหารเพื่อลดพลังงานที่ให้แก่ร่างกายลง และออกกำลังกายแบบแอโรบิก เพื่อให้ร่างกายได้ใช้ไขมันที่สะสมไว้ 2. สร้างเซลล์กล้ามเนื้อในร่างกายให้เกิดมากขึ้น การลดเซลล์ไขมันโดยอดอาหาร และออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว น้ำหนักอาจจะลดลงไปสักระยะหนึ่ง เมื่อน้ำหนักลดแล้วก็มักจะอดใจไม่อยู่ เลิกอดอาหารหรือเลิกออกกำลังกาย เซลล์ไขมันที่ลดขนาดลง อยู่สักระยะหนึ่งจะเริ่มกลับมาสะสมไขมันอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้แหละครับที่มันจะกระตุ้นให้เซลล์ อ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว เซลล์ที่อ้วนขึ้นอาจจะไปเหนี่ยวนำกลไกการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้เซลล์แบ่งตัว เพิ่มจำนวนเซลล์ขึ้นอีก คนอ้วนที่ลดความอ้วน หากกลับอ้วนขึ้นมาใหม่จึงมักจะอ้วนมากกว่าเดิม มันน่าเจ็บใจไหมล่ะครับ การลดความอ้วนให้จริงโดยให้ร่างกายลดจำนวนเซลล์ไขมันลงอย่างเดียวจึงไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนัก เห็นควรต้องเร่งสร้างเซลล์กล้ามเนื้อเพื่อช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานให้รวดเร็วขึ้นด้วย การออกกำลังกาย แบบแอโรบิก แม้จะช่วยให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อได้ แต่ไม่ได้ช่วยมากมายสักเท่าไหร่ ต้องหาหนทางอื่น เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อด้วยครับ จากคุณ : bicycle_trend - [ 16 มิ.ย. 48 11:25:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 การลดหน้าท้อง 2 ซิทอัพทั้งปี ทำไมพุงไม่ยุบ พอดีว่าไปเปิดดูกระทู้เก่าๆ เลยเจอคนถามว่า "ซิทอัพทั้งปี ทุกวัน ทำไมพุงไม่ยุบลงไปเลย ก็เลยไปหาข้อมูล แล้วก็ถามพี่ชายสุดที่รัก เลยได้ความมาดังนี้"" "การซิทอัพ""" คือการทำให้หน้าท้องแข็งแรงเท่านั้นค่ะ ไม่ได้ทำให้พุงลด หรือผอมลง หรือเกิดกล้ามท้องเป็นลอนได้หรอก ขออธิบายเรื่องกล้ามท้องก่อนสักนิด ความคิดที่ว่าบริหารแต่กล้ามท้องมากๆ แล้วพุงจะลดจนมีหน้าท้องเป็นลอนนั้น เป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลย เหตุผลก็คือ ในร่างกายเราทุกคน จะมีชั้นไขมันคลุมเป็นแผ่นบางๆ (เขาเรียกว่า Layer) ไว้ทั่วร่าง ใครก็ตามที่ทำให้แผ่น Layer นี้บางลงได้ คนนั้นก็จะมีกล้ามเนื้อชัดทั้งตัว รวมไปถึงหน้าท้องด้วย ในทางกลับกัน ถ้าคุณบริหารแต่หน้าท้อง โดยหวังที่จะให้ Layer ตรงหน้าท้องหายไปที่เดียว เพื่อจะได้กล้ามท้องชัดๆนั้น ไม่มีทางทำได้ แล้ววิธีแก้คืออะไร วิธีแก้ก็คือต้องออกกำลังกาย ให้ร่างกายไปนำเอา Layer เหล่านี้มาแปลงเป็นพลังงาน การทำเช่นนี้จะทำให้ Layer บางลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้พลังงานมากแค่ไหนนั่นเอง และวิธีดีที่สุดคือการเพาะกาย คุณเพาะกายครึ่งชั่วโมง โดยยกน้ำหนักมากๆ ยังมีค่ามากกว่าไปวิ่งตั้งสามชั่วโมง เพราะการวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบ aerobic คือใช้ออกซิเจนมาสร้างพลังงาน แต่การยกน้ำหนักจะใช้พลังงานในร่างกาย (ที่มาจาก Layer) เป็นวัตถุดิบ เรียกว่า anarobic จึงทำให้คุณสลาย Layer ได้ดีกว่า เมื่อเรามีอายุมากขึ้น อัตราการเผาผลาญอาหาร (Metabolism) ก็จะช้าลง สมมติว่าในวัยที่คุณอยู่วัยรุ่น คุณทานข้าวหนึ่งจาน ร่างกายก็เผาผลาญเป็นพลังงานไปหมด โดยไม่เหลือเก็บไว้ จึงทำให้คุณในวัยนั้นไม่มีไขมันจับตามหน้าท้องหรือต้นขา หรือใต้คาง คราวนี้เมื่อคุณอายุมากขึ้น คุณทานข้าวจานเดียวกันนั้น ในปริมาณเท่ากัน แต่เนื่องจากร่างกายมีอัตราการเผาผลาญอาหารที่ต่ำลงกว่าแต่ก่อน จึงทำให้ยังไม่ทันที่จะเผาผลาญอาหารพวกนั้น เป็นพลังงานได้หมด มันก็หนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ใต้ผิวหนังคุณซะแล้ว (ไปซ่อนเป็น Layer ไงคะ) ก็คือไขมัน หรือความหนาที่หน้าท้องคุณดังนั้น วิธีแก้มีสองวิธีคือ   1. เอา Layer ที่มีอยู่แล้วออก 2. กำจัดสิ่งที่จะไปเป็น Layer ใหม่ซะ สองวิธีนี้ วิธีการมีอยู่ข้อเดียว คือการออกกำลังกาย โดยข้อ 1.ที่ว่าให้เอา Layer ที่มีอยู่แล้วออกนั้น ก็ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น      ส่วนข้อ 2. ที่ว่ากำจัดสิ่งที่จะไปเป็น Layer ก็คือการทำให้อัตราการเผาผลาญอาหารสูงขึ้นนั่นเองค่ะ และวิธีที่จะทำให้มันสูงขึ้นก็คือการเพาะกาย ย้อนกลับมาเรื่องการซิทอัพสักเล็กน้อยนะ ว่าทำไมมันก็เป็นการเล่นกล้ามอย่างหนึ่ง แต่ทำไมละลาย Layer ไม่ได้ ความจริงมันละลายได้ส่วนหนึ่งนะค่ะ แต่ถ้าคุณซิทอัพอย่างเดียว มันใช้พลังงานน้อยมาก อย่างมากก็ไม่เกิน 50 แครอลี แต่อาหารที่เราทานเข้าไปทุกวันน่ะ จะอยู่ที่ 2,000 แครอลี่ คิดดูแล้วกันว่าคุณใช้พลังงานไปแค่นิดเดียว ดังนั้นที่เหลือมันก็กลายเป็นไขมัน นี่แหละคือคำตอบที่ว่าคุณควรจะเพาะกายเต็มรูปแบบ เพื่อให้มันเอาไขมันพวกนั้น มาสลายตัวเป็นพลังงาน แล้วใช้ให้หมดไป ส่วนถ้าสงสัยว่า แล้วการวิ่งหรือขี่จักรยานจะลดหน้าท้องได้หรือไม่ ก็ได้เหมือนกัน แต่สู้การเพาะกายไม่ได้ เพราะมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า จริงอยู่ที่ขณะเราที่เราวิ่งออกกำลังกาย ใช้เวลาเท่าๆกับการเพาะกายนั้น การวิ่งจะเอาไขมันมาสลายเป็นพลังงานได้มากกว่า แต่ว่าทันทีที่เราพัก คือหมายถึงเลิกออกกำลังกายในแต่ละวันแล้ว การเพาะกายจะทำให้ขบวนการเผาผลาญไขมันนั้น ดำเนินไปตลอดเวลา ส่วนผู้ที่เป็นนักวิ่ง ขบวนการมันหยุดตั้งแต่หยุดวิ่งแล้ว แล้วคิดดูว่า วันหนึ่งมี 24 ชม. แต่สำหรับการวิ่ง มันจะเผาผลาญไขมันแค่ช่วงเวลาวิ่ง ก็ประมาณ ไม่ถึงชั่วโมง เทียบกับการเพาะกายแล้ว มันเผาผลาญตลอดทั้งวันเลยทีเดียว **   การออกกำลังกายแบบ Weight Training  จะเพิ่มอัตราเผาผลาญทั้งขณะที่ออกกำลังกายและขณะพัก   ให้มีการเผาผลาญแคลอรี่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายแบบนี้ร่วมด้วย  ปริมาณของใยกล้ามเนื้อหรือมวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้น 1  กิโลกรัมจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ 50 กิโลแคลอรี่ต่อวัน  ยิ่งคุณมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยในเรื่องของการเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้นเท่านั้น จากคุณ : bicycle_trend - [ 16 มิ.ย. 48 11:26:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เราก็ลดค่ะ เเบบนี้นะ เช้ามาล้างหน้าเเปรงฟันเเล้วออกกำลังกายเบาๆ 10-15 นาที เช่น เหวี่ยงเเขน เหวี่ยงขาข้างละร้อยครั้ง เเต่ละครั้งหายใจเข้าออก ยาวๆๆ เป็นจังหวะ สมำเสมอ ทำหน้ากระจกนะคะ เเขน ขา เอวลดลงจริงๆ นะ วัดได้เลย ทำมาตลอดตั้งเเต่สิ้นปีที่เเล้ว เเละตอนนี้อยู่ตัวเเล้ว (หลังจากอ้วนมาก) ระหว่างวันเราหาโอกาสเดิน วิ่งตลอด ไม่พยายามนั่งกับที่ ถ้าง่วงก็ไปเเอบบิดเอวในห้องนำค่ะ ส่วนอาหาร เช้าก็ผลไม้ กลางวันอะไรก้ได้ที่ไม่มัน ไม่กะทิ กินพออิ่ม หรืออิ่มมากก็ได้ ถ้ามันอร่อยหรือเผลอ อย่างน้อยมันไม่มัน ไม่มีกะทินี่คะ เป็นไฟเบอร์ยิ่งดีเลย อาหารว่างงด หรือไม่ก็ผลไม้ เเล้วจะอิ่มนาน ถ่ายคล่องด้วยค่ะ เย็นกินเร็วขึ้น เน้นอาหารไม่มัน ไม่ใส่กะทิค่ะ ดื่มนำเยอะๆทั้งวันค่ะ ช่วยให้ไม่หิว เเละผิวดี ระบบขับถ่ายดี บางทีอยากกินนำอัดลมก็ผสมเองค่ะ เช่น นำโซดากับมะนาว นำผึ้งนิดหน่อย นำอัดลมไม่กินมานานมากเเล้ว ทำเเบบนี้ไปตลอด ตัวจะเบาขึ้น หุ่นดีขึ้น ถ้าเผลอออกไปนอกเเพลน ก็กลับมาใหม่ค่ะ ได้ผลเหมือนเดิม กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน เเล้วจะเห็นตัวเองสวยขึ้นค่ะ จากคุณ : กินอะไรก็ได้อย่างนั้น (ป้าปุ้มพี่เท่ง) - [ 16 มิ.ย. 48 13:55:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เราจะเอาไปปฎิบัติอย่างเคร่งคัดค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ด้วง - [ 16 มิ.ย. 48 21:40:00 ]

ความคิดเห็นที่ 9 น้องด้วงคะ  ออกกำลังกายครึงชั่วโมงต่อวัน  มันน้อยไปนะคะ   เวลาตรึ่งชั่วโมง  วิ่งเหยาะๆ ไม่หยุดพัก  ลดไปได้ประมาณ 250 แคลลอรี่เอง  ทานข้าวมันไก่จานนึงก็เกินแล้ว ขอให้สวยค่ะ จากคุณ : ตาลเฉาะ - [ 17 มิ.ย. 48 01:02:04 ]