CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    เฮ้อ..ทำไมลำบากอย่างนี้นะ..ไฟกำลังมอดแล้ววววว..

    เบื่อชีวิตสุด ๆ เลย ไม่รู้จะทำมาหากินอะไรดี สับสันใปหมดแย่มากโกรธตัวเองที่ไม่ได้เรื่อง..หาเรื่องเองแท้ ๆ

    ไม่รู้เราเดินทางผิดหรือปล่าว เพื่อน ๆ ช่วยด่าเตือนสติเราหน่อย เราว่าเราเหลวไหลมาก ๆ เลย อ่อนแอมาก ๆ ด้วย ไม่เอาถ่านเลย ทำไมยิ่งโตยิ่งแย่ก็ไม่รู้ คนอื่นเค้ามีแต่พัฒนาตามอายุ แต่เราสิยิ่งโตยิ่งถอยลงคลอง..เนี่ยจะเข้า 31 ปีแล้ว

    เราทำงานเป็นเซลตั้งแต่อายุ 19ปี เรียนไปด้วยเรียนตอนเย็น สมัยนั้นเรามีผลงานตลอด ผจก ชมตลอด ออกไปตามไซน์งานขับรถไปหาลูกค้าตจวไกล ๆ เราทำได้ จนเรียนจบป.ตรี  เศรษฐกิจแย่ เราก็หนีไปเรียน ตปท..สิงคโปร์ รวบรวมเงินเก็บทั้งหมดไปตายดาบหน้ากะว่าจะไปเรียนแล้วก็จะหางานทำด้วย
    โชคดีเราเรียนไปเกือบปี ได้งานบริษัทอเมริกา เราก็ทำไปเรื่อย ๆ PR (permanent resident)ทำไปทำมา อยู่ 4-5 ปี เราก็เริ่มเซ็งระบบงานกับหัวหน้าคนใหม่ งานเรามันก็ก๊อกแก๊กอ่ะนะ โอกาสโตยากอยู่อย่างนั้นมาตั้งหลายปี ทำงานเกี่ยวกับ computer support เราเองก็ไม่ได้เก่งอะไร เรียนก็ไม่ได้เรียนโดยตรง เราไม่มีวุฒิเกี่ยวกับไอทีเลย เรามีแต่ประสบการณ์แก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ
    มันถึงจุดอิ่มตัวแล้วล่ะตรงนั้น งานมันก็สบายนะนะ เช้าไปเย็นกลับทำงาน 5 วัน 8-5 โมงเย็น หยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ชีวิตมันเบื่อ ๆ อีกอย่างเบื่อรับโทรศัพท์ 7-8 ชม. ติด ๆ กัน ตอนนั้นเรามีปัญหาหูอื้อ ปวดหู เรากลัวหูหนวก ไม่อยากทำงานแบบนี้อีกแล้ว อยากเปลี่ยนฟิว แต่สมัครงานอื่นไม่ีเคยได้เลย เพราะประสบการณ์เรามาทางนี้ทั้งที่เราจบการตลาด

    เราก็เลยทำเรื่องขอ PR ออส เราอยากย้ายประเทศตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าออสเนี่ยมีโอกาสดีกว่าประเทศสวยกว่า

    พอเราได้ปุ๊บ เราลาออกงานทันทีแล้วก็บินเข้าซิตนี่ย์ทันที..เราอยู่มาจะ 2 ปีแล้วเราเริ่มท้อแล้วเนี่ย..เราว่าสิงค์โปร์ยากแล้วนะ ที่นี่ยิ่งยากกว่าอีก
    ตอนเราไปใหม่ ๆ ไปทำงานร้านอาหาร..ในใจคิดว่าจะ้เปิดร้านอาหาร ลองไปเป็นลูกจ้างหาประสบการณ์ ที่ไหนได้โดนโกงค่าแรง (ร้านอาหารไทยนี่แหล่ะ..ให้เราทดลองงานวันแรก โหดมาก ไม่จ่าย..โทษที่ตัวเองแหล่ะ ไม่กล้าคุยให้รู้เรื่องก่อนทำ กลัวเค้าไม่รับ)
    เราก็ไปทำร้านอาหารไทยร้านอื่นอีก..งานหนักมาก..
    คนที่ทำงานด้วยก็แย่พูดจาแย่ ๆ ตะคอกอย่างกะหมูกะหมา self-esteem  เราไม่เหลือเลย เราไม่ไหวแล้วก็เลยไปหางานออฟฟิสทำ แนวเดิม อีหรอบเดิมอีกแล้วงาน customer service เราคิดในใจนะ เอาวะ..หนีจากสิงคโปร์กะว่าจะไม่เอาแล้้วงานแบบนี้..เหมือนหนีเสือปะจรเข้ยังงัยก็หนีไม่พ้น
    อย่างว่าแหล่ะ มีแต่ประสบการ์ทางนี้สมัครงานอย่างอื่นก็ไม่ค่อยมีใครอยากรับ
    ยิ่งงานร้านอาหารสำหรับเราเนี่ยยากมาก..เราได้ยินคนอื่นเขาว่ากัน ง่าย..ง่าย..เราดิไปสมัคร ไม่ค่อยมีใครอยากรับ..เราว่าคงเพราะเราตัวผอมดูไม่ทนงานมั้ง ...เราว่าก็จริงนั่นแหล่ะเราไม่ค่อยอึด..อย่างน้อยนะเวลาเราสมัครงานพวก customer service เค้าก็เรียกสัมภาษณ์หลา่ยบริษัทเหมือนกันแต่มันงาน helpdesk กลัวหูหนวก..อยากพักหูบ้าง

    ทำงานร้านอาหารอยู่6 เดือน..ไม่เอาแล้ว..เชื่อมั้ย..โดนด่าตลอดเลย.เชื่อมั้ย
    กุ๊กเขวี้ยงชามต่อหน้าเราอ่ะ กระแทกกระทะ ป้าง ป้าง..ผลักเราในครัวด้วย
    โห..เรานะสาบานเลย..ถ้าไม่อับจนหมดหนทางนะ..จะไม่กลับไปทำงานร้านอาหารไทยอีกเลย
    ถ้าทำนะ..เราต้องเป็นเจ้าของเอง..เราจะไม่ยอมให้ใครมากดขี่ข่มเหงเราแบบนี้อีก

    แล้วเราได้ทำงานกับบริษัทนำเข้าพวกเครื่องอีเลตโทรนิค อีกและ customer service เราโอเคกับงานนี้เพราะ ส่วนใหญ่ email support โทรศัพท์มีบ้างแต่ไม่ใช้ต่อเนื่องตลอดเหมือนพวก call centre เจ้าของเป็นคนฮ่องกง..เราทำงานปีแรกแฮบปปี้มาก เพราะเจ้าของไม่ค่อยจู้จี้  ให้อิสระการทำงานและความคิดแก้ปัญหา.เราำทำงานเต็มที่มีเราคนเดียวในแผนกเรา

    พอมาช่วงต้นปีเจ้าของขยายบริษัท เพิ่มยอดขายขึ้นแบบมโหราณ..จากเดิมเราตอบอีเมล์ 200-300 อีเมล์ต่อวัน ทุกวันนี้ อย่างน้อย ๆ 300-400 นี่ยังไม่รวม follow-up นะ เราเริ่มเครียด ถึงเครียดที่สุดเพราะถ้ามี complaints ไม่ว่าเรื่องอะไรเราต้องตามแก้หมด ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดขึ้นกับแผนกอื่น ๆ เราต้องไปตามจี้แผนกนั้น ๆ ถ้าไม่จี้ก้ไม่ทำประมาณนั้น ประมาณว่าคนแผนกอื่นเริ่มไม่ขอบเรา..เพราะเราไปกดดันเค้า..แต่เชื่อมั้ยเวลามีโทรศัพท์จากลูกค้าหรือ
    อีเมล์..เค้าจะโยนให้เรารับหน้าเสื่อแทน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นงานของเค้า
    เพราะอะไรน่ะเหรอ..เพราะไม่มีใครอยากรับรู้ปัญหา
    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราก็เลยแก้เผ็ด warehouse ไป..เพราะเราทนมาสุด ๆ แล้ว อีกอย่างเรายุ่งมาก..ลูกค้าสั่งซื้อของ เรารับเงินมาแล้ว invoice ดองไว้เกือบเดือน เราอีเมล์ข้อมูลเสร็จสรรพ forward 2-3 ครั้ง ไม่ตอบไม่ตามงาน
    ลูกค้าก็รอคำตอบมีเมล์มาหาเรา เราก็ forward ไปไม่ตอบอีก ทีนี้เราลงไป warehouse ..รู้มั้ยคำตอบคืออะไร..ขนาดสินค้าใหญ่เกิน ไม่มีใครส่งให้...ถ้าจ้างที่อื่น แพงไม่คุ้มค่าส่ง..ลมจะใส่..แล้วจะให้เราไปคุยกับลูกค้ายังงัยเนี่ย ลูกค้าโกรธมาก สั่งให้เราส่งวันรุ่งขึ้น โทรมาทุก 2 ฃม คาดคั้นเอาคำตอบ ไม่งัยจะฟ้องกรมคุ้มครองผู้บริโภค เจ้าของก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ โอเคเค้ารู้เรื่องแล้ว
    เค้าจะหาที่อื่นส่งของ..ในใจเราก็เดือดนะ..ทำไมไม่เช็คก่อนเสนอราคา..
    ทำไมเก็บเงินมาแล้วดองเอาไว้เกือบเดือน มีปัญหาทำไม่ไม่แจ้งลูกค้าหรือไม่ก็บอก เราแต่เนิ่น ๆ เราจะได้อธิบายให้ลูกค้าได้
    ทีนี้..ลูกค้าโทรมาอีก แต่สายไปติดที่ warehouse หล่อนยังมีหน้าโอนมาให้เราอีก ทั้ง ๆ ที่เรารอคำตอบจากเธอ..เราก็เลยตอบไปว่า จะให้เราคุยกับลูกค้ายังงัยในเมื่อเรายังต้อ
    งรอคำตอบจากเธอ อีเมล์ก็พอกพูนขึ้นเนื่องจากเราเสียเวลาลงไปตามงาน ขณะนั้นอีเมล์เราเพิ่้ม 800 .เราไม่รับโทรศัพท์..ลูกค้าก็โทรเข้ามากอีก
    1 ชมต่อมาเธอคนนั้นก็เอา consignment number ให้เรา..แต่หล่อนหน้าหงิก มาก..มาก

    นี่แค่ตัวอย่างนะ..ยังมีลักษณะแบบนี้เยอะมาก งานที่บริษัทนี้ไม่ค่อยมีระบบ
    เราทำงาน customer support แต่เราต้องตามงานกับ couriers เอง ต้อง fight กับลูกค้า รวมทั้ง กรมคุ้มครองผู้บริโภคด้วย ดู ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ถ้าเราไม่ทำมันเรื่องมันก็ไม่จบเพราะแผนกอื่น ๆ ไม่สนใจ กลายเป็นว่าเราเต้นแร้งเต้นกาอยู่คนเดียว เพราะเวลามีปัญหาขึ้นมา เจ้าของเค้าจะถามเรา เกิดอะไรขึ้น แล้วให้เราไปกล่อมลูกค้า..ต่อให้พูดดียังงัยปัญหาไม่แก้แบบนี้ ก็ไม่จบหรอก
    เค้าพูดในที่ประชุมงัย ปัญหาอะไรแก้ไม่ได้ ให้โอนมาที่เรา..ทีนี้สิ..โยนกันเป็นว่าเล่นเลย
    จนเราเครียด..จนอยากจะอาเจียน..เพราะตามแก้ไม่หวั่นไม่ไหว เราอีเมล์นะ..ดอง..เราต้องลงไปคุยตัวต่อตัวจี้ให้ทำตรงนั้นเลยถึงจะได้เรื่อง
    ที่แผนกการเงินเหมือนกันต้องจี้ให้ออก invoice ด้วย..เราเช็คเงินเข้าบัญชีเองเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่งานเรา..ไม่รอแล้ว..เงินเข้าเป็นอาทิตย์ ๆ ยังไม่ทำเลย .ของก็เลยยังไม่ส่ง.เหมือนเราบ้าอยู่คนเดียว..

    แค่นี้ก็เครียดพอแล้ว..ยังอีก..block access เรา..ทำให้เราเข้าหลาย ๆ ระบบไ่ม่ได้ รวมทั้งเวปไซด์ที่เราต้องไปหาาข้อมูลมาแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้ เนื่องจากมีคนไปแจ้งเจ้าของว่าเราไม่ทำงานมัวแต่เซริฟเนต
    พอเราโดนตัดแขนตัดขา..เรายิ่งคลั่ง..เพราะงานไม่เดินเราเช็คไม่ได้
    ทีนี้ 2 อาทิตย์ที่แล้วเราโดนตัดเงินเยอะมาก เพราะเราย้ายบ้านแล้วรถไฟไม่มีมาชั่วโมงละขบวนเราอธิบายให้เค้าฟังแล้ว ยังโดนตัดอีก.เราก็เลยต้องนั่นก็เลยมาแต่เช้ามืดนั่งรอหน้าออฟฟิส 40 นาทีทุกเช้าเพื่อไม่ให้โดนตัดเงิน มาอีก..ระบบลอกเข้างานไม่ลอกเราเข้า เราไม่รู้ มาเจออีกทีก็สายปาเข้าไป 2 ชม..คนเค้ารู้กันทั่วออฟฟิส ก็ยังโดนตัดอีก..สมัยก่อนเค้าไม่เคยทำอย่างนี้กับเรานะ เราทำล่วงเวลา 2-3 ชม กลับบ้านดึกทุกคืนไม่ได้ตังค์เราก็ไม่ว่านะ เราสาย 15 นาทีตัดตังค์เนี่ยสิ..

    เราว่ามัีนเข้ามาพร้อม ๆ กัน มันถึงจุดสุดขีดแล้ว  ก็เลยสมัครงานไปทั่วแล้วได้งานในซุปเปอร์มาเกต
    ในใจก็หวั่น ๆ จะทำได้มั้ยเนี่ย เงินได้เท่ากัน แต่ซุปเปอร์เนี่ยไกล้บ้านไม่เสียค่ารถ
    หักลบคูณหาร..ได้เท่้ากัน แต่มันก็ต้องเหนื่อยกว่า

    อีกอย่างเราก็เพิ่งจะเริื่่มทำธุรกิจ ธุรกิจเรายังไปไม่ถึงไหนเพราะว่าสมองเราล้ามาก
    เนื่องจากความเครียด เราต้องตื่นแต่ 6โมงเดินทางไปทำงาน งานเริ่ม 8.30 เลิก 5.30 นั่งรถกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไป 2 ทุ่ม กลับมากินข้าวอาบน้ำ ทำงาน ธุรกิจเราต่อถึงเที่ยงคืนนอนจนตาโหลเป็นแพนด้าแล้ว..เราทำเวปเอง เพราะไม่มีปัญญาจ้าง อยากทำธุรกิจเองอะไรเซฟได้ก็ต้องเซฟ เวปเรายังทำไม่เสร็จเลย..หลายเดือนแล้วนะเนี่ย

    นี่แหล่ะเป็นจุดที่เราอยากทำงานซุปเปอร์..เราก็ลางานออฟฟิส 1 อาทิตย์ แต่ยังไม่บอกลาออก เพราะยังหวั่นงานใหม่อยู่ว่าจะโอเคหรือเปล่า

    ทำวันแรก..โอเค..ทำสองคนจนปิด พอคืนที่ 2 ปล่อยเราทำคนเดียวหมด ทิ้งขยะให้ 3 ถังใหญ่ เก็บของเยอะมากหนักมาก  เราทำแผนก deli เค้าืท์เตอร์ยาวประมาณ 20 เมตรกว่า ๆ ได้ ถาดเยอะมากในขณะเดียวกันต้องบริการลูกค้าอีก เวลาทำงานของเราเที่ยงคืน
    เพื่อนของเพื่อนเราที่ทำงานแบบเดียวกันเค้าเตอร์เค้าเล็กกว่าแต่คนละสาขา
    เค้ายังใช้ 2 คน..เนี่ยเราวันที่สองยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลยปล่อยเราคนเดียว เพราะ manager ต้องการตัดค่าใช้จ่าย.

    เมื่อคืนกว่าจะเสร็จเที่ยงคืนครึ่ง..แต่เราว่ายังไม่ค่อยเสร็จดีหรอก เมื่อคืนไม่ไหวแล้ว รีบๆ ล้างไม่ค่อยพิถึพิถันหรอกมันเยอะ..กลับบ้านสลบเหมือด..ปวดไปทั้งตัว ลากของหนักมาก ๆ ยกไม่ไหว..หนักโครต ๆ
    ตื่นเช้ามาไข้จับเลย..วันนี้ก็เลยไปทำงาน..โทรบอกเค้าแล้ว..เค้าคงคิดว่าเราทำไม่ไหว
    ก็ไม่ไหวจริง ๆ แหล่ะ..ได้แผลกลับบ้านด้วย

    ที่นึงก็เหนื่อยแรงสุด ๆ อีกที่ก็เหนื่อยสมองสุด ๆ

    ไม่รู้จะทำยังงัยดีแล้วกับชีวิต..งานสมัยนี้ก็หายากเหลือเกิน..จะทำธุรกิจก็กลัวไปไม่รอด
    กลัวไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า กลับเมืองไทยก็ไม่กล้ากลัวไม่มีงานทำ

    กลัวตกงานทั้งสองที่จริง ๆ เลยนะเนี่ย..ช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดีเลยแฮะ

    เพื่อน ๆ ช่วยเราคิดหน่อยสิ เราจะทำยังงัยดี เราจดทะเบียนการค้าขายของ
    สินค้าทุกอย่างที่ลูกค้าซื้อเป็นของขวัญได้ ตอนนี้เราขายทางเนตอยู่ แต่ไม่มีเวลา ทำจริง ๆ จัง ๆ เวปเราก็ยังไม่เสร็จอะไรก็ยังไม่เสร็จ ค้างเติ่งอยู่เนี่ย เรากลัวอดตายมากเลย ทั้ง ๆ มีเงินเก็บนะ แต่ถ้าเราไม่มีรายได้เข้ามาเนี่ย เรายิ่งกังวลหนักเข้าไปใหญ่

    เราไม่ค่อยกล้าเสี่ยง ช่วยสอนเราหน่อยว่าจะเริ่มต้นที่ไหนยังงัย
    รู้สึกว่ายิ่งนานวัน ตัวเองยิ่งโง่ขึ้นเรื่อย ๆ

    ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะบอก ผจก ที่ซุปเปอร์ยังงัย
    ถ้าเพื่อน ๆ เป็นเราจะเลือกอะไร

    1. ทำงานต่อที่ออฟฟิส..อดทนทำธุรกิจออนไลน์ไป
    2. ออกมาลุยธุรกิจอย่างเดียว ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป..แต่เสี่ยงอดตายอ่ะ
    3. เลือกทำที่ซุปเปอร์ กลางวันทำธุรกิจ..

    บอกตรง ๆ เมื่อคืนเกือบตาย ฝรั่งคนที่เราทำงานด้วยกลับไปตอน 4 ทุ่มไม่ได้ช่วยเราเก็บกวาดเลย แอบคุยโทรศัพท์ ทิ้งงาน..เราทำคนสุดท้ายเลยซวยเลย..เราคิดว่ามันจะต้องมีกรณีนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ

    ช่วยชี้แนะแนวทางแสงกว่าทำมาหากินสำหรับคนโง่ๆ อย่างเราด้วยเถอะ..มืดแปดด้านแล้ว..ฮือฮือออ..

    จากคุณ : Kangaloo - [ 3 ส.ค. 48 13:22:41 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป