ความคิดเห็นที่ 6
1. โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศคืออะไร ?
โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หมายถึง การที่อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวและ/หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จจนเป็นที่พึงพอใจอยู่เป็นประจำหรืออย่างต่อเนื่อง
2. ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศสูงหรือไม่ ?
การสำรวจในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2542 ในชายไทยทั่วประเทศจำนวน 1,250 ราย พบว่า มีชายไทยเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศร้อยละ 37.5 โดยมีอาการตั้งแต่น้อยๆ คือร่วมเพศไม่สำเร็จแค่บางครั้งจนถึงไม่สามารถที่จะร่วมเพศได้เลย
3. องคชาตแข็งตัวได้อย่างไร ?
การที่จะทราบว่าโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเกิดจากสาเหตุใด จะให้การรักษาได้อย่างไร เราจะต้องเข้าใจ กลไกการแข็งตัวขององคชาตก่อน
การแข็งตัวขององคชาตมีด้วยกัน 3 กลไก ได้แก่
1. การแข็งตัวเวลานอนหลับ (nocturnal erection) เวลานอนหลับ องคชาตของเราจะมีการแข็งตัวคืนละประมาณ 4-6 ครั้ง ครั้งละ 15-30 นาที
2. การแข็งตัวจากจิตใจ (psychogenic erection) เมื่อมีความต้องการทางเพศจากสิ่งเร้าต่างๆ ที่มากระตุ้น คำสั่งจะส่งจากสมองมายังแกนสมองส่วนที่เรียกว่า พาราเวนทริคูลาร์นิวเคลียส ที่อยู่บริเวณไฮโปทาลามัส จากนั้นคำสั่งจะผ่านไขสันหลังลงมายังศูนย์กลางการแข็งตัวขององคชาตบริเวณไขสันหลังระดับกระดูกก้นกบ (S 2,3,4) และผ่านเส้นประสาทคาร์เวอนัส (cavernous nerve) ที่มากระตุ้นให้เส้นเลือดในองคชาตมีการขยายตัว เลือดเข้ามาเลี้ยงมากขึ้นทำให้องคชาตแข็งตัว
3. การแข็งตัวจากรีเฟล็กซ์ (reflexogenic erection) เมื่อมีการกระตุ้นหรือสัมผัสบริเวณองคชาต ก็จะมีสัญญาณผ่านจากเส้นประสาทที่องคชาต (dorsal nerve) ไปยังศูนย์กลางการแข็งตัวที่ไขสันหลังระดับกระดูกก้นกบ (S 2-4) และส่งสัญญาณกลับมายังองคชาต (cavernosu nerve)
องคชาตประกอบไปด้วยแกน 3 แกนด้วยกัน การแข็งตัวขององคชาตจะต้องอาศัยแกนใหญ่ 2 แกนที่เรียกว่าคอร์ปัส คาเวอร์โนซั่ม (corpus cavernosum) ซึ่งประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อร่างแหคล้ายฟองน้ำ (sinusoid) ซึ่งร่างแหเหล่านี้ ก็คือเส้นเลือดแดงฝอยขององคชาตนั่นเอง
เมื่อมีการกระตุ้นทางเพศเกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุด จะต้องมีการกระตุ้นผ่านสิ่งเร้าที่สมองส่วนที่เรียกว่า paraventricular nucleus (PVN) ซึ่งอยู่ในบริเวณก้านสมองส่วนที่เรียกว่า hypothalamus เราเรียกกลไกนี้ว่า การแข็งตัวจากการกระตุ้นทางจิตใจ (psychogenic erection) ซึ่งระบบประสาทที่รับการกระตุ้นส่วนใหญ่จะเป็นชนิด dopamine receptor ชนิดที่ 2 จากนั้นคำสั่งจะผ่านมาทางไขสันหลังจนถึงไขสันหลังบริเวณก้นกบที่ระดับ 2-4 (S 2,3,4) ซึ่งจะรวมกันเป็นปมประสาทที่เรียกว่า sacral plexus และแตกแขนงเป็น เส้นประสาท cavernous (cavernous nerve) ไปยังองคชาต ทำให้มีการพองตัวของเส้นเลือดที่เป็นร่างแหคล้ายๆ ฟองน้ำนี้เต็มที่ ก็จะกดเส้นเลือดดำที่ไหลออกจากองคชาต ทำให้เลือดไหลออกจากองคชาตได้น้อยมาก องคชาตก็จะแข็งตัวเต็มที่
4. โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเกิดจากสาเหตุใด ? จะเห็นได้ว่าความผิดปกติที่กลไกใดๆ ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ อันได้แก่
1.1 ความล้มเหลวในการเริ่มต้น (failure to initiate) อันมีสาเหตุจากปัญหาทางจิตใจ เนื้อเยื่อประสาท และฮอร์โมน
1.2 ความล้มเหลวในการแข็งตัว (failure to fill) เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดแดง
1.3 ความล้มเหลวในการคงการแข็งตัวไว้ (failure to store) จากความผิดปกติของเส้นเลือดดำทำให้เกิด venous leakage
จากการศึกษาพบว่า สาเหตุด้านร่างกาย (organic) สาเหตุด้านจิตใจ (psychogenic) และทั้งสองสาเหตุร่วมกัน (mixed ED) คิดเป็นร้อยละ 70, 11 และ 18 ตามลำดับ สำหรับสาเหตุทางร่างกายนั้น ที่พบบ่อยมักจะเกิดจากโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน (diabetes) เส้นโลหิตแข็งตัว (atherosclerosis) จากอายุที่มากขึ้นหรือไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease) นอกจากนี้ พบได้ในรายที่มีการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง การผ่าตัดกระดูกเชิงกราน หรือการฉายรังสี การผ่าตัดต่อมลูกหมาก และ multiple sclerosis เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการดื่มสุราจัด การสูบบุหรี่ และจากยาหลายๆ ชนิด
5. การรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ในอดีตซึ่งแพทย์ยังไม่ค่อยเข้าใจกลไกการแข็งตัวขององคชาตดีนัก การรักษาจะเริ่มมาจากการใช้ปั๊มสุญญากาศเพื่อดูดเลือดเข้ามาในองคชาตแล้วใช้ยางรัดที่โคนองคชาตไว้ แต่ไม่ได้รับความนิยม เพราะการรัดจะทำให้รู้สึกชา ไม่เป็นธรรมชาติและการหลั่งน้ำอสุจิจะไม่ค่อยสะดวกเนื่องจากยางที่รัดอยู่ ในยุคต่อมาจะทำการรักษาโดยการผ่าตัดใส่แกนองคชาตเทียมเข้าไป ซึ่งมีทั้งแบบเป็นแท่งแข็งตัวตลอดเวลา จนมาถึงรุ่นปัจจุบันที่มีปั๊มน้ำซ่อนไว้ที่ท้องน้อย เวลาใช้จึงปั๊มให้น้ำไหลเข้ามาในแกนองคชาตเทียม ทำให้องคชาตมีการแข็งตัว เมื่อเลิกใช้ก็ใช้มือกดปุ่มเพื่อให้น้ำออก องคชาตก็จะอ่อนตัวลงได้ แต่มีราคาแพงและแม้ว่าจะได้ผลการผ่าตัดที่น่าพึงพอใจมาก แต่คนไข้ส่วนใหญ่จะกลัวการผ่าตัดจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก ในยุค 10 ปีก่อนนี้เริ่มมีการนำยาฉีดเข้าที่องคชาตมาใช้ ปรากฏว่าได้ผลดีมาก แต่เนื่องจากคนไข้จะต้องฉีดยาเข้าที่องคชาตตัวเองทำให้กลัว และหลายๆ รายมีอาการปวดที่องคชาตภายหลังฉีดเป็นเวลานาน ก็จึงไม่เป็นที่นิยมใช้เช่นกัน การรักษาจึงพัฒนามาเป็นยาสอดเข้าที่ท่อปัสสาวะ แต่มีอาการปวดที่องคชาตได้บ่อย เช่นเดียวกับยาฉีด
การรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศนี้มาโด่งดังกันมากเมื่อมีการค้นพบการรักษาที่ง่ายๆ และมีประสิทธิภาพคือ การรับประทานยากลุ่มที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ phosphodiesterase-5 (PDE-5 inhibitor) เนื่องจากการกระตุ้นให้องคชาตแข็งตัวนั้น เส้นประสาทในองคชาตจะมีการปล่อยสาร "ไนตริกออกไซด์ ออกมากระตุ้นให้มีการสร้างสารไซคลิกจีเอ็มพี (cGMP) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบ sinusoid ในองคชาต ทำให้องคชาตแข็งตัวดังที่กล่าวมาแล้ว แต่สาร cGMP นี้จะถูกทำลายโดยเอนไซม์ PDE-5 ดังนั้นการรับประทานยากลุ่ม PDE-5 inhibitor ก็จะช่วยชดเชยให้การแข็งตัวขององคชาตดีขึ้น โดยยากลุ่มนี้ได้แก่ ยาซิลเดนาฟิล (sildenafil) และที่ยังอยู่ในระหว่างการวิจัยอีกหลายชนิดเช่น ทาดาลาฟิล (tadalafil) และ วาเดนาฟิล (vardenafil) โดยให้รับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชม. ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้จะคล้าย ๆ กันคือ ทำให้ปวดศีรษะ ร้อนวูบวาบประมาณร้อยละ 10-15 เนื่องจากทำให้เส้นเลือดขยายตัว แต่ไม่รุนแรงและเป็นอยู่เพียงชั่วคราว
อย่างไรก็ตามแม้ว่ายากลุ่ม PDE-5 inhibitor จะมีผลการรักษาที่ดีมาก แต่ก็มีข้อห้ามที่สำคัญมากคือ ห้ามใช้ในคนไข้ที่รับประทานยากลุ่มไนเตรต เช่น isosorbide, ISMO และ ยากลุ่มไนโตรกลีเซอรีนทุกๆ ชนิด ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในคนไข้หัวใจขาดเลือด พบได้มากถึงร้อยละ 15 ของคนไข้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเลยทีเดียว เนื่องจากการรับประทานยากลุ่มไนเตรตจะทำให้ระดับของสาร ไนตริกออกไซด์ ซึ่งปกติมีอยู่น้อยมากในกระแสเลือดเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติมาก ดังนั้นเมื่อทานยากลุ่ม PDE-5 inhibitor เข้าไป ก็จะทำให้ระดับของไซคลิกจีเอ็มพีมากกว่าปกติ ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและความดันโลหิตลดลงได้ถึง 30-40 มม.ปรอท จึงเป็นอันตรายแก่ผู้ที่รับประทานยาทั้งสองชนิดนี้พร้อม ๆ กันได้ ดังนั้นในคนไข้กลุ่มนี้จึงมีข้อห้ามในการใช้ยากลุ่ม PDE-5 inhibitor
ยาอีกกลุ่มที่ให้โดยการอมใต้ลิ้นนาน 10 นาที คือ ยาอะโปมอร์ฟีน (apomorphine) จะไม่มีข้อห้ามในการรับประทานร่วมกับยากลุ่มไนเตรต มีประสิทธิภาพประมาณร้อยละ 50 ได้ผลเร็วภายใน 30 นาที โดยทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ร้อยละ 3-4 แต่ไม่มีรายงานผลข้างเคียงที่รุนแรง ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่ paraventricular nucleus (PVN) ซึ่งอยู่ในบริเวณก้านสมอง ดังที่กล่าวมาแล้วว่าเป็นศูนย์กลางของการแข็งตัวขององคชาตในสมอง
1. จะเลือกวิธีใดในการรักษาดี และจะต้องทำการตรวจพิเศษอื่นๆ หรือไม่ ?
ปัจจุบันแพทย์จะอธิบายวิธีการรักษาแต่ละชนิดให้คนไข้ทราบถึงข้อดีข้อเสีย จากนั้นคนไข้จะตัดสินใจเองว่าชอบวิธีใด คนไข้ส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธีง่ายๆ ราคาเหมาะสมและไม่มีข้อห้ามในการใช้ จึงมักจะเลือกใช้ยารับประทานหรืออมใต้ลิ้น เมื่อไม่ได้ผลจึงทดลองวิธีต่อไป เช่น ยาสอดทางท่อปัสสาวะและการใช้ปั๊มสูญญากาศและจะทำการตรวจเลือดง่าย ๆ เพื่อเช็คเบาหวาน ไขมันในเลือด การทำงานของตับและไต ซึ่งอาจจะมีผลต่อขนาดของยาที่ให้ ในรายที่ไม่ได้ผลจากวิธีง่ายๆ ที่กล่าวมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะใช้ยาฉีดเข้าโคนองคชาต เพื่อทดสอบดูสภาวะของเส้นเลือดและการตอบสนองต่อยาฉีด ในรายที่ได้ผลและไม่กลัวการฉีดยาเข้าตนเอง ก็จะเลือกวิธีนี้ แต่ในรายที่ไม่ได้ผลหรือไม่ชอบใจ ก็อาจจะต้องทำการผ่าตัดใส่แกนองคชาตเทียม ส่วนวิธีการผ่าตัดต่อเส้นเลือดที่ตีบจะเลือกใช้ในคนอายุน้อยที่เส้นเลือดตีบจากอุบัติเหตุและไม่เป็นเบาหวานชนิดที่ต้องใช้ยาฉีด อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ภายหลังจากที่ไม่ได้ผลด้วยการรักษาง่ายๆ นี้ จะต้องได้รับการตรวจด้วยวิธีพิเศษขึ้นกับวิธีการรักษานั้น ๆ
2. คนไข้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศจะต้องได้รับการรักษาทุกคนหรือไม่ ?
คนไข้ที่มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาทุกราย ถ้าคนไข้และคู่สมรสไม่รู้สึกเดือดร้อนที่ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่อย่างไรก็ตามคนไข้ที่มีปัญหานี้เป็นข้อบ่งชี้ว่า อาจจะเกิดจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ดังนั้นแม้ว่าไม่ต้องการจะมีเพศสัมพันธ์แล้ว ก็ควรจะได้รับการตรวจเช็คสุขภาพดู
จากคุณ :
neoheart
- [
24 ส.ค. 48 11:59:18
]
|
|
|