CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    บัวหิมะ

    การเลี้ยงและการดูแล
    เมื่อท่านได้รับเห็ดมาครั้งแรก เห็ดจะมีสภาพซึ่งแซ่อยู่ในนมแล้ว ให้นำมากรองแยกนมออกจากเห็ด โดยวิธีการกรองให้ใช้อุปกรณ์การกรองที่ไม่ใช่โลหะโดยเด็ดขาด ดื่มนมที่ได้จากการกรองซึ่งประมาณ 8 ออนซ์ หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดเห็ดโดยให้น้ำไหลผ่านจนสะอาดแล้วบิดให้แห้งแล้วใส่ลงไปในแก้วพลาสติก แล้วใส่นมเข้าไปประมาณ 8 ออนซ์แซ่ไว้ 24 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องแล้วนำมากรองเพื่อจะดื่มเหมือนดังที่ได้มาตอนแรก ซึ่งนมที่ได้มาขณะนี้ได้เปลี่ยนมามีรสชาติเปรี้ยวและมีคุณสมบัติเปรียบเสมือนยาให้ทำเพื่อดื่มทุกวันก่อนนอนเป็นเวลา 20 วันและหยุดพักการดื่มเป็นเวลา 10 วันและค่อยดื่มต่อวนเวียนไปเช่นนี้ในช่วงเวลาที่หยุดพักเป็นเวลา 10 วัน ณ วันนั้นเห็ดต้องได้รับการทำคามสะอาดทุกวันเหมือนดังตอนที่เราทำก่อนนำไปกรอง โดยเห็ดประมาณ 2.5 ช้อนโต๊ะสามารถที่จะทำได้ 1 แก้ว
    ข้อควรจำ
    - ห้ามแช่เย็น - เห็ดจะโตขึ้นเป็น 2 เท่าทุก ๆ 18 วัน
    - ห้ามไม่ให้เห็ดโดนโลหะโดยเด็ดขาด -ใช้ที่กรองพลาสติกใช้แก้วกระเบื้องห้ามใช้โลหะ
    การดูแลรักษาเห็ดได้ดี
    ให้มีความสะอาดย่อมจะทำให้สุขภาพของผู้ดื่มนมที่แช่เห็ดดีตามไปด้วยเนื่องจากจะได้นมที่สะอาดและมีคุณภาพสำหรับดื่ม
    สรรพคุณ
    1. สร้างความสมดุลของภูมิต้านทานในร่างกาย
    2. ช่วยให้ตับ, ม้ามแข็งแรง
    3. ช่วยรักษากระเพาะ และลำไส้
    4. ทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ
    5. ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง
    6. ทำให้ร่างกายเป็นปกติ ลดความเครียด ช่วยบรรเทาความเหนื่อย
    7. ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และช่วยลดคอเรสเตอรอล
    8. ช่วยละลายนิ่ว
    9. สร้างสารปฏิชีวนะในร่างกาย เพื่อช่วยให้การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
    10. รักษา ช่วยให้ตับ และระบบการขับถ่ายดีขึ้น
    11. ประกอบด้วยสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ
    ความเป็นมาของสรรพคุณเห็ด
    อาจารย์ทางด้านยาจากมหาวิทยาลัยพยาบาล GLEIVITZ ในโปแลนด์ ได้นำเห็ดมาสู่ยุโรปจากเอเชีย โดยในขณะที่ทำงานที่อินเดีย และธิเบต เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ พระที่ธิเบตได้นำเห็ดนี้มาให้เขากินเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา หลังจากนั้น 18 เดือนเขาสามารถหายป่วย ก่อนจะเดินทางกลับเขาจึงขอเห็ดนี้จากพระรูปนั้น พระรูปนั้นจึงได้ให้เขามาเป็นของขวัญ
    คุณภาพของนมเปรี้ยว (บัวหิมะ)
    pH = 3.7
    ความเป็นกรด (% กรดแลคติก) = 1.6%
    Reducing sugar (แลคโตส กูลโครส หรือ กาแลคโตส) = 1.02%
    โปรตีน = 3.2%

    ขอร้องให้ปฏิบัติ 3 ข้อ ต่อไปนี้คือ
    1.เลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง
    2.ห้ามจำหน่ายเด็ดขาด
    3.ถ้าเลี้ยงแล้วเจริญเติบโตมีมากเกินความต้องการ โปรดแจกจ่ายให้ญาติและมิตรสหาย
    วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
    ใช้นมสดรสจืด 1 กล่อง ประมาณ 250 c.c (8 1/2 ออนซ์) ไม่ต้องแช่ตู้เย็น
    1.แช่บัวหิมะไว้ในนมสด 250 c.c นานประมาณ 24 ชั่วโมง บัวหิมะจะเปลี่ยนนมสดให้เป็นโยเกิร์ต
    2.ใช้กระชอนกรองน้ำนมนั้นมาดื่ม (ควรดื่มทันที ไม่ควรตั้งทิ้งไว้นาน)
    3.ดื่มก่อนนอนขณะท้องว่าง โดย ไม่ดื่มรวมกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ให้ดื่มติดต่อกันนาน 20 วัน แล้วให้หยุดพัก 10 วัน
    4.ล้างบัวหิมะด้วยน้ำสะอาดเบาๆ จนสะอาด (หากจำเป็นอาจใช้มือสัมผัสเบาๆได้) แล้วเทคืนสู่ภาชนะเดิม แช่ด้วยนมสดใหม่ 250 c.c ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง
    5.ระหว่างพัก 10 วัน ให้ล้างบัวหิมะทุกคืน เติมนมสดรสจืดฯ ทุกครั้ง (ปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ 4.
    6.ให้เลี้ยงบัวหิมะในภาชนะแก้ว หรือพลาสติกเท่านั้น ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิด เก็บในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ ห้ามเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจัด เพราะนมจะมีรสเปรี้ยวมาก
    7.บัวหิมะจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในเวลา 18 วัน (ประมาณที่พอเหมาะคือ สองช้อนครึ่ง)

    คำแนะนำ
    1. บัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์ เป็นพืชตระกูลเดียวกับ “เห็ด” และ “ยีสต์”
    2. นมหรือโยเกิร์ตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงบัวหิมะนี้ เนื่องจากเป็นการเพาะเห็ดหรือยีสต์ จึงมีรสและกลิ่นเปรี้ยว ไม่ใช่นมบูด แต่มีกระบวนการย่อยสลายเหมือนกับการบูดของอาหาร ต่างกันที่จุลินทรีย์ที่ใช้หมักบัวหิมะนี้ เป็นจุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินแล้วไม่ท้องเสีย
    3. ตอนที่ได้รับบัวหิมะมาในวันแรกๆ (ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์แรก) ปริมาณจะยังมีน้อยอยู่ ให้ใส่นมแค่พอท่วมปิดหมด ไม่ต้องใส่นมหมดกล่อง เพื่อให้เมล็ดบัวหิมะได้มีเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ และไม่บอบช้ำจนเกินไป
    4. ศึกษาจากเว็บต่างประเทศแล้ว บอกว่า จะดื่มทุกวันก็ได้ ไม่ต้องเว้น 10 วัน (อันนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน)
    5. นำโยเกิร์ตที่ได้มาพอกหน้า ประมาณ 30 นาที (หรือรอจนหน้าแห้ง) ทุกคืนก่อนนอน แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า (ไม่ต้องล้างด้วยสบู่) จะทำให้หน้าเนียน ขาว ใสขึ้น รู้สึกผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้น สิวก็หาย เนื่องจากโยเกิร์ตบัวหิมะมีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลและสมานผิว
    6. บางครั้งหากใช้โยเกิร์ตบัวหิมะพอกหน้าแล้วรู้คันยิบๆในบางจุด นั่นไม่อันตราย แต่แสดงว่าผิวหนังบริเวณนั้น เป็นสิว แห้งลอก ซึ่งอาการคันนี้หมายถึงการที่กรดผลไม้และวิตามินต่างๆกำลังเข้าไปช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสมานผิวให้หายเป็นปกติ เมื่อสิวหายแล้วอาการคันนี้จะหมดไป
    7. ถ้าหากระชอนกรองที่เป็นพลาสติกไม่ได้ แนะนำให้ใช้กระชอนช้อนปลา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี
    (ราคาประมาณ 8 – 12 บาท) โดยเวลาใช้ ให้ระวัง ห้ามโดนบริเวณที่เป็นลวดเหล็กเด็ดขาด
    8. ไม่จำเป็นต้องล้างบัวหิมะด้วยน้ำทุกวัน เพราะคลอรีนจะทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำเลย พอกรองโยเกิร์ต ออก ก็เทนมใหม่ ใส่ต่อได้เลย (แต่ควรล้างภาชนะที่ใส่ด้วยนะ) จะทำให้บัวหิมะโตเร็วมาก เหมือนกับการเลี้ยงปลา ที่ต้องใส่น้ำเดิมของมันลงไป และการย้ายต้นไม้ ก็ต้องใส่ดินเดิมของมันลงไปด้วยเช่นกัน ถ้าหากต้องการล้างจริงๆ ให้ใช้น้ำกลั่น หรือน้ำที่ปลอดสารคลอรีน
    9. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน 2-3 วัน ให้ใส่นมแค่พอปิดท่วมเม็ดบัวหิมะ แล้วแช่ตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาไว้
    10. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน เกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้ล้างบัวหิมะด้วยน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้งหมาดๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วแช่ช่องฟรีซ (ช่องแช่แข็ง)ในตู้เย็น เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของบัวหิมะชั่วคราว และเป็นการป้องกันไม่ให้เสียด้วย
    11. หากแช่เย็นแล้ว เมื่อกลับมาใช้อีกครั้ง ให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็ง (ใช้น้ำอุ่นนิดๆได้ แต่ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด) ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้น แล้วค่อยใส่นม
    12. นมโยเกิร์ตที่กรองออกมาแล้ว ที่ดีที่สุดควรดื่มทันที แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มตอนหลัง สามารถนำไปแช่เย็นเก็บไว้ได้ 2-3 วัน
    13. หากใครกินแล้วท้องไส้ปั่นป่วน นั่นไม่ได้แปลว่าคุณแพ้บัวหิมะ แต่แสดงว่าร่างกายของคุณมีโรคหรือสารพิษตกค้าง ซึ่งอาการปั่นป่วนคืออาการที่บอกว่า บัวหิมะนี้กำลังช่วยให้ร่างกายคุณขับไล่สารพิษนั้น / เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นให้ลดปริมาณการกินในช่วงแรกไปก่อน เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวไม่เท่ากัน

    Q1. ควรใช้นมชนิดใด

    A1.1 ชนิดของนมที่ดีที่สุด คือ นมแพะ เพราะนมแพะสามารถย่อยและดูดซึมได้ง่ายกว่านมวัว และค่อนข้างมีปัญหาการแพ้น้อยกว่า นมแพะมีความสมดุลกับร่างกายมนุษย์มากกว่า
    A1.2 โชคไม่ดี ที่นมแบบนั้นหายาก แต่ก็น่าจะลองหาซื้อดู อาจจะมีราคาแพง แต่ถ้าเทียบกันในระยะยาว ก็ถือว่าเป็นการลดค่ายาค่าหมอในการรักษาโรคในอนาคตได้ เพราะคุณจะได้รับผลคุ้มค่ากว่าเงินที่เสียไป

    Q2. สามารถใช้นมอื่นๆทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้หรือไม่

    A2.1 นมทุกชนิดใช้ทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้ เช่น นมจากสัตว์ (แพะ, วัว, แกะ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลถั่ว (ถั่วเหลือง, ถั่วแดง ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลข้าว (ข้าว, ข้าวบาร์เล่ย์ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอน, มะพร้าวหรือกะทิ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลเมล็ดเล็ก (ป่าน, ฟักทอง, งา ฯลฯ) แต่นมที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ นมวัว, นมแพะ และนมถั่วเหลือง

    A2.2 ผู้เขียนเคยลองใช้นมถั่วเหลืองทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จึงปรับสภาพได้ หลังจากนั้นผู้เขียนจึงเก็บเมล็ดคีเฟอร์ไว้ส่วนนึงเพื่อทำโยเกิร์ตคีเฟอร์จากนมถั่วเหลืองโดยเฉพาะ คิดว่ารสชาติอร่อยดี แต่แตกต่างกับโยเกิร์ตคีเฟอร์ทั่วๆไป อย่างสิ้นเชิง

    Q3. ฉันจะทำโยเกิร์ตคีเฟอร์โดยใช้เครื่องดื่มชนิดอื่นๆได้หรือไม่

    A3.1 ทำได้แน่นอน เราสามารถทำคีเฟอร์ได้โดยใช้เครื่องดื่มที่ไม่ใช่นมได้หลากหลายชนิด แต่เครื่องดื่มนั้นๆจำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบของน้ำตาลเพื่อให้เป็นอาหารแก่คีเฟอร์ด้วย คีเฟอร์ที่ทำจากน้ำผลไม้หรือน้ำที่มีรสหวานอื่นๆ เรียกว่า “คีเฟอร์น้ำ” ผู้เขียนไม่เคยลองทำคีเฟอร์น้ำ แต่พอรู้เรื่องมาบ้าง อย่างไรก็ตาม คีเฟอร์ต้องการระยะเวลาในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะใหม่ๆ ตอนที่ผู้เขียนทดลองทำคีเฟอร์ด้วยน้ำนมถั่วเหลืองยังต้องใช้เวลากว่า 1 สัปดาห์ในการปรับตัวเลย เพราะฉะนั้นคีเฟอร์แบบน้ำ คงยิ่งต้องใช้เวลามากกว่านั้นอีก ส่วนวิธีการเริ่มเปลี่ยนจากนมเป็นน้ำผลไม้หรือน้ำหวาน ให้ทำตามวิธีเหมือนกับตอนที่คีเฟอร์เพิ่งถูกขนส่งมาจากระยะทางไกลๆ คือ ใส่น้ำผลไม้หรือน้ำหวานในปริมาณน้อยๆก่อน ในช่วงเริ่มต้น

    Q4. จะเปรียบเทียบคุณค่าของแบคทีเรียและยีสต์ในคีเฟอร์แบบน้ำ กับคีเฟอร์ที่ผลิตออกขายทั่วไปได้อย่างไร

    A4.1 ผู้เขียนต้องออกตัวว่าไม่ใช่นักชีววิทยา แต่จะอ้างอิงจากข้อมูลที่มีผู้ทำการวิเคราะห์เอาไว้แล้ว โดยคีเฟอร์แบบน้ำ (น้ำผลไม้หรือน้ำหวาน) จะมีแบคทีเรียกรดแลคติค 13 ชนิด, สเตร็ปโต และ แลคโตค็อคซี 5 ชนิด, ยีสต์ 7 ชนิด - รวมทั้งหมด 25 พันธุ์
    A4.2 เมื่อเปรียบเทียบกับคีเฟอร์แบบใช้นม ซึ่งมี แลคโตบาซิลี 18 สายพันธุ์, สเตร็ปโต และ แลคโตค็อคซี 9 ชนิด, แอคเซโทแบคเตอร์ 2 ชนิด, ยีสต์ 12 ชนิด – รวมทั้งสิ้น มีแบคทีเรียและยีสต์ 41 สายพันธุ์
    A4.3 สรุปแล้ว ทั้งคีเฟอร์แบบน้ำ และแบบนม ต่างก็มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่คีเฟอร์แบบนมมีจุลินทรีย์หลากหลายชนิดกว่า แต่ทั้ง 2 แบบ ต่างก็มีส่วนสำคัญในกระบวนการเผาผลาญอาหารของมนุษย์เช่นกัน
    A4.4 โดยมาก คีเฟอร์แบบนมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้นมสัตว์ จึงมีความสมดุลกับร่างกายของมนุษย์ได้มากกว่า แต่อย่างไรก็ต้องไม่ลืมคำนึงคนที่รับประทานมังสวิรัติด้วย ถือเป็นกรณียกเว้น ว่าไม่อาจดื่มคีเฟอร์จากนมได้

    Q5. จะเปรียบเทียบคีเฟอร์ กับโยเกิร์ต และบัตเตอร์มิ้ลค์ อย่างไร

    A5.1 อีกครั้ง ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว คีเฟอร์มีคุณประโยชน์มากกว่าโยเกิร์ตและบัตเตอร์มิ้ลค์แน่นอน เพราะคีเฟอร์มีจุลินทรีย์ถึง 41 สายพันธุ์ ในขณะที่โยเกิร์ตมีเพียงแค่ 4 ชนิด (สเตร็ปโตค็อคคัส เทอร์โมฟิลลัส, แลคโตบาซิลลัส บัลการิคัส, แลคโตบาซิลลัส แอคซิโดฟิลลัส และ ไบฟิโดบัคเตเรียม ลองกัม) และเพียง 2 ชนิดในบัตเตอร์มิ้ลค์ (แลคโตบาซิลลัส แลคทิส และ สเตร็ปโตค็อคคัส ครีโมริส) และจากผลการวิจัยพบว่า แบคทีเรียและยีสต์ชนิดต่างๆที่มีในคีเฟอร์ มีความคล้ายคลึงกับชนิดที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์มาก คีเฟอร์อาจมีรสชาติคล้ายกับบัตเตอร์มิ้ลค์ เพียงแต่รสจัดกว่า แต่ก็ทดแทนกันได้ในเรื่องคุณประโยชน์

    จากคุณ : เจเจ - [ 13 ก.ย. 48 14:41:22 A:61.7.137.109 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป