เมื่อวานพานักศึกษาไปเชียร์กีฬาข้างนอก(ไปรถบัส)
ระหว่างทางกลับนักศึกษาขอเต็นบนรถ
เราก็โอเค เพราะไม่ได้ซีเรียสอะไร
ก็เข้าใจว่า .. เด็กอยากสนุกสนาน
แล้วเราก็อยู่ รวมทั้งไม่มีเรื่องของแอลกอฮอลล์เกี่ยวข้อง
ใกล้ถึงมหาวิทยาลัย เด็กเป็นลม(เด็กผู้ชาย)
ก็เลยบอกให้นั่งพัก แล้วสักพักเด็กก็ขึ้นมาเต้นใหม่
เฮ้อ ได้เรื่องเลยเด็กเป็นลมไปอีกรอบ(คราวนี้หมดสติไป)
ถึงมหาวิทยาลัยก็เลยพาเด็กไปห้องพยาบาล
(มีเด็กผู้หญิงอีกคนจากคณะอื่น เป็นลมด้วย)
พยาบาลก็น่ารักมาก หึหึ
(ใกล้เวลาเลิกงานแล้วถึงตอน 19.00 น.)
หลังจากพยาบาลดูอาการแล้ว
ก็บอกว่า... เด็กทั้ง 2 คนไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ
(ประมาณว่าที่เป็น ส่วนหนึ่งเพราะเรียกร้องความสนใจ)
เราก็ให้เพื่อนๆกลับบ้านไปก่อน เพราะดึกแล้ว
เดี๋ยวผู้ปกครองจะเป็นห่วง ให้อยู่เฉพาะคนที่อยู่หอเดียวกัน
เด็กผู้หญิงรู้สึกตัวแล้ว เลยเรียก taxi มารับ
พอเดินออกมา ก็ไปเข้าห้องน้ำแล้วก็เป็นลมไปอีกรอบ
สักพัก พยาบาลบอกว่า... นำส่งโรงพยาบาลดีกว่าค่ะ
เราก็โทรเรียกรถพยาบาลมา
อาจารย์ที่ภาคอีกคนบอกให้พยาบาลทำเรื่องส่งตัว
เผื่อเด็กจะได้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้
พยาบาลที่น่ารักก็บอกว่า.. มันเวลาเลิกงานแล้วนะคะ
(แฟนคุณเธอมารออยู่ที่ในห้องพยาบาล)
(ท่องไว้ๆๆ ใจเย็นๆ เด็กเป็นยังไงบ้างไม่รู้ )
ระหว่างรอรถคุณเธอบอกว่า..อาการไม่ดีค่ะรีบไปดีกว่า
เลยเอาเด็กขึ้นกะบะอาจารย์ที่ภาคอีกคนไป
สวนกับรถพยาบาลหน้ามหาวิทยาลัยพอดี
นางพยาบาลบนรถลงมาดูบอกว่า..
ชีพจรปกติคะ หายใจปกติ แต่ยังไม่ได้สติ
เลยไม่ได้ย้ายรถ เพราะมีเด็กผู้หญิงอีกคนที่รออยู่ที่ห้องพยาบาล
ก็เลยให้บุรุษพยาบาลวอไปบอกที่โรงพยาบาลให้เตรียมไว้
จะพาคนไข้ไปเอง
ระหว่างนั้นก็โทรคุยกับแม่เด็กตลอด(พ่อแม่เด็กอยู่ต่างจังหวัด)
พอไปถึงโรงพยาบาลหลังจากคุณหมอตรวจเสร็จก็ขอคุยด้วย
คุณหมอบอกว่า.. ไม่ได้มีอาการของโรคหอบ(ที่เด็กบอกว่าเป็น)
หรือโรคหัวใจอื่นๆ แต่เกิดจากสภาวะทางจิตใจ
เหมือนเด็กเครียด แล้วคิดว่าตัวเองเป็นมาก
ส่วนเด็กผู้หญิงอีกคน ก็น่ารักมาก
พอรถพยาบาลไปถึง กลับมีแรงขึ้นมาซะงั้น
ไม่ยอมมาโรงพยาบาล
อืม ลุกขึ้นมาเถียงนางพยาบาลได้แล้ว เหอๆ
แล้วตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยทำไม ฉันต้องให้เพื่อนๆเธอ
มากระแหนะกระแหน ตอนให้เด็กกลับไปก่อน
ประมาณว่า...
ก็คณะ..รักเพื่อนไม่ทิ้งให้เพื่อนอยู่คนเดียวหรอกค่ะ (คนที่พูดก็กระเทยน่ะ)
อ้าว งี้ว่าคณะฉันนี่นา ทำไมไม่คิดบางว่ามารออย่างงี้ ช่วยอะไรไม่ได้ แถมยังวุ่นวายรุมกันเสียงดัง
แล้วมันสองทุ่มกว่า พ่อแม่เธอไม่ห่วงบ้างเหรอ
:เนื่องจากเป็นเด็กคณะอื่น เค้าจะไม่ค่อยฟังอาจารย์ต่างคณะ (ซึ่งเด็กสมัยนี้ทำไมเป็นแบบนี้นะ)
ได้คุยกับแม่ของเด็ก แม่ของเด็กก็บอกว่า..
เค้าเป็นอยู่แล้วคือ เหมือนกับว่า ตื่นตูม วิตกเกินไป
ระหว่างรอน้าของเด็ก(ที่บอกว่าจะมา)
คุณหมอบอกว่า..อยากถามประวัติคนไข้เพิ่ม
เลยพานักศึกษาที่อยู่หอห้องเดียวกัน
เข้าไปคุยกับคุณหมออีกรอบอย่างละเอียด
ระหว่างนั้นมีผู้ปกครองโทรมาบอกว่า..
เป็นพี่ชาย เราก็บอกว่า..เด็กไม่เป็นไรมากแล้วค่ะ
ตอนนี้คุยกับคุณหมออยู่เดี๋ยวจะโทรกลับไปแจ้งอีกครั้งนะคะ
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ..
เด็กเป็นอะไร ไม่เป็นไรแล้วพาไปโรงพยาบาลทำไม
แล้วก็คำพูดห้วนๆ อีกหลายประโยค
รวมถึงน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ชัดเจน
เหมือนกับว่า อาจารย์เป็นคนทำให้นักศึกษาเป็นแบบนี้
ทั้งๆที่ก็พยายามใจเย็นแล้วบอกว่า.คุยกับคุณหมออยู่
คุณหมอก็รอคุย สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนน้ำเสียง
แล้วบอกย้ำอีกที่ว่า...
เดี๋ยวคุยกับคุณหมอเสร็จแล้วจะโทรกลับไปนะคะ
(ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้ปกครอง จะด่าไปแล้ว)
พอคุยกับคุณหมอเสร็จ หลักๆคือ เด็กถือบวช(ถือศีลอด)
แล้วไปเต้น(ซึ่งคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นอิสลามก้บอกว่า
ถ้าถือบวชแล้วงานรื่นเริงเด็กจะทำไม่ได้ -*-)
เด็กเลยอ่อนเพลีย + กับอาการที่เกิดขึ้น
เป็นอาการที่เกิดจากสภาวะทางจิตใจ
(คือ แทนที่เด็กเป็นแค่เป็นลม เด็กจะคิดไปเองว่า
ตัวเองช๊อค เป็นโรคหัวใจ เป็นหอบ)
เลยโทรไปหาแม่ของเด็ก
บอกอาการแล้วเลยถามคุณแม่ของว่า..
เด็กมีพี่ชายหรือเปล่า แล้วคำตอบคือ.. ไม่มีค่ะ
(แล้วเมื่อกี้แมวที่ไหนมันโทรมาวีนฟร่ะ -*-)
หลังจากคุยได้ไปสักพัก แม่ของเด็กบอกว่าคงเป็นลูกพี่ลูกน้อง
เลยบอกคุณแม่ว่า..
งั้นรบกวนฝากคุณแม่โทรไปคุยกับเค้าด้วยนะคะ
เพราะถ้าอาจารย์โทรไปเองอาจจะเผลอพูดไม่ดีออกไป
แล้วก็ไม่อยากให้พูดต่อไปจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่ดูแลเด็ก อาจารย์ก็ดูแลเต็มที่ทุกอย่าง
อยากให้เห็นใจกันบ้าง บ้านอาจารย์อยู่เกือบนครปฐม
รถส่วนตัวก็ไม่มี ฝนก็ตกหนัก (โรงพยาบาลอยู่แยกพัฒนาการ)
นี่ 4 ทุ่มกว่าอาจารย์ก็ไม่ได้ทิ้งเด็กแล้วกลับไป
ก็ตามดูแลจากมหาวิทยาลัยมาจนถึงโรงพยาบาล
โทรแจ้งผู้ปกครองทุกระยะ อาจารย์ก็เหนื่อยเหมือนกันนะคะ เข้าใจนะคะว่าเป็นห่วง แต่ไม่ Happyเลยที่มาพูดจากันแบบนี้
คุณแม่เด็กก็ดีขอโทษ และขอบคุณเป็นการใหญ่
กว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลเกือบ 5 ทุ่ม
ถึงบ้านเกือบตี 1 แล้ววันนี้ก็ต้องมาทำงานทั้งที่เป็นวันหยุด(ทำวันเสาร์แทน) เพราะนักศึกษาปี 4 นัดให้ตรวจProject
มานั่งนึกๆ ตอนเราเป็นนักศึกษาอาจารย์ที่ปรึกษายังไม่ได้
ดูแลขนาดนี้เลย
แต่นี่ต้องดูแลเด็กในที่ปรึกษาทุกอย่าง
(เป็นที่ปรึกษาเด็กรหัส48 เด็กปี 1เลย)
ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องเรียน จิปาถะ
เด็กทุกคนในที่ปรึกษามีเบอร์มือถือทุกคน
บางทีเด็กโทรมาตอน3-4 ทุ่ม ปรึกษาเรื่องเพื่อน
เรื่องที่บ้าน เราก็ดูแลเต็มที่ทุกอย่าง
รวมทั้งเรื่องเรียน (มีวิชาสอนพวกเค้าด้วย)
บางครั้งผู้ปกครองโทรมา เรื่องเด็กขอทุนกู้ยืมไม่ได้
เราก็ต้องหาวิธีแก้ไขซึ่งโชคดีที่เด็กขอทุนได้
(แต่เด็กไม่ยอมมาพบก่อนยื่นเอกสารทำเรื่องขอทุน)
บางครั้งผู้ปกครองโทรมาวีนกับอาจารย์
เพราะเด็กหนีเที่ยวแล้วบอกว่า..
กิจกรรมคณะ กว่าจะอธิบายได้ก็โดนไปหลายยก
(แล้วคำว่า "อาจารย์" มันค้ำคอ ทำได้แค่ใจเย็นแล้วอธิบายซ้ำๆ)
แล้วหลังจากเรียกนักศึกษามาพบ
ไล่มันตั้งแต่ปี1 ยันปี 3 ที่ไปด้วยกันเรียกมาคุยหมด
ผู้ปกครองกลับโทรมาอีกรอบว่า..
อาจารย์อย่าบอกเด็กนะครับว่า..ผมโทรมา เฮ้อ
ลูกหลานบังเกิดเกล้าจริงๆ เลี้ยงกันยังไงเนี่ย
บางครั้งเด็กมาปรึกษาเรื่องมีปัญหากับผู้ปกครอง
เราก็ต้องมองในแง่ว่า..
เราเป็นผู้ปกครองแล้วบอกเด็กว่า...
จริงๆแล้วที่เค้าเป็นแบบนี้
หลักๆก็คือเค้ารักและห่วงเราน่ะแหละ
เรื่องเรียน ก็ต้องมานั่งจัดตารางเวลาอ่านหนังสือให้
แต่เด็กทำหรือเปล่าไม่รู้ โดยเฉพาะเด็กที่ขอทุนกู้ยืมก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ
อาจจะโชคดีอยู่บ้างเด็กค่อนข้างวางใจ
ด้วยวัยที่ห่างกันแค่ 5-6 ปี ทำให้ช่องว่างระหว่าง
อาจารย์กับเด็กค่อนข้างน้อย
เลยทำให้เค้ามาปรึกษาปัญหาต่างๆ
ก่อนที่จะลงมือหรือคิดจะทำอะไร
บ่นซะยาวเลย ก็แค่อยากให้เข้าใจกันบ้าง
อาจารย์ก็ดูแลนักศึกษาเต็มที่เหมือนกันนะคะ
จริงๆแล้วอาจารย์ก็แค่คนๆหนึ่ง ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกับอาชีพอื่นๆนะคะ
จะว่าอะไรก็ว่าเหอะค่ะ สำหรับคนที่อยากว่า
_/\_ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
จากคุณ :
ขออนุญาตถอด Login นะคะ
- [
16 ก.ย. 48 10:24:01
A:10.1.30.152 X:203.144.188.7 TicketID:097882
]