เรามีประสบการณ์ในการใช้ยา รีดัคทิล ฯ ด้วยตัวเอง เห็นเพื่อนๆ ถามถึงมาเยอะมากเลยตัดสินใจมาเปิดกระทู้

ยารีดัคทิล  ซิบูทรามีน ที่เราใช้อยู่เป็นการวิจัยเพื่อการลดน้ำหนัก โดยคนที่ได้รับในกลุ่มนี้จะมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานสูงมาก คือในกลุ่มจะมีน้ำหนักตัวกันประมาณ 80 กิโลกรัมขึ้น มีในบางกลุ่มก็อาจจะน้อยกว่า 80 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมดุลย์ระหว่างส่วนสูง กับ น้ำหนักตัว(เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ปัจจุบันมีการคำนวนหาค่าBMI)

การจะใช้ยาตัวนี้จะต้องได้รับการตรวจสภาพความแข็งแรงของร่างกายอย่างละเอียด  ไม่ใช่ว่าคนอ้วน หรือน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานทุกคนจะใช้ได้  ผู้ที่จะใช้ยาตัวนี้ต้องไม่มีประวัติดังนี้
1.เป็นโรคเบาหวาน
2.ความดันโลหิตสูง
3.เป็นโรคปกติทางพันธุกรรม
4.เป็นโรคไตหรือตับ
5.เป็นโรคทางหลอดเลือดหัว
6.เป็นโรคอ้วนที่เกิดจากโรคอื่นๆ
7.มีความผิดปรกติทางระบบประสาท
8.มีความเจ็บป่วยทางการแพทย์อื่นๆที่อาจมีผลต่อประสิทธิภาพหรือความปลอดภัย ของยาที่ใช้****
        ฯลฯ

ยารีดัคทิล หมอจะให้กินวันละ 1 เม็ด (10 มิลลิกรัม)  โดยกินหลังอาหารเช้า  โดยระหว่างที่กินยาตัวนี้ จะต้องไม่กินยาอื่นๆ ดังนี้
* คีโตโคนาโซล   เดกซาเมธาโซล   คาบามาซีปีน ฯลฯ  หรือยาอื่นๆ ที่มีผลต่อเมตะบอลิซึ่ม
* ยารักษาไมเกรน  ยาที่เพิ่มระดับซีโรโทนิน
             ฯลฯ
อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย คือ ไม่ค่อยอยากอาหาร  ท้องผูก  ปวดศรีษะ  คอแห้ง  นอนไม่หลับ  หรืออาจมีอาการข้างเคียงอื่นๆ   เช่น หัวใจเต้นเร็ว  คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง  หดหู่ วิงเวียน  ประจำเดือนผิดปกติ  เป็นผื่นคัน  อาการเหล่านี้จะพบได้ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรง   อาจมีผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูง

โดยส่วนตัวที่เคยใช้ยาตัวนี้ จะมีผลคือไม่อยากอาหาร ไม่หิว คอแห้ง อ่อนเพลีย  ทำให้น้ำหนักตัวลดไปในระยะแรก แต่ก็เป็นเพียงแค่เดือนเศษๆ เท่านั้นที่ยามีฤทธิ์ต่อความอยากอาหาร

เท่าที่เคยคุยกับคุณหมอยานี้มีโยโย่ เอฟเฟ็กต์ แน่นอน แต่อาจจะน้อยที่สุดในตลาดการใช้ยาลดความอ้วนตอนนี้ และราคาก็แพงมาก ตกเม็ดละ 150 บาท (หมอบอกนะเวอร์ปะไม่รู้ค่ะ) ถ้าหวังแต่จะพึ่งยาตัวนี้เพื่อลดความอ้วนก็ไม่มีประโยชน์ หรือไม่ต่างจากที่ไปหาบรรดาคลินิกหมอลดความอ้วนตามแฟรนไชส์ต่างๆ ค่ะ  

คุณหมอที่เราไปปรึกษาจะเน้นเรื่องการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน กินให้ถูกหลักโภชนาการ คือ เน้นผัก ผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน น้ำเปล่า

**เลี่ยงหรือลด อาหารที่มัน อาหารพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต ของหวาน ขนมเค้ก หรือจำง่ายๆ คือ พวกที่ฟูๆ กรอบๆ เพราะพวกนี้ถ้ากินมากแล้วร่างกายเผาผลาญไม่หมดก็จะไปสะสมอยู่ในร่างกายเรา
เราเป็นคนชอบกินขนมปัง และบรรดาชีสเค้ก ชีสพายมาก ก็เลี่ยงค่ะ ถ้าอยากกินขนมปังจริงๆ ก็เป็นโฮลวีต หรือ มัลติเกรน เพราะจะมีกากใยมาก ขนมหวานถ้าอยากกินจริงๆ จะกินแค่ 2-3 คำ พอให้หายอยาก เพราะถ้างดหรืออดเลย วันนึงต้องระเบิดแน่ๆ (ท้องระเบิดน่ะค่ะ เพราะวิญญาณชูชกเข้าสิง)***

*** เลี่ยงอาหารรสเค็ม เพราะความเค็มจะไปอุ้มน้ำในร่างกายทำให้เกิดอาการบวม  เลี่ยงหรือลดปริมาณการใช้เครื่องปรุงรสต่างๆ เพราะในเครื่องปรุงรส เช่น ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว น้ำปลา ซอสพริก ฯลฯ พวกนี้มีโซเดี้ยม ให้ความเค็มนั่นเอง****

*** เลี่ยง หรือ ลด น้ำตาล ของหวานในรูปแบบต่างๆ เช่น นมข้นหวาน  ผลไม้ที่มีรสหวาน  น้ำอัดลม  หรือ เครื่องดื่มที่บรรจุขวด หรือ กระป๋องต่างๆ หรือแม้กระทั่งน้ำผลไม้กล่อง เพราะพวกนี้จะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูงมากกว่าน้ำผลไม้(รวมถึงชาต่างๆด้วย)ที่อ้างว่ามีประโยชน์***

ข้าวควรเป็นข้าวกล้อง เพราะมีกากใยอาหารช่วยในการขับถ่าย  ผัก ผลไม้ ควรกินให้หลากหลายประเภท เพื่อให้ได้รับสารอาหารต่างๆ และเพิ่มกากใยอาหารไม่ทำให้ท้องผูก เพราะเรากินน้อยลงกว่าเดิมที่เคย  

น้ำเปล่าดีที่สุด ดื่มมากๆ อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีมาก

***แต่นมก็ยังจำเป็นต่อร่างกายอยู่นะคะ มิฉะนั้นสาวๆ ทั้งหลายพอแก่ตัวลงอาจจะมีปัญหาเรื่องกระดูกผุได้ เราสามารถเลือกกินนมที่พร่องมันเนย หรือที่ดีที่สุดคือ นมขาด ย้ำว่า ขาดมันเนย ในตลาดจะมีหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อได้ สังเกตง่ายๆ คือฝาสีฟ้าจางๆ หยิบได้เลย บางยี่ห้อมีเสริมแคลเซี่ยมด้วยซ้ำ

ลองเปรียบเทียบฉลากข้างขวดดูด้วยก็ได้ว่าสารอาหารของแต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร มาก-น้อยแค่ไหน***

ที่สำคัญการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เซลล์ไขมันสลายตัวทำให้กล้ามเนื้อกระชับ และแข็งแรงมากขึ้น คล่องตัว กระฉับกระเฉงจนสังเกตได้และเราก็ลดได้ผลอย่างดีก็เพราะออกกำลังกายสม่ำเสมอนี่ล่ะ

โดยส่วนตัวเคยลองด้วยการกินแต่ยา ไม่ออกกำลังกายเลย ปรากฎว่าน้ำหนักตัวลดลง แต่ เนื้อเผละ เพราะเซลล์ไขมันนั้นจะขยายตัวได้ถ้าเราไม่ออกกำลังกาย

ยาตัวนี้ไม่มีขายในท้องตลาดนะคะ

ต้องปรึกษาแพทย์เท่านั้น เพราะของทุกอย่างถ้าเราใช้โดยไม่มีความรู้ หรือ ไม่รอบคอบ ก็จะมีโทษได้

ตอนนี้ความอ้วนถือเป็นโรคอย่างหนึ่งนะคะ เพราะมีสาเหตุหลายสาเหตุที่ทำให้อ้วน ไปปรึกษาแพทย์น่าจะดีที่สุด มีทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน ที่รักษาโรคอ้วนค่ะ

ลองไปติดต่อคลินิกพิเศษ นอกเวลา ที่โรงพยาบาล รามาธิบดีซิคะ มีอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ ไปช่วงเย็นก็ได้ค่ะ

***เขียนมาตั้งเยอะ ถ้านึกอะไรออกจะมาเพิ่มเติมใหม่นะคะ จะให้หลังไมค์มาก็กลัวว่าจะตอบได้ไม่ทั่วถึงอ่ะค่ะ เพราะได้รับเยอะมากๆๆ มาใส่กระทู้ไว้ให้อ่านกันทั่วถึงเลยดีกว่า   ถ้าข้อมูลบกพร่องตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ***

เอ...หรือว่าจะทิ้งเมล์ไว้ให้เราก็ได้นะคะ

***เพิ่มเติมให้ค่ะ  นิสัยในการบริโภคที่ดี ไม่ว่าสำหรับคนที่จะลดน้ำหนัก หรือคนที่รักสุขภาพก็คือ การอ่านฉลากข้างบรรจุภัณฑ์ของอาหาร หรือ เครื่องดื่มที่เราบริโภคเข้าไป อย่างที่ฝรั่งบอกว่า  you are what you eat  ที่ฉลากจะมีคุณค่าอาหารที่เราจะได้รับใน 1 กล่อง/ห่อ/ขวด  เราสามารถเลือกได้ว่ามีปริมาณไขมัน น้ำตาล น้ำมัน ฯลฯ มากน้อยแค่ไหน เพียงพอหรือเกินความต้องการของร่างกายเราจะได้รับรึเปล่า

ที่สำคัญคือ อ่านฉลากให้ดี เพราะว่า เขาจะเขียนไว้ว่า 1 หน่วยบริโภค จะได้รับปริมาณสารอาหารเท่าไหร่ นั่นไม่ได้หมายความว่า 1 หน่วยบรรจุภัณฑ์ เพราะในแต่ละหน่วยบรรจุภัณฑ์อาจจะบรรจุได้ถึง 2 หรือ 3 หรือ 5 หน่วยบริโภคเลยทีเดียว ****

***การลดความอ้วนหรือลดน้ำหนักไม่ได้หมายถึงการอดอาหาร นั่นคือความเข้าใจที่ผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะขณะที่คุณอดอาหาร ร่างกายจะปรับระบบต่างๆ เช่นการเผาผลาญ การย่อย กับการที่ไม่มีอาหาร ทำให้ระบบนั้นเสียไปได้

การเลือกกินหรือกินให้ถูกวิธี กินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ ต่างหากที่จะทำให้การลดน้ำหนักไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพและยั่งยื่นมากกว่า***

แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 48 04:32:41

แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 48 04:28:11

แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 48 21:31:02