ความคิดเห็นที่ 9
สำหรับผู้บริจาคทั่วไป 1. สุขภาพสมบูรณ์พร้อมที่จะบริจาคโลหิต ในการรับผู้บริจาคโลหิตที่มีอายุน้อยเกินไป จะมีภาวะทางความคิดและร่างกายไม่เหมาะสม กฎหมายไม่อนุญาตให้ทำการตัดสินใจได้เอง ต้องมีผู้ปกครองรับทราบและยินยอม ส่วนผู้บริจาคที่มีอายุมากเกินไป ก็จะมีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพเพิ่มมากขึ้น เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ , ความดันโลหิตสูง เป็นต้น 2. นอนหลับเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอควรมากกว่า 6 ชั่วโมง และไม่ควรนอนผิดเวลาจากการพักผ่อน นอนหลับตามปกติ ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานเป็นเวรหรือกะ ไม่ควรบริจาคโลหิต ถ้าไม่ได้นอนหลับ ภายหลังจากเลิกงานอย่างเพียงพอ และควรรับประทานอาหารมาก่อนให้เรียบร้อย(ภายใน4 ชั่วโมง ก่อนการบริจาค) จะช่วยลดอัตราการเป็นลมจากการบริจาคโลหิตได้ เพราะการงดอาหารมานาน ก่อนบริจาคโลหิตอาจส่งผลทำให้ตัวผู้บริจาคโลหิตมีอาการผิดปกติ คือ หน้ามืด,คลื่นไส้อาเจียน และถ้าเป็นมากอาจทำให้หมดสติ ซึ่งโดยปกติจะไม่เกิดอาการเหล่านี้เลยในผู้บริจาคโลหิตที่เตรียมตัวมาพร้อม
3. รับประทานอาหารประจำมื้อเรียบร้อยแล้ว
4. ท้องเสีย ท้องร่วง ภายใน 7 วันที่ผ่านมา การที่ผู้บริจาคมีอาการท้องเสีย ท้องร่วงจะมีผลต่อทั้งตัวผู้บริจาคและผู้รับบริจาค เพราะอาจทำให้ผู้บริจาคมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น ส่วนผู้ป่วยอาจพลอยได้รับเชื้อ ที่ส่งผ่านมากับโลหิต
5. น้ำหนักลดในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมาโดยไม่ทราบสาเหตุ การที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น มักจะมีสาเหตุจากมีโรคภายใน เช่น โรคเบาหวาน, ไทรอยด์เป็นพิษ รวมถึงสภาวะทางด้านจิตใจ เช่น วิตกกังวล, พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ควรบริจาคโลหิต และควรไปตรวจสุขภาพ อย่างละเอียดเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล การรับประทานยาลดน้ำหนักก็ไม่ควรบริจาคโลหิต ด้วยเช่นกัน เพราะยาลดน้ำหนักส่วนใหญ่มักจะประกอบด้วยยาหลายๆ ชนิด มีทั้งยากด การทำงานของระบบประสาท ยากระตุ้นทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานมากผิดปกติ (ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อสุขภาพของผู้บริจาคทั้งสิ้น) ส่วนการควบคุมน้ำหนักด้วยการจำกัด อาหาร หรือออกกำลังกายสามารถบริจาคโลหิตได้
6. รับประทานยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดข้อ ยาที่ใช้อาจมีผลทำให้ยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดโลหิต ทำให้โลหิตแข็งตัวช้า โลหิตไหลแลัวหยุดยาก
7. รับประทานยาแก้อักเสบภายใน 7 วัน หรือยาอื่น ๆ การที่ผู้บริจาคโลหิตได้รับยาแก้อักเสบ หมายถึง ผู้บริจาคมีการติดเชื้ออยู่ ซึ่งอาจแพร่เชื้อเข้ากระแสโลหิตส่งมาถึงผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ได้รับโลหิตอาจมีอาการแพ้ยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะบางชนิดได้ 8. เป็นโรคหอบหืด ลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง ไอเรื้อรัง วัณโรค หรือภูมิแพ้อื่น ๆ การเป็นโรคหอบหืดหรือลมชัก การบริจาคโลหิตจะทำให้เกิดการสูญเสียโลหิตในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้มีอาการดังกล่าวกำเริบได้ ดังนั้นผู้ที่มีประวัติดังกล่าว จึงไม่ควรบริจาคโลหิต โรคผิวหนังเรื้อรังบางโรคสามารถบริจาคได้ และบางโรคต้องงดบริจาค ได้แก่ โรควัณโรค ไอเรื้อรัง เป็นต้น 9. เคยเป็นโรคตับอักเสบหรือมีคนในครอบครัวเป็น
10. เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไทรอยด์ มะเร็ง โรคโลหิตออกง่าย-หยุดยาก หรือโรคอื่น ๆ โรคดังกล่าวล้วนมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรงทั้งสิ้น จึงจำเป็นต้องใช้ยาควบคุมรักษาอย่างต่อเนื่อง และถ้าเกิดความประมาทไม่ดูแลตนเองให้ดี อาจมีผลข้างเคียงของยาหรือมีโรคแทรกซ้อนที่ทำให้ ไม่ปลอดภัย หรือปัญหาตามมาต่อสุขภาพได้จึงควรพิจารณา ดังนี้
10.1 เฉพาะโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน ยังอนุโลมให้บริจาคได้ ถ้าใช้ยาควบคุมได้ดีอย่างต่อเนื่องและต้องเป็นโรคใดโรคหนึ่งเท่านั้น หรือไม่เป็นควบทั้ง 2 โรค และ ไม่มีโรคแทรกซ้อนในระบบหลอดเลือดและหัวใจ
10.2 โรคหัวใจทุกชนิด ควรงดบริจาคตลอดไป 10.3 โรคไทรอยด์ ถ้าเป็นชนิดไม่เป็นพิษต้องรักษาหายแล้ว ถ้าเคยเป็นชนิดเป็นพิษแม้รักษาหายแล้ว และหยุดยาแล้วก็ไม่ควร บริจาคโลหิตอีก เพราะอาจมีภาวะความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริจาคโลหิต ซึ่งยังมีการศึกษาไม่ชัดเจน 10.4 โรคมะเร็งทุกชนิด แม้รักษาหายแล้วก็ตาม เพราะส่วนใหญ่จะไม่ทราบสาเหตุ และตำแหน่งการแพร่กระจายหรือแฝงตัวของโรค จึงไม่ควรบริจาคโลหิตอีกเลย และแนะนำให้หมั่นตรวจสุขภาพกับแพทย์ผู้รักษาอย่างต่อเนื่อง 10.5 โรคโลหิตออกง่าย-หยุดยาก ส่วนใหญ่เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ควรงดบริจาคโลหิต เพราะมีโอกาสจะเสียโลหิตเองและจะหยุดยากตามชื่อโรคอยู่แล้ว 10.6 โรคเรื้อรังอื่น ๆ ควรงดบริจาคโลหิต และควรดูแลรักษาสุขภาพโดยแพทย์เฉพาะทาง
จากคุณ :
น้องสาวพี่ชาย
- [
วันพ่อแห่งชาติ 23:34:06
]
|
|
|