ความคิดเห็นที่ 148
จุดเปลี่ยนโทรคมนาคมไทย! ยุติผูกขาดสัมปทานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม [29 ม.ค. 50 - 17:44]
ทันทีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ม.ค.2550 มีมติให้ลดภาษีสรรพสามิตที่เรียกเก็บจากบริการโทรคมนาคม 2 ประเภท คือโทรศัพท์พื้นฐานในอัตรา 2% และมือถือในอัตรา 10% ลงเหลือ 0% พร้อมยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 28 ม.ค.2546 ที่ให้คู่สัญญาสัมปทานสามารถนำภาษีโทรคมนาคม ไปหักออกจากค่าต๋งสัมปทานที่ต้องจ่ายแก่รัฐ
วงการสื่อสารโทรคมนาคมต่างขานรับกันกระหึ่ม เพราะเชื่อว่าจะเป็นก้าวแรกในการกรุยทาง ไปสู่การเปิดเสรีโทรคมนาคมที่ประเทศตั้งเป้าหมายมาตลอด เปิดทางกลุ่มสื่อสารหน้าใหม่กระโจนเข้าสู่ตลาด
หลังจากมาตรการทางภาษีดังกล่าวถูกค่อนแคะมาโดยตลอดว่า เป็น หลุมพรางปิดกั้นการเข้ามาของธุรกิจโทรคมนาคมหน้าใหม่
นอกจากนั้น มติ ครม.ข้างต้นที่ออกมา ยังมีรายการ หักดิบ ที่สั่งให้ 2 หน่วยงาน คือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ต้องนำเม็ดเงินภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ที่จะได้รับกลับสู่คลังในอัตราไม่ต่ำกว่าที่รัฐเคยได้รับจากการเสียภาษีนั้น ทำให้แรงต่อต้านจาก 2 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจทีโอที และ กสท กระเพื่อมขึ้นมาอย่างรุนแรง
เมื่อผสมกับกรณีก่อนหน้านี้ที่ค่ายยักษ์สื่อสารอย่าง ดีแทค-ทรูมูฟ จับมือกันจัดทำข้อตกลงเชื่อมต่อเครือข่ายเลขหมาย (ไอซี) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กำหนดขึ้นเพื่อกรุยทางไปสู่การเปิดเสรี แต่กลับถูกตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยการสั่งบล็อกสัญญาณเชื่อมต่อเลขหมาย จากทีโอทีจนนำมาซึ่งการยื่นฟ้องร้องกันอีนุงตุงนัง
ทำให้หลายฝ่ายต่างแสดงความเป็นห่วงถึงทิศทางโทรคมนาคมไทยว่า จะสามารถปลดโซ่ตรวนสัมปทานผูกขาดตัดตอน เพื่อกรุยทางไปสู่การแข่งขันเสรีได้อย่างแท้จริงหรือไม่ และจะมีหนทางผ่าทางตันในเรื่องนี้อย่างไร
ทีมเศรษฐกิจ จึงขอรวบรวมข้อมูลขมวดปมปัญหาเหล่านี้เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ***************
จุดเปลี่ยนผ่านไร้ความชัดเจน
หากมองย้อนหลังกลับไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเจ้าของสัมปทานโทรคมนาคมกับเอกชนผู้รับสัมปทาน รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่างผู้รับสัมปทานเองส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างรักษาไว้ให้ได้มากที่สุด
แต่สำหรับประเด็นความขัดแย้งล่าสุดที่ปะทุขึ้นมา เมื่อ 2 ค่ายมือถือ ดีแทคและทรูมูฟ จับมือกันทำความตกลงเชื่อมต่อเลขหมายระหว่างกันตามหลักเกณฑ์เชื่อมต่อเลขหมายใหม ่ที่กทช.องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคม (Regulator) กำหนดขึ้น ภายใต้หลักการผู้ประกอบการรายใดเข้าไปใช้เครือข่ายข้ามค่าย ก็ต้องจ่ายค่าบริการเชื่อมต่อให้เจ้าของเครือข่ายนั้นๆ หรือที่เรียก Interconnection Charge หรือไอซี
พร้อมประกาศ ชักดาบ ไม่ขอจ่ายค่าเชื่อมต่อเลขหมายหรือ Access Charge หรือเอซีให้กับทีโอทีในอัตราเลขหมายละ 200 บาท ด้วยข้ออ้างเรื่องการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะขณะที่ 2 ค่ายดีแทค-ทรูมูฟต้องจ่ายค่าเอซีให้ทีโอที แต่ค่ายยักษ์มือถืออย่างเอไอเอสคู่สัญญาทีโอทีกับไม่มีภาระส่วนนี้
สิ่งที่ตามมาทันทีก็คือฝ่ายบริหารทีโอที มีคำสั่งบล็อกสัญญาณไม่ให้โทรมือถือเลขหมายใหม่ของ 2 ค่ายยักษ์ที่เพิ่งได้รับจัดสรรมาจาก กทช.เชื่อมต่อกับเลขหมายบ้านทีโอทีได้ ทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการทั้ง 2 ค่าย รวมทั้งของทีโอทีเองเดือดร้อนไปตามๆ กัน
ทั้งยังก้าวรุกถึงขั้นขู่จะปิดกั้นเลขหมายมือถือทั้ง 25 ล้านเลขหมาย ไม่ให้โทรข้ามแดนเข้ามาเลขหมายทีโอทีด้วย หลังจากบริษัทเอไอเอสคู่สัญญาสัมปทาน ของทีโอทีดอดไปจับมือทำข้อตกลงใช้ค่าเชื่อมโยงไอซีกับ 2 ค่ายยักษ์ดังกล่าวด้วย
ก่อนจะลงเอยด้วยรายการฟ้องกันนัวเนียอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน!
แต่ภายใต้นโยบายการบริหารงานโทรคมนาคมของประเทศที่สับสนอย่างทุกวันนี้ หากจะถามว่าหลักเกณฑ์การเชื่อมต่อเลขหมายใหม่ที่ กทช.กำหนด สิ่งที่ทีโอทีรวมทั้งสิ่งที่บริษัทสื่อสารทั้ง 3 ค่ายดำเนินการไป ใครผิดใครถูกกันแน่!!
หากจะตอบแบบกำปั้นทุบดิน จะพบว่าทั้ง 3 องค์กร ต่างดำเนินการไปตามตัวบทกฎหมายที่ตนเองยึดถืออยู่ทั้งสิ้น เพราะ กทช.มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การเปิดเสรีโทรคมนาคม การเชื่อมต่อเลขหมาย การจัดสรรเลขหมายใหม่ให้ผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดการแข่งขัน ที่เสรีและเป็นธรรมตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนด คือ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ปี 2543 และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคมปี 2544
ซึ่งทำให้บริษัทสื่อสารเอกชนสามารถดำเนินการเชื่อมต่อโครงข่ายกันเองได้ ภายใต้ หลักเกณฑ์ใหม่ ทำให้ปฏิเสธที่จะหวนกลับไปจ่ายค่าเชื่อมต่อเอซีตามพันธสัญญาสัมปทานเดิมที่มี ขณะที่หน่วยงานภาครัฐคู่สัญญาเดิมทีโอที-กสท ก็ต้องพิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐมิให้ตกหล่น หาไม่แล้วก็เท่ากับเอาคอไปพาดเขียง
แต่หากจะให้หาคนผิดจริงๆแล้ว ปมปัญหาดังกล่าวล้วน เป็นผลมาจากขั้นตอนการส่งผ่านหรือผ่องถ่ายอำนาจกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม จากองค์การโทรศัพท์และการสื่อสารแห่งประเทศไทยในอดีตไปยังองค์กรอิสระ กทช.นั้น กฎหมายแม่บทจัดตั้งองค์กรอิสระ กทช.กลับไม่ได้วางแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรกับสัญญาสัมปทานเดิม เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจึงต่างคนต่างเดินไม่ยอมหันหน้าเข้าเจรจากัน
ปริศนา ทีโอที สูญค่าต๋งหมื่นล้าน!
อย่างไรก็ตาม หากยึดถือเรื่องการเดินหน้าสู่การเปิดเสรีโทรคมนาคมเป็นหลัก การกระทำของทีโอทีอาจจะดูเหมือนการยื้ออำนาจผูกขาดเอาไว้ในมือต่อไป โดยอ้างเหตุผลว่า หากรัฐยอมให้บริษัทสื่อสารคู่สัญญาสัมปทานเดิม ชักดาบ ค่าเชื่อมต่อโครงข่ายหรือเอซีที่ว่านี้ จะทำให้ผลประโยชน์ของรัฐที่เคยได้รับอย่างเป็นกอบเป็นกำปีละกว่า 14,000 ล้านบาท สูญเสียไปทันที
ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังสถานะของหน่วยงานและเงินรายได้นำส่งคลัง จึงทำให้ทีโอทีออกมา ตีฆ้องร้องป่าว ยอมไม่ได้ที่จะให้บริษัทสื่อสารชักดาบค่าต๋งที่ว่านี้
แต่ ทีมเศรษฐกิจ อยากให้ทุกฝ่ายได้ย้อนกลับไปใคร่ครวญกัน ว่าในอดีตนั้นประชาชนคนไทยเองก็เคยแบกภาระจ่าย ค่าต๋งและเงินกินเปล่า ในลักษณะนี้มาแล้วและเมื่อมีการยกเลิกไปก็หาได้ทำให้ 2 หน่วยงานรัฐถังแตกอย่างที่ว่าไม่ ตรงกันข้ามกลับฟันส่วนแบ่งรายได้จากค่าสัมปทานเป็นกอบเป็นกำขึ้นอีก!
เพราะในอดีตใครจะขอเลขหมายโทรศัพท์พื้นฐาน หรือมือถือสักเครื่องต้องวางเงินค้ำประกันเลขหมาย และต้องจ่ายเงินกินเปล่าเป็นค่าเช่าเลขหมายรายเดือนให้กับ 2 องค์กรรัฐข้างต้น โดยต้องจ่ายเงินประกันโทรศัพท์บ้าน 3,000 บาท ส่วนมือถือนั้นต้องจ่ายทั้งค่าประกันเลขหมายและค่าเช่าเลขหมายรายเดือน เลขหมายละ 500 บาท ให้แก่ผู้รับสัมปทานใต้ชายคา 2 หน่วยงานดังกล่าว
แต่ในขณะนี้พันธนาการดังกล่าวนี้ถูกปลดปล่อยไปแล้ว จากการเดินหน้าไปสู่การเปิดเสรีของไทย ซึ่งแน่นอนว่าหากทุกฝ่ายยังคงติดยึดในหลักการ ผลประโยชน์ของรัฐสักแดงเดียวก็ไม่ยอมให้กระเด็น โดยไม่ยอมให้มีการยกเลิกค่าต๋งเงินกินเปล่าเหล่านี้ ตลาดโทรศัพท์วันนี้คงไม่ทะลักพรวดขึ้นมากว่า 25 ล้านเลขหมาย และคาดว่าในสิ้นปี 2550 นี้จะทะลักขึ้นไปถึง 30 ล้านเลขหมาย
และหากจำกันได้ วันที่กระทรวงคมนาคมมีนโยบายให้ปลดล็อกรหัสประจำเครื่อง (อีมี่) ทำให้ตัวเครื่องโทรศัพท์สามารถรองรับได้ทุกเครือข่าย ยิ่งทำให้ประชาชนได้ประโยชน์มากขึ้น จากเดิมที่ไม่สามารถเปลี่ยนระบบได้ และตัวเครื่องยังมีราคาถูกลง
กรณีค่าเชื่อมต่อเลขหมายเอซี 200 บาท ที่จะปรับเป็นค่าเชื่อมต่อแบบไอซีก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน หากรัฐมุ่งเป้าไปที่ประโยชน์ของประชาชนที่จะเกิดขึ้นหลังจากการใช้ไอซี ที่ตลาดโทรศัพท์มีการแข่งขันด้านราคาและให้บริการมากยิ่งขึ้น
แทนที่รัฐจะเสียรายได้ ตรงกันข้าม ตลาดโทรคมนาคมไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จะทำให้ทั้ง 2 หน่วยงานมีรายได้จากค่าสัมปทาน และรัฐมีเม็ดเงินภาษีจากธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น
พัฒนาผลประโยชน์ส่วนรวม
ยกตัวอย่าง ผลพวงจากการแข่งขันที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ 2 หน่วยงานรัฐได้รับเม็ดเงินค่าต๋งผลประโยชน์ที่พึงได้เพิ่มเติม ประชาชนคนไทยผู้ใช้บริการจะได้รับบริการที่ดีขึ้นอีกด้วย
บริการอินเตอร์เน็ตเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด!
ในอดีตนั้น ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตต้องได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือบริษัท กสท โทรคมนาคมในปัจจุบัน โดยต้องจ่ายค่าต๋งเป็นหุ้นลมให้ กสท 30% และมีการผูกขาดอินเตอร์เน็ตเกตเวย์โดย กสท เจ้าเดียว ทั้งยังมีการกำหนดค่าบริการไว้ในอัตราที่สูงลิ่ว
แต่เมื่อ กทช.มีนโยบายเปิดเสรีแก่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ขณะกระทรวงไอซีทีมีนโยบายส่งเสริมการให้บริการอินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย มีการสั่งปรับลดค่าบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงลงจาก 6,000 บาทต่อเดือน เหลือต่ำกว่า 1,000 บาท
วันนี้ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตพุ่งทะลักไปกว่า 700,000-800,000 รายแล้ว และมีผู้ให้บริการมากกว่า 50 รายแล้ว ส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการใช้บริการอินเตอร์เน็ตจากค่ายต่างๆได้มากขึ้น
เช่นเดียวกับโฉมหน้าบริการโทรคมนาคมไทยเองก็เช่นกัน ซิคเว่ เบรกเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค ระบุว่า โฉมหน้าบริการโทรคมนาคมไทยจะพลิกโฉมไปดีกว่านี้ หากไม่มีอุปสรรคที่มาจากการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม เป็นธรรม ทำให้ผู้ให้บริการบางค่ายไม่สามารถขยายเครือข่ายได้อย่างเต็มที่ และการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือ Regular Fee ที่สูงลิ่วเฉลี่ย 38% ของรายได้ ขณะที่ทั่วโลกมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10% เท่านั้น ทำให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้ไม่เต็มที่
หลายคนอาจคิดว่าราคาค่าบริการวันนี้ถูกแล้ว แต่ความจริงยังสามารถถูกลงไปได้มากกว่านี้ หากผู้ให้บริการมีต้นทุนในเรื่องของค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่ถูกลงไป และจะทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้รับการบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งมีบริการข้อมูลให้เลือกใช้มากกว่าที่เป็นอยู่ด้วย
จากคุณ :
Fullfill@love
- [
29 ม.ค. 50 15:58:27
]
|
|
|