ความคิดเห็นที่ 11
จริงๆน่าจะเลือกช่วงไตรมาสหลังของปีนะครับ เพราะเป็นช่วงคริสมาสเครื่องเกมส์เค้าจะเน้นทำตลาดกันช่วงนั้น
แต่ช่วงที่เลือกมาก็มีความน่าสนใจตรงที่ทำไมเครื่องจากค่าย Nintendo มันถึงขายดีกว่าคู่แข่ง แถมยอดขายดีขึ้นแบบก้าวกระโดด
ยอดขายเครื่องเกมส์ขึ้นอยู่กับเกมส์เป็นส่วนใหญ่ครับ ดูว่าช่วงนั้นมีเกมส์ฮิตอะไรของ Nintendo ออกหรือเปล่า พวก Mario, Zelda ลองหาดูครับ อย่างเดือนมีนาเครื่อง PSP ก็ยอดขึ้นถ้าจำไม่ผิดอาจเพราะเกมส์ Monster Hunter ออก
นอกจากนี้ต้องแยกกลุ่มเครื่องเกมส์ออกด้วย อย่างที่แสดงมาทั้งหมดมีสองกลุ่มคือเครื่อง console ต่อกับทีวีเล่น กับเครื่องเล่นมือถือ Console : Xbox360, PS3, Wii, PS2 มือถือ : NDS, PSP
และรุ่นของเครื่องเกมส์คือ PS2 นี่ถือว่าระยะการตลาดของสินค้าคนละยุคกัน คือเป็นโปรดักส์ที่ยังทำตลาดได้อยู่ในขณะที่เจ้าของและคู่แข่งมี Product ใหม่ๆออกมาแล้ว
ธรุกิจ console เกมส์ส่วนใหญ่จะขายเครื่องเกมส์ในราคาขาดทุนในช่วงแรกๆ โดยหวังการทำกำไรจากการขายไลเซ้นท์ที่ได้จากการขายเกมส์ โดยกำไรจากการขายเครื่องจะได้จากตอนท้ายๆเมื่อต้นทุนการผลิตเครื่องต่ำลง
ส่วนทิศทางการทำตลาดของทั้ง 3 บริษัทจะคล้ายๆกันทั้งเครื่อง console และ มือถือ แต่แตกต่างกันดังนี้
- Nintendo เน้นตลาดแนว casual และผู้เล่นเกมส์หน้าใหม่ วางจุดของโปรดักส์ไว้ไม่เป็นคู่แข่งกับเจ้าอื่น โดยกำหนดราคาขายต่ำกว่า ใช้ hardware spec ต่ำกว่าเจ้าอื่น ทำให้ผลิตเกมส์ป้อนให้ได้ง่ายกว่าเจ้าอื่นด้วย (เป็นเจ้าเดียวที่สร้างผลกำไรได้จากการขายเครื่องเกมส์ ตั้งแต่เริ่มวางจำหน่าย) และสร้างภาพลักษณ์การเป็นนวัตกรรมใหม่ด้วย wiimote ใน Wii และ Dual Touch Screen ใน DS ใช้ตัวละครของเกมส์ดังๆของค่ายเป็นจุดขาย และขายไลเซนท์ในการผลิตเกมส์ให้บริษัท 3rd ปาร์ตี้ในราคาต่ำมากๆ
- ข้อเสียเปรียบ ยอดขายเกมส์เครื่อง Wii ที่ไม่ใช่ exclusive ของ nintendo ต่ำมาก เพราะลูกค้าที่ซื้อชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า casual gamer ส่วนมากรอเล่นแต่เกมส์ ex ของ Nintendo กรอปกับมาตรฐานของ 3rd parties ที่ต่ำทำให้มีเกมส์ด้อยคุณภาพในตลาดเพียบ
- MicroSoft ถือว่าเป็นคู่แข่งที่ก้าวเข้าตลาดช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Sony แต่มีทุนและสภาพคล่องดีกว่ากันมากมาย xbox360 วางโปรดักส์ได้ก่อนคู่แข่งใน Gen นี้ 1 ปี และเปิดตัวพร้อมกับเกมส์ Exclusive ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Halo, Gear of War ทำให้ติดตลาดในฝั่ง US และ EU แถบจะทันที และสภาพคล่องของบริษัทที่สูง กอรปกับถึงยุคที่เกมส์มีแนวโน้มที่เป็น multi platform มากขึ้น ทำให้จำนวน title ของเกมส์ Xbox360 ได้เปรียบ และยังทำกำไรจากระบบการเล่นผ่าน online ได้ และยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้บริษัท 3rd Parties ตรงที่ถ้าทำเกมส์บน Xbox สามารถ "ย้าย" (porting) เกมส์ไปขายบน PC ได้ง่ายอีกด้วย
- ข้อเสียเปรียบ Hardware มีปัญหาไฟแดงจากการพยายามทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็ก แต่แก้ปัญหาโดยการเพิ่มระยะเวลาประกันถึง 3 ปี และยังไม่สามารถชิงตลาดฝั่ง Japan ได้ และการทุ่มเงินเพื่อซื้อ title เกมส์ที่เคย Exclusive ย่อมเพิ่มต้นทุน
- Sony เจ้าตลาดดั้งเดิม เคยประสบความสำเร็จแบบคู่แข่งเทียบไม่ติดใน Gen ก่อนๆ เปิดตัว PS3 ด้วยภาพลักษณ์และ Hardware ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย Cell CPU, Bluray Disc ( ลองค้นเรื่องสงครามสื่อ Bluray vs HDDVD เพิ่มดูครับ ) ทำตลาด PS3 โดยหวังให้เป็นฐานสำคัญของ Bluray ด้วย วางภาพลักษณ์ของ PS3 เป็นทั้งเครื่องเล่น Multimedia และเครื่องเกมส์ เน้นการทำตลาดโดยใช้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ Sony ความสำเร็จใน PS1,PS2 และเกมส์ title ยอดฮิต มีคุณภาพเป็นที่วางใจของแฟนที่เป็น exclusive เฉพาะ PlayStation เท่านั้น และให้บริการ online ฟรี
- ข้อเสียเปรียบ PS3 ปล่อยออกตลาดช้ากว่า แถมตอนออกกลับไม่มีเกมส์ Title ที่น่าสนใจเอาซะเลย (ส่วนใหญ่ยังพัฒนาไม่เสร็จ) Hardware ที่ซับซ้อนหมายถึงต้นทุนที่แบกไว้มากกว่าเจ้าอื่น การทำเกมส์ที่ยากขึ้น 3rd parties ไม่ค่อยกล้าเสี่ยงด้วยเพราะนอกจากจะทำเกมส์ยากขึ้นแล้ว เครื่องยังมีภาวะตลาดที่เสียเปรียบ แถมคนซื้อเครื่องมากกว่าครึ่งซื้อไปเพื่อดู Bluray มากกว่าเล่นเกมส์ จนทำให้สูญเสีย exclusive ที่เป็นหัวใจไปมากมาย มีปัญหาถึงขั้นเปลี่ยนผู้บริหาร PSP ก็มีปัญหาคล้ายๆกัน หนักกว่าตรงที่ PSP มีการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างกว้างขวางด้วย ทำให้ PSP ยิ่งขาด title เกมส์ ท้ายสุด Sony หันมาเน้นทำตลาดเกมส์แนว casual และ multimedia contents ผ่าน online บนเครื่องเกมส์ตัวเองมากขึ้นเพื่อชดเชยภาวะขาดทุน และก็ลดราคาไลเซ้นท์การผลิตเกมส์เหลือถูกมากๆ พอๆกับ nintendo เลย
ปล. ทำเรื่องนี้ระวังเพื่อนๆในห้องยกพวกตีกัน ระหว่างแฟนบอย Xbox vs PS3
จากคุณ :
ยักคุง
- [
16 ธ.ค. 51 15:45:01
]
|
|
|