คดีนี้ผู้ฟ้องคดี (บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)) ฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT ย่าน ๒.๑ GHz โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลเพิกถอนประกาศดังกล่าว และสั่งระงับการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่และอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะพิพากษา ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองระงับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT ย่าน ๒.๑ GHz และการดำเนินการต่อไปตามประกาศของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลปกครองชั้นต้น
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในสามกรณี ดังนี้
กรณีที่หนึ่ง ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT ย่าน ๒.๑ GHz ที่ประกาศเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นกฎที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้น่าจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้กำหนดให้คณะกรรมการร่วมมีอำนาจจัดทำแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ ตลอดจนจัดสรรคลื่นความถี่ ระหว่างคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และกิจการวิทยุโทรคมนาคมiแม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จะอ้างว่าคลื่นดังกล่าวเป็นคลื่นโทรคมนาคมตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขได้ประกาศไว้เดิม และสอดคล้องกับตารางกำหนดความถี่วิทยุแห่งข้อบังคับของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศก็ตาม แต่เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จะดำเนินการตามมาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) (๔) และ (๕) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ ต้องมีการดำเนินการจัดทำแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ ตลอดจนจัดสรรคลื่นความถี่ระหว่างคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และกิจการวิทยุโทรคมนาคมโดยคณะกรรมการร่วมก่อน
ตามมาตรา ๖๓ และมาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ไม่มีคณะกรรมการร่วมการจัดทำแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ ตลอดจนจัดสรรคลื่นความถี่ระหว่างคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และกิจการวิทยุโทรคมนาคมจึงไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การกำหนดนโยบายและจัดทำแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมและ แผนความถี่วิทยุของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามมาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ จึงมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ การออกประกาศของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว
กรณีที่สอง การให้กฎดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังหรือไม่ ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริง
ฟังได้ว่า ยังไม่มีการประมูลและยังไม่มีการออกใบอนุญาตให้ผู้ชนะการประมูล ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามกฎต่อไป จึงมีผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องไม่มากนัก เนื่องจากมีผู้มีสิทธิเข้าร่วมประมูลเพียง ๓ ราย หากให้มีการประมูลล่วงเลยไปจนถึงขั้นตอนการออกใบอนุญาตให้ผู้ชนะการประมูล หากต่อมาศาลมีคำวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมก่อให้เกิด ความเสียหายที่มากกว่า และยากกว่าในการเยียวยาแก้ไขภายหลัง โดยอาจเกิดกรณีฟ้องร้องเกี่ยวกับผล การประมูล ทำให้เกิดปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนตามมา
กรณีที่สาม การให้ทุเลาการบังคับตามกฎเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานของรัฐหรือแก่การบริการสาธารณะหรือไม่ ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในปัจจุบันการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 2G ได้มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ยอมรับว่า ในระยะแรกการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3G ทำได้เพียงโครงข่ายขนาดเล็ก ไม่สามารถครอบคลุมได้ทั่วประเทศ และการจะครอบคลุมทั่วประเทศต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย ๔ ปี จึงเห็นได้ว่า การที่ขณะนี้ยังไม่มีการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3Giจึงไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ หรือแก่การบริการสาธารณะแต่อย่างใด นอกจากนี้ แม้การดำเนินกิจการตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จะเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่การดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์สาธารณะก็ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความชอบด้วยกฎหมายด้วย
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMTiย่าน ๒.๑ GHz ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยให้
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองระงับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT ย่าน ๒.๑ GHz และการดำเนินการต่อไปตามประกาศดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่า
คดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเป็นต้นไป
http://www.admincourt.go.th/00_web/