|
จากที่ผมเรียนมาเกี่ยวกับการบริหารงานขั้นต้น (ป.ตรี) กล่าวว่า
กฏของบ.จะมีได้ต้องไม่ขัดกับกม.ครับ
((ตามการออกประกาศกทช.เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม 2549 โดยเฉพาะข้อ 11 ))
ผมข้อนำข่าวเก่าที่มีการประกาศครับ _______________________________________________________ กทช.ออกโรงบี้ค่ายมือถือ ห้ามมั่วนิ่มยึดเงินพรีเพด ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม 2553 06:53:27 น.
สบท.ถกบอร์ดกทช.แก้ปัญหาลูกค้าระบบบัตรเติมเงิน(พรีเพด)ถูกค่ายมือถือยึดเงิน ประกาศยืนตามมติเดิม ชี้ผู้ให้บริการไม่มีสิทธิ์ยึดเงิน เตรียมเรียกทำความเข้าใจใหม่ เพื่อปรับเปลี่ยนโปรโมชั่น ให้อยู่ในกฏข้อบังคับ แฉมีผู้บริโภคร้องเรียนเพิ่มขึ้นถึง 100%
นาย ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช) เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการแก้ปัญหาลูกค้าโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน(พรีเพด)ที่วันใช้หมดร้องเรียนถูกยึดเงินว่าที่ประชุมมีมติยืนตามมติเดิมเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 ว่าด้วยประกาศ กทช.เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 การให้ความเห็นชอบร่างสัญญาให้บริการโทรคมนาคมประเภทบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 13 ฉบับ
ซึ่งมีสาระสำคัญคือการกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงิน ตามข้อ 11 ของประกาศดังกล่าว ผู้ให้บริการไม่มีสิทธิกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำ อันมีลักษณะเป็นการบังคับให้ผู้ใช้บริการต้องใช้ยอดเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่ ผู้ประกอบการจะได้รับอนุญาตจากกทช. ขณะเดียวกันการกำหนดวันหมดอายุของบัตรเติมเงินในการให้บริการ1 ปี ผู้ประกอบการอาจทำได้แต่เมื่อพ้นกำหนดแล้วยังใช้เงินไม่หมดต้องคืนเงินที่ค้างอยู่ให้แก่ผู้ใช้บริการ
อย่าง ไรก็ตามภายใน 1-2 สัปดาห์นี้กทช.จะมีหนังสือเชิญผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย เข้ามาซักซ้อมเรื่องสัญญาและศึกษาเงื่อนไขให้ชัดเจน ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะต้องกลับไปแก้ไขสัญญาที่ผูกพันในการ กำหนดโปรโมชั่นการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงินด้วย
นายประวิทย์กล่าวว่า จากสถิติรับเรื่องร้องเรียนกรณีถูกยึดเงินในระบบและต้องการให้คืนเงินเข้าระบบ ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2553 มีจำนวน 155 เรื่องเพิ่มขึ้นกว่า 100% หาก เทียบกับปี 2552 โดยมี 112 เรื่องที่ระบุจำนวนเงินที่ถูกยึดไปจากผู้ให้บริการ 4 รายได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค บริษัททรูมูฟ จำกัด และบริษัท ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด หรือ ฮัทช์ คิดเป็นมูลค่ารวม 112,392.55 บาท
มูลค่าเงินที่ถูกยึดไปแยกตามบริษัทพบว่าลูกค้าฮัทช์ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคิดเป็นมูลค่า 76,000 บาท รองลงมาคือ ดีแทค ทรูมูฟ และเอไอเอส ซึ่งในจำนวนนี้ผู้ร้องเรียนที่ถูกยึดเงินมากที่สุดถึง 7,500 บาท
นายประวิทย์กล่าวว่าความเห็นของคณะอนุกรรมาธิการติดตาม ตรวจสอบการปฏิบัติงานขององค์กรการสื่อสาร สารสนเทศและโทรคมนาคมได้เสนอทางออกโดยให้ผู้ประกอบการ (โอเปอเรเตอร์)กำหนดวันใช้งานขั้นต่ำ 6 เดือนหรือ 1 ปีกำหนดวิธีการคืนเงินที่สะดวกและเป็นธรรม เช่นโอนเข้าบัญชี หรือองค์กรการกุศลที่เจ้าของเลขหมายระบุกำหนดวิธีการลงทะเบียนซิม และขั้นต่ำของการเติมเงินต้องไม่สูงเกินไป เช่นที่ 30 บาท
วันเดียวกันสบท. จัดเสวนาหัวข้อ "เงินเหลือในมือถือ สิทธิของใคร?" โดยนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการสื่อสารและโทรคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การออกประกาศกทช.เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม 2549 โดยเฉพาะข้อ 11 ที่ระบุชัดเจนว่าโอเปอเรเตอร์จะต้องไม่มีข้อกำหนดและบังคับให้ผู้ใช้บริการต้องใช้บริการภายในระยะเวลาที่ กำหนด อีกทั้งข้อ 34 โอเปอเรเตอร์จะยกเลิกสัญญาให้บริการโทรคมนาคม กรณีที่ผู้ใช้บริการยังมีเงินค้างอยู่ในระบบไม่ได้ และต้องคืนเงินให้กับผู้ใช้บริการนั้น ประกาศดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคซึ่งประเทศอื่นๆไม่มี แต่ปัญหาก็คือกทช.ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ถือเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อไม่ดำเนินการตามประกาศ จึงถือเป็นความผิดทางอาญาตามมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
นอกจากนี้กทช. ควรประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าของสัมปทาน ตลอดจนกรมสรรพากร ในเรื่องการจัดเก็บส่วนแบ่งรายได้และภาษีที่ควรแยกรายได้จากบริการเติมเงินที่ยังไม่มีการใช้งานจากลูกค้า
ด้านนายปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังของกทช. ทำให้ประกาศกทช.เรื่องนี้ เหมือนเป็นกล่องดำที่มีนัยอะไรบางอย่าง เพราะการออกประกาศดังกล่าว ไม่ช่วยแก้ปัญหาโดยเฉพาะการแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังเป็นตัวใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองสูงกว่าผู้บริโภค ดังนั้นการแก้ปัญหานี้หน่วยงานกำกับดูแลต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
จากคุณ |
:
So magawn
|
เขียนเมื่อ |
:
17 มี.ค. 54 18:23:11
|
|
|
|
|