ความคิดเห็นที่ 1 ณ ขณะหนึ่งมันจะเลือกเนตจากที่ใดที่หนึ่ง อันเดียวครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราเปิดอะไร และมีสัญญาณอะไร เรียงลำดับตามนี้ WiFi -> 3G -> Edge -> GPRS ถ้าเปิด WiFi มีสัญญาณ WiFi มันก็จะเลือกสัญญาณจาก WiFi ถ้าไม่มีสัญญาณ มันก็เลือกตัวถัดไป WiFi จะมีเมนูแยกว่าให้เปิดหรือปิด ส่วน 3G, Edge, GPRS จะรวมอยู่ใน Cellular Data (ในบางรุ่นอาจจะมีแยกเปิด-ปิด 3G ได้) ซึ่ง 3G, Edge, GPRS เราเลือกเองไม่ได้ จะขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่เราใช้ ว่าเขาปล่อยสัญญาณอะไรออกมา ถ้าไม่มีสัญญาณ 3G ถึงแม้จะเปิดอยู่ มันก็จะเลือกใช้ Edge แทน แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 17:46:58 จากคุณ : Teerarod เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 17:45:16

ความคิดเห็นที่ 2 Edge คือ 2.75G(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ)  ครับ ส่วน 3G จะมีสัญญาณที่แรงกว่าครับ รู้สึกบ้านเราจะแรงสุดที่ 7.2MB ครับ ถ้าให้โปร แบบ Unlimit ก็ไม่ต้องปิดมันก็ได้ครับ ถ้าอยากปิด ก็ Setting General Networks กด Cellular data เป็น Off จากคุณ : Complete_me เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 17:47:09

ความคิดเห็นที่ 3 มันจะมีสามอย่างใช่ไหมครับ? 3G EDGE+ WIFI  ==> ใช่ครับ อยากรู้ว่าสามตัวทำงานยังไงครับแล้วสามตัวแตกต่างกันอย่างไรครับ ?  ==> Wi-Fi มันเป็นมารตรฐานการเชื่อมต่้อไร้สายรูปแบบนึง แต่เดิมเค้าออกแบบมาเพื่อใช้เครือข่าย LAN เท่านั้น แต่ปัจจุบันเรานิยมใช้วายฟายต่อกับอินเทอร์เน็ต บนอุปกรณ์พกพาต่างๆ ซึ่งเราสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่าแอคเซสพอยต์ และบริเวณที่ระยะทำการของแอคเซสพอยต์ครอบคลุมเรียกว่า ฮอตสปอต         กล่าวคือ ถ้าคุณจะใช้ Wi-Fi ก็ต้องมี องค์ประกอบ คือ ผู้ให้บริการ ฮอตสปอต อุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อสัญญาณวายฟาย และรหัสที่ใช้ในการเชื่อมต่อ หากสัญญาณเครือข่ายมีการป้องกันแบบเข้ารหัสไว้        โดยปกติความเร็วของสัญญาณวายฟายจะอยู่ที่ 54 MBps สำหรับมาตรฐาน IEEE 802.11g  แต่ในความเป็นจริง เราจะสามารถใช้ความเร็วเน็ตจำกัดเฉพาะเท่าที่ผู้ให้บริการจะจัดสรรให้ อาทิเช่น ถ้าเราเชื่อมต่อ Wi-Fi Router ของ เน็ตทรู เราก็ใ้ช้ความเร็วเน็ตได้สูงสุดตามงื่อนไขแพคเกจที่เราจ่าย นั่นเอง     3G     3G เป็นมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคปัจจุบัน โดยรองรับบริการการสื่อสารแบบดิจิตอลทั้งเสียงและข้อมูล มัลติมีเดีย และแน่นอนที่เราได้ใช้ทุก วี่ทุกวันก็คงไม่พ้นการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต            โดยปกติแล้ว 3G มันก็พัฒนาต่อจากยุค GSM 2G/2.5G/2.75G เมื่อเข้าสู่มาตรฐานยุค 3G มันก็ทำให้เราสามารถสื่อสารได้ฉับไวขึ้น จากแต่เดิมความเร็วเน็ตจำกัดไม่กี่ Kbps ก็กลายเป็นระดับ Mbps แต่อย่างไรก็ตาม เครือข่าย 3G ก็ต้องอาศัยคลืนความถี่และการให้บริการผ่านคลื่นความถี่นั้นตามที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเราจะพบว่า ความถี่ 3G ที่ให้บริการในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน จะมีอยู่ 3 คลื่นหลักๆ ได้แก่ 850 MHz , 900 MHz และ 2100 MHz ซึ่ง การพิจารณาว่ามือถือของเราจะใช้ 3G ได้หรือไม่ ก็ต้องดู สเปกว่า มือถือเรารองรับคลื่นความถี่ใดเป็นสำคัญ     HSPA (High Speed Packet Access) เป็นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายความเร็วสูงที่พัฒนาต่อมาจาก มาตรฐาน 3G ที่ความเร็ว 384 Kps โดย HSPA ถูกพัฒนาให้สามารถสื่อสารข้อมูลได้สูงขึ้น(ในระดับ Mbps) ปัจจุบันอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน HSPA จะรองรับความเร็วสูงสุดตั้งแต่ 3.6 Mbps , 7.2 Mbps , 14 Mbps และ 21 Mbps ( สำหรับมือถือไอโฟน 4s จะอยู่ที่ 14 Mbps ) แต่ช้าก่อน แม้ว่ามือถือของเราจะรองรับความเร็วในการเชื่อมต่อได้สูงมาก แต่ผู้ให้บริการในบ้่านเราบางรายก็ยังไม่สามารถให้บริการในความเร็วที่สูงขึ้นได้ เนื่องจากข้อจำกัดหลายประการ เพราะฉะนั้น หากต้องการจะเล่นเน็ตให้ไว ก็ให้ดูแพคเกจของแต่ละรายว่าให้บริการ 3G ที่ความเร็วสูงสุดเท่าใหร่ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาองค์ประกอบทั้งแบนด์วิธ และพื้นที่ๆให้บริการด้วย ( คนใช้เยอะ ยิ่งใช้เน็ตได้ความเร็วต่ำ )   GPRS/EDGE/EDGE+    สามอย่างนี้ อยู๋ในยุคมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 2G/2.5G/2.75G โดยมาตรฐานในยุค 2G ก็คือ GSM ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันทั่วโลก และในบ้านเรา สัญญาณเครือข่าย GSM ก็ครอบคลุมเต็มทุกพื้นที่ แต่เดิมมาตรฐาน GSM จะเน้นให้บริการทางด้านวอยซ์ เป็นหลัก ซึ่งพูดง่ายๆก็คือใช้โทรนั่นเอง ( มือถือ ถ้าไม่มีสัญญาณ 3G ก็ยังพอโทรออกได้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาณ GSM เมื่อใหร่ โทรออกไม่ได้ นะครับ ^ ^ ) แต่เมื่อความต้องการในการเชื่อมต่อทางด้านข้อมูลขึ้นมา จึงเพิ่มบริการการรับ-ส่งข้อมูลสำหรับโทรศัพท์มือถือแบบ GSM ที่เรียกว่า GPRS โดยในยุคแรกๆ จะมีความเร็วที่ต่ำมากๆ ( ประมาณ 60 กิโลบิตต่อวินาที ) และต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีความเร็วสูงขึ้น กลายเป็น EDGE ที่มีความเร็วมากกว่า GPRS ถึงสี่เท่า( ประมาณ 200-300 Kbps ) ซึ่งในยุครุ่งเรืองของ EDGE นี้เราเรียกว่า เป็นยุค 2.5G ซึ่งเริ่มมีการให้บริการอินเตอร์เน็ตในรูปแบบของ WAP และ WEB EDGE+ คืออะไร ?  EDGE+ คือการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ 384 kbps มี มี AIS เจ้าเดียวที่ให้บริการอยู่ และจะมีความเร็วกว่า EDGE ( เข้าใจว่า AIS ทำมาแก้ขัดเมื่อครั้งยังไม่สามารถให้บริการ 3G ได้เต็มรูปแบบ ) ซึ่งระบบ Edge และ Edge+ ในยุคหลังๆจะมีความเร็วเฉลี่ย 200 - 384 Kbps ซึ่งเพียงพอที่จะอ่านข้อความผ่านอินเทอร์เน็ตได้ แล้วผมต้องเลือกเล่นเนตจากตัวไหนครับ ? ==> การจะเลือกเล่นเน็ตตัวใหน ก็อยู่ที่ว่า ณ ขณะนั้น เราสะดวกในการเชื่อมต่อผ่านอะไร อย่างที่ทราบดีว่า ความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อแต่ละมาตรฐานนั้น WiFi อยู่ในมาตรฐานความเร็วสูงสุด ดังนั้น หากเป็นไปได้ ควรเลือกที่จะเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi เป็นอันดับแรก แต่หากในบริเวณนั้น ไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ หรือไม่สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ จะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่ มาตรฐานอันดับรองลงมาที่ควรพิจารณาก็คือ HSPA หรือ 3G นั่นเอง สำหรับ 3G ความเร็วสูงสุดที่ใช้ได้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของผู้ให้บริการซึ่งก็คือแพคเกจที่เราจ่ายรายเดือนนั่นเอง โดยปกติแล้ว เงื่อนไขของการให้บริการจะมีบอกไว้ ว่าเราจะได้ความเร็วสูงสุดที่เท่าใหร่  แต่อย่าหวังว่าจะได้ตามนั้นเป๊ะๆ เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้ใช้ความเร็วเน็ตลดลง    ( แต่ทางที่ดี ควรเลือกความเร็วของผู้ให้บริการสูงสุดเท่าที่เราจะจ่ายได้ ซึ่งตอนนี้มีค่าย True Move H ที่ให้บริการความเร็วอินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 3G สูงกว่าค่ายอื่นๆ ซึ่งเป็นมาตรฐาน HSPA+ หรือที่โฆษณาว่า 3G+ ( เห็น + ก็ให้นึกถึงไว้ก่อนว่ามันต้องเร็วกว่า ) ซึ่งให้บริการที่ความเร็วระดับ 42Mbps เลยทีเดียว )      แต่อย่างที่บอก เนื่องจากประเทศไทยเรากำลังเข้าสู่มาตรฐาน 3G จึงทำให้มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งในเรื่องพื้นที่ให้บริการ ความเร็วสูงสุด และปริมาณข้อมูล มีการจำกัดสิทธิ์ตามไปด้วย อย่างเงื่อนไขแพคเกจที่ว่ามา ก็ต้องไปศึกษาให้ดีว่า เงื่อนไขเป็นอย่างไร ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ผู้ให้บริการจะจำกัดปริมาณการใช้ดาต้าเอาไว้ไม่ให้เกินโปร เช่น 1- 3 GB ( ปริมาณการดาวน์โหลด/อัพโหลด ข้อมูลผ่านสัญญาณ 3G ) ซึ่งหากเกินกว่าที่กำหนดไว้ จะถูกดาวน์สปีดอีนเตอร์เน็ตลงมาที่ระดับ Kbps ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นมาตรฐาน 3G เช่นกัน แต่เป็น 3G ที่ความเร็วต่ำ ( ไม่ใช่ HSPA ) ดังนั้น เค้าจึงโฆษณาว่า ไม่จำกัด ได้ ( เพราะถ้าจำกัด ก็คือ ใช้งานไม่ได้ หรือ ใช้ได้แต่ต้องคิดค่าบริการเพิ่มกิโลบิตละ 0.x สตางค์ )    EDGE/EDGE+ เป็นการให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วต่ำ ผ่านเครือข่าย GSM ทีี่มีอยู่เกือบทั่วประเทศ ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่า จะไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตในพืนที่ต่างจังหวัดที่ไม่มีพื้นที่ 3G ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ มักจะพ่วงแพคเกจ EDGE มากับ 3G ด้วย เพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดการติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต ดังนั้น ความเร็ว EDGE เราจึงมักเอาไว้ใช้ต่อเน็ตในลำดับท้ายสุด ***  GPRS เป็นการให้บริการที่มีความเร็วต่ำกว่า EDGE ไม่เหมาะสำหรับใช้ต่อเน็ต เพราะมีความเร็วที่ต่ำมาก *** ส่วนใหญ่ เราจะเห็นสัญญาณ GPRS ตามต่างจังหวัด ที่บริการ EDGE ยังไม่เข้าถึง เช่นพื้นที่โรมมิ่ง คลื่น 1800 MHz ของ AIS ส่วนใหญ่จะเป็น GPRS จะรู้ได้อย่างไรว่าเชื่อมต่ออะไรอยู่  ==> โปรดศึกษาคู่มือสัญลักษณ์แสดงการเชื่อมต่อของมือถือของท่าน ซึ่งจะมีสัญลักษณ์ไม่เหมือนกัน สำหรับ iPhone4S หากมีการเชื่อมต่อ WI-Fi จะแสดงสัญลักษณ์วายฟาย หากเชื่อมต่อ 3G จะแสดงสัญลักษณ์ 3G และหากเชื่อมต่อ Edge จะแสดงสัญลักษณ์รูปตัว E ครับ ซึ่งการทีี่ไอโฟนจะแสดงสัญลักษณ์ใด ก็อยู่ที่มันจับสัญาณใดได้ โดยปกติมักจะแสดงลำดับความสำคัญเป็น WiFi > 3G > EDGE > GPRS ตามลำดับ  เราจะควบคุมการใช้มันยังไง ?   ===> ให้เปิดดูคู่มือในส่วนเมนู การตั้งค่า ได้เลย ซึ่งการตั้งค่า Wi-Fi หากเปิดไว้ ไอโฟนจะพยายามเชื่อมต่อสัญญาณ วายฟาย ทุกๆที่ที่เราไป หากเราเคยมีการเชื่อมต่อวายฟายฮอตสปอตใดๆเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อไอโฟนจับสัญญาณวายฟายได้จะพยายามเชื่อมต่อวายฟายที่ฮอตสปอตนั้นๆเอาไว้โดยอัตโนมัติ สำหรับ 3G หากมีการเปิดฟังก์ชั่นการใช้งาน 3G เอาไว้ มันจะเชื่อมต่อกับ สัญญาณ 3G ในพื้นที่ๆให้บริการของผู้ให้บริการนั้นๆที่รองรับ เช่น หากเราใช้ซิมทรูมูฟเอช มันก็จะเชื่อมต่อกับสัญญาณ 3G ของทรูมูฟเอชเืท่านั้น แต่หากพื้นที่ใดๆไม่มีสัญญาณ3G ของทรูมูฟเอช มันก็จะเปลี่ยนไปจับสัญญาณ EDGE ของ ทรูมูฟเอชแทน แต่หากเราไม่ต้องการใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน 3G  ( อาจเพราะให้งานเต็มแพคเกจแล้ว ) ก็ให้ทำการปิดฟังก์ชั่นนี้เสีย EDGE ส่วนใหญ่จะอยู่ในโหมด ข้อมูลเครือข่ายมือถือ ( Mobile Network ) ซึ่งหากเราปิดการใช้งาน EDGE ก็เท่ากับว่า ตัดการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายมือถือทั้งหมด แต่เราจะยังคงสามารถเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้ แต่ถ้าเราเชื่อมต่อ Wi-Fi อยู่ เครือข่าย 3G/EDGE จะไม่ถูกใช้งาน และเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปปิดมันแต่อย่างใด สุดท้าย ถ้าเราไม่ได้เล่นเนตไม่ได้เปิดเว็บอยู่ ระบบ 3g edge+ wifi มันจะทำงานอยู่ไหมครับ ? ==> โดยปกติการให้บริการอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน จะคิดเป็นปริมาณการใช้งานดาต้า เป็นสำคัญ กล่าวคือ หากเรามีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน  3g edge+ wifi  แต่ดาต้ายังไม่ถูกใช้ (ยังไม่มีการดาวน์โหลด/อัพโหลด ) ค่าบริการจะไม่ถูกเรียกเก็บ และยังไม่ถือว่าเป็นการใช้งานอินเตอร์เน็ตตามแพคเกจคิดเป็นปริมาณข้อมูล จนต่อเมื่อเรามีการใช้งาน(ดาวน์โหลด/อัพโหลด) ข้อมูลนั่นแหละ ถึงจะคิดเป็นการใช้งาน ( การดาวน์โหลดข้อมูล แม้จะเป็นการเชื่อมต่อระยะสั้นๆก็ถือว่าเป็นการใช้งานดาต้าแล้วครับ เช่น ต่อเน็ต เปิดเฟสบุ๊ค ออนเอ็ม หรือแม้กระทั่งมีข้อมูลอัพเดทเข้ามา แต่ว่าปริมาณการใช้งานนั้นถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับการโหลดไฟล์หนัง เพลง มัลติมีเดีย ครับ ) จากคุณ : Cho_shang เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 19:19:43