สวัสดีหัวค่ำอีกครั้งครับ ทุกท่าน
กระทู้ไหลเร็วจริงๆ จนผมเบลออ่านตอบไม่ทัน ต้องขออภัยจริงๆนะครับ หากมีคนถามแล้วผมข้ามไป
ผมไม่ได้แกล้งไม่เห็นหรือไม่ตอบ แต่อย่างที่บอก ผมตอบไปแล้ว อะไรที่ผมตอบแล้วผมพูดจริงๆนะ ผมขี้เกียจพิมมากๆ
แต่ผ่านมาสามวัน 600กว่าความเห็น และเพิ่มขึ้นทุกวัน วันละ 100 เนื่องจากผมตอบไป ก็ยังมีคนใหม่ๆแวะมาถามต่อโดยไม่ได้ไล่อ่านและทำความเข้าใจคำตอบเก่าๆ
ผมจึงตัดสินใจว่าจะขอเรียบเรียงเป็นครั้งสุดท้าย แบบละเอียดๆทุกเม็ดจริงๆ
ให้เห็นถึงมุมมองของประเด็น ว่าทำไมผมจึงกล่าวว่าตั้งแต่ต้นว่า "ในงาน TME ซื้อของผ่อน 0% นั้นคุ้มกว่าซื้อสดจริงๆหรือ"
การอธิบายหนนี้จะเป็นการชี้แจงเรืองต่างๆ หนสุดท้ายสำหรับกระทู้นี้
ผมไม่ยกความเห็นใดมาตอบ เพราะอยากให้ทุกคนได้พิเคราะห์กันอย่างเต็มที่
และนี่คงเป็นหนสุดท้ายที่เรียกว่าชำแหละโคตรละเอียดที่สดเท่าที่ผมจะนึกออกละ
อย่างแรกเลย ผมอยากตั้งคำถามหลังอ่านบทความแรกจบ
คุณอ่านรายละเอียดของเนื้อหา เอาแบบจับผิดเลย ช่วยหาให้ผมทีว่า มันมีบรรทัดไหนที่ผมบอกว่า
คุณจะต้องกระ:-)กระสนไปซื้อในงาน TME ครับ
ถ้ามันเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของคุณเท่านั้นโดยไม่สนใจสิ่งใดๆในโลก
จบครับ กระทู้นี้ไม่มีสาระใดๆต่อตัวคุณเลย เชิญผ่านไปได้ หริอจะด่าต่อก็ได้แต่ผมไม่อ่านหรอกนะ รกสมองเสียเวลา
แต่ถ้าไม่ใช่ ก็คิดต่อ ว่าสิ่งที่ผมต้องการบอกคืออะไร
ประเด็นคือ ผมไม่เห็นด้วยกับการที่คนทั่วไปเลือกใช้การผ่อนจ่ายแทนเงินสด กับการซื้อ "ของฟุ่มเฟือย"
ผมยกตัวอย่างในงานมือถือ TME ที่ผ่านมา
และยกสินค้าฟุ่มเฟือยตัวหนึ่ง
ก็คือ " Galaxy note2" มันเป็นโทรศัพท์มือถือ
ถามว่าฟุ่มเฟือยใช่หรือไม่ คำตอบคุณอาจจะบอก มันแล้วแต่สิ
ถ้าซื้อมาใช้งานก็ไม่ถือว่าฟุ่มเฟือย ใช้หาเงินก็น่าจะเป็นการลงทุนสิ
ถ้าการซื้อ note2 คุณ มันมาจากความจำเป็นต้องใช้จริงๆ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
การจะซื้อสดหรือผ่อนมันก็ไม่ใช่ประเด็นครับ
เพราะมันกลายเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย ที่ตรรกะผมแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันสิ้นเชิงแต่แรก
ถ้าสิ่งนั้นคือความจำเป็นของชีวิต คุณจะใช้เครดิตหรือเงินสด มันไม่มีข้อเสียครับ
ทีนี้มาต่อที่ ถ้าคุณแค่ซื้อเพราะมันเป็นสิ่งเติมเต็ม อยากได้อยากมี
คงไม่ปฏิเสธนะครับ ว่า note2 มันเป็น"สิ่งฟุ่มเฟือย" ขึ้นมาแล้ว
เมื่อม้นเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ผมจึงบอกว่า มันไม่มีคำว่าคุ้มค่าหากเราต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้มันมา โดยแลกกับการสร้างเงื่อนไขบางอย่างเพื่อการแบ่งจ่าย
แลกกับความเสี่ยงในการเพิ่มภาระก่อหนี้ขึ้นมาอีก
การซื้อในงาน TME ถูกกำหนดกติกา ที่มัดมือชก ทุกๆคนเอาไว้ว่า ซื้อสดไม่ลด ซื้อผ่อนถึงจะได้ลด
นั่นทำให้ใครก็ตามที่คิดจะซื่้อสดต้องชะงัก จ่ายเท่ากันแน่ๆ แต่ไม่มีโอกาสได้อะไรกลับคืนเลย
ก็เพราะเราเอาตัวเงินมาคำนวนกันยังไงครับ มันถึงได้คิดกันเกือบทั้งโลก ว่าการซื้อสด "ไม่ได้อะไรคืนมาเลย"
เราลืมคิดกันไปหมด ว่าจริงๆเรา "ไม่เสียอะไรไปเพิ่ม" ต่างหาก
ผมไม่รู้คุณจะทำความเข้าใจตรรกะนี่ได้มากน้อยแค่ไหน
การที่คุณซื้อเงินสด ทุกอย่างจบลงในการชำระเงินเต็ม สิทธิในการครอบครองโดยไม่มีภาระหนี้สินทีต้องชำระเป็นงวดตามมา
ในงาน TME คุณไม่มีทางเลือกนักหรอก ทุกอย่างถูกจัดสรรให้เป็นไปตามความต้องการของแผนการตลาดและโปรโมชั่นทั้งหมด
ถ้าเป็นคนทั่วไป ทุกคนจะคิดว่า 22900บาท คือราคาปกติที่จะเป็นราคาขายจริงๆ หลังงาน
โดยที่ถ้าซื้อในงาน ราคานี้มีส่วนลดของแถมมากมายจากการผ่อน นั่นจึงเป็นเหตผลให้คนแห่มาผ่อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง
แต่ผมพยายามชี้ให้เห็นว่า มันไม่ใช่ไง ราคาปกติของมันไม่ใช่เลย
ถามว่า ผมรู้ได้ยังไง ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะละครับ ผมไม่ได้คิดเอาเอง
มันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว ไม่ใช่แค่กับมือถือ แต่ทุกๆสิ่งที่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย
คำถามครับ
คุณคิดว่าเขาตั้งราคา final price มาให้คุณผ่อนหรืออย่างไร
คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือว่า ราคา 22900บาท คือราคาปกติ
ถ้าคุณเชื่อแบบนั้นก็ game over ครับ
หลังจากนี้ ตั้งใจฟังดีๆนะครับ ไม่ใช่การสอน แต่เป็นมุมมองของผมที่อยากแบ่งปันให้ฟังเล่นๆกันครับ
ไม่ได้มาจากตำราไหนทั้งนั้น ดังนั้นไม่ต้องคิดว่าผมเอามาจากไหน ไม่มีครับ หลักกรูล้วนๆ
อาจมีศัพท์ของการเงินเข้ามาด้วย ก็ยกมามั่วๆครับ คิดว่าคงพอเข้าใจกันได้ไม่ยาก คำพื้นๆ
ดักไว้ก่อน เดี๋ยวก็ต้องมีคนบอกว่าผมหาอย่างอื่นมาแถต่ออีก
จริงๆก็ถุกแหละครับ ว่าผมต้องหาข้อมูลเพิ่มมาประกอบ เพราะการอธิบายแค่ในกระทู้แรกมันไม่เพียงพอต่อการตอบคำถามว่า "คุ้ม ไม่คุ้ม ยังไง"
ก็คิดเสียว่า ตรรกะมันเหมือนเดิมครับ แค่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นให้สมบูรณ์มากขึ้น สนับสนุนเหตผลว่าทำไมต้อง "เงินสด" สำหรับเรื่องฟุ่มเฟือย
"ราคาปกติ" คืออะไร
คือราคาที่แท้จริงไม่คำนวน demand , supply และมูลค่าแฝงอื่นๆ รวมเข้าไปในตัวมันครับ
อันนี้ผมใช้หลักการเงินแบบมั่วๆมาจับครับ พอดีเคยเรียนผ่านๆ
ราคา 22,900 บาทเนี่ย มันไม่ใช่ราคาปกติ มันเป็นราคาที่ตั้งไว้แพงกว่าราคาที่มันขายได้อยู่แล้ว
เพราะอะไร เพราะมันมีความต้องการของตลาดสูงมาก ในขณะที่มีจำนวนสินค้าไม่พอใช่ไหม
ผมเรียกราคาขาย 22,900บาท ในกระทู้นี้ว่า "ราคาลวง" เพราะมันรวมสิ่งลวงหลอกให้เชื่อว่าเป็นราคาปกติไว้หมดแล้ว
ส่วน"ราคาปกติ" คือเท่าไหร่กัน แล้วหาได้จากที่ไหน คนจะได้ไปซื้อกัน
ราคาปกติจะหาได้ก็ต่อเมื่อ สินค้านั้นไม่มีเรื่องของ demand supply มาเกาะ
เมื่อไม่มี demand , supply เป็นตัวแปร ราคาก็จะปรับตัวเข้าหาราคาปกติเองเมื่อเวลาผ่านไป
ในงาน TME หรืองาน expo ไหนๆก็ตาม สินค้ารุ่นใหม่ล่าสุด จะขายในราคาเกินจริงเสมอ
เพราะมันสามารถขายเท่าไหร่ก็ได้โดยพ่วงคำว่า ผ่อน 0% ห้อยท้าย ให้รู้สึกว่าการแบ่งชำระไม่เป็นภาระมากเกินไปนัก
เมื่อคุณเอาเรื่องการผ่อน 0% ออกไป และเปลี่ยนเป็นเงินสด คุณไม่ได้ส่วนลดหรอกสำหรับสินค้าแบบนี้
เพราะมันยังคำนวนค่าที่แท้จริงไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากเหตผลด้าน demand , supply ณ เวลานั้นๆ
ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการที่จะต่อรองให้ได้มา ซึ่งราคาปกติ
การซื้อเงินสดในงาน ได้ถูกกว่า เงินผ่อน จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก และไม่ใช่ว่าทำได้ทุกคนหรอก
แต่การไม่ซื้อเงินผ่อน 0% ในงาน เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกคน ถ้าคิดจะทำ หากรู้ข้อมูลที่ทำให้พวกเขารู้ว่า เขาจ่ายแพงกว่ายังไง ด้วยเหตผลอะไรดังที่บอก
การซื้อเงินสด ได้ผลตอบแทนที่มองไม่เห็น ผลตอบแแทนที่คุ้มค่ากว่า คือภาวะปลอดหนี้ ภาวะที่ไม่ต้องคิดคำนึงรายเดือนใดๆ
ภาวะที่ปราศจากความเสี่ยงในการเกิดหนี้
จากเนื้อหาของกระทู้ ผมไม่ได้ระบุราคาปกติ ที่ควรจะเป็นจริงๆ ลงไป แค่กะได้คร่าวๆจากความน่าจะเป็น
ซึ่งถ้าคุณไล่อ่านทุกบรรทัด จะเห็นคนที่เป็นพ่อค้าตัวจริง ที่ทราบราคาทุนแล้วนำมาเปิดเผยไว้ (ขอขอบคุณด้วย)
เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับที่ผมประมาณไว้ทั้งสิ้น
ในตอนแรกท่ผมตั้งกระทู้ ผมไม่สามารถหาราคาต้นทุนแท้จริงที่ว่า ของเจ้า note2 ได้หรอก
และมันไม่ใช่สาระว่าจะถูกหรือแพงกว่ากันสักเท่าไหร่ สำหรับทุนและราคาขาย
ในฐานะของผู้บริโภค ไม่ว่าของชิ้นนั้นๆจะถูกหรือแพงสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามันเป็นของฟุ่มเฟือย
เราควรจ่ายให้จบไปในครั้งเดียว และไม่สร้างโอกาสเกิดหนี้ขึ้นมาเพิ่มอีกด้วยการไปแบ่งจ่าย
นี่คือสาระที่ผมต้องการบอกกล่าวแก่ผู้คน แต่แทบนับคนได้เลยล่ะที่จะเข้าใจ
เมื่อคุณไม่สร้างโอกาสก่อหนี้ นั่นแหละคือความคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ที่ไม่มีตำราการเงินเล่มไหนสอนคุณหรอก หรือจะเรียนจบปริญญาเอก
ก็ไม่มีหลักสูตรบ้านใครสอนแบบนี้หรอกมั้ง
การผ่อนชำระ ไม่ว่าจะ 0% หรือ -1% ก็ตาม (ไม่แน่เหอะ ผมจะบอกว่าอีกหน่อยคุณอาจได้เห็นโปรโมชั่นผ่อน -1% จริงๆก็ได้ ก็คือผ่อนได้ในราคาทุนถูกกว่าซื้อสดแบบเห็นๆเป็นตัวเลขเลย)
เขาไม่ได้ให้คุณฟรี คุณเข้าใจหรือเปล่าว่ามันไม่ใช่ของฟรี ของฟรีไม่มีในโลก
การบอกอ้างว่า รับเงินคืนเข้าบัญชีก็เอย รับโบนัส ส่วนลด ของแถม ต่างๆนานา มันเป็น
แค่การลดราคา "ส่วนต่าง"ที่บวกเข้าไปแล้วเรียบร้อย ลดจากราคาที่บวกเพิ่ม ไม่ใช่ลดจากราคาที่ควรจะเป็น
มันสร้างความรู้สึกให้คนส่วนใหญ่เข้าใจและคล้อยตามได้ง่ายๆว่า จ่ายถูกกว่านะ
แต่ลืมคิดไปว่า มันไม่จบ และก็ได้สร้างโอกาสก่อหนี้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนกี่เดือนๆ ก็ว่ากันไป
ในทุกๆเดือนที่ผ่านไป คุณอาจจะเถียงได้ว่า คุณมีวินัยทางการเงินดีมากพอน่ะ
วางแผนมาอย่างดี เอาเงินเข้าบัญชีรอไว้เลย ไม่ถอนด้วย เพื่อไว้หักจ่ายทุกเดือนไม่มีพลาดโดนดอกโดนค่าต๋งแน่
ก็แล้วมันต่างอะไรกับการที่คุณไปกู้ 0% มาซื้อละครับ คุณเอาขาไปล่ามโซ่ไว้เล่นๆ
ว้ันนี้คุณอาจสุขสบายดี ไม่มีความกังวลว่าจะพลาดอะไรได้เลย คุณจึงพูดได้ว่า ผ่อนเหอะสบายๆ
แต่คุณประมาทเกินไป เพราะหากคุณใช้ชีวิตโดยยอมรับความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นแบบนี้เป็นประจำ
นี่แหละคือหนทางหายนะเงียบๆ ที่คุณไม่รู้ตัวเลย
สิ่งของฟุ่มเฟือยจากหนึ่งชิ้น เมื่อคุณผ่อนหมด สถาบันการเงินจะเริ่มล่อลวงคุณหนักขึ้นเรื่อยๆทีละน้อย
เริ่มจากเพิ่มวงเงินให้คุณมากขึ้น แต่คงกรอบข้อกำหนดเดิม
ถ้าคุณไม่มีวินัยการเงินที่เข้มแข็งพอ เมื่อถึงวันที่คุณฉุกเฉิน คุณจะนำทุกอย่างมารวมกันหมด
และใช้ทุกทางในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
พูดมาถึงตรงนี้ พวกกูรูสถาบันการเงินย่อมสรุปหลักการนี้ว่า ผมแถไปเรื่อย สรุปมันก็ไม่มีสินะ ที่ว่าคุ้มกว่า จ่ายน้อยกว่า
เอาแบบตัวเลขสิกลมๆสิ ต้องการแบบหลักการไม่ใช่โมเมเอาเอง หาว่าคนอื่นไม่มีปัญญาจ่ายชนงวด
แล้วจะโดนค่าปรับแพงกว่าส่วนลดของแถมที่ได้ แบบนี้ไม่ถูก คนที่เขาคุมทุกอย่างได้มันก็ไม่แฟร์สิ เพราะเขาไม่โดนแน่ๆดอกเบี้ยอ่ะ
ต้องการให้ผมยอมรับว่า เมื่อในงานหาไม่ได้ ก็ยอมรับเถอะว่ามันไม่มีทางอื่นที่คุ้มที่สุด จ่ายน้อยที่สุดนอกจากผ่อน 0%
จริงๆ มันมีครับ แต่เป็นทางที่พวกคุณไม่คิดจะทำ ก็คือ ไม่ซื้อไงครับ
"ยังไม่ต้องซื้อ" นั่นคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด และหาช่องทางที่จะซื้อได้ถูกที่สุด คุ้มที่สุดโดยไม่ต้องผ่อน
ลองย้อนไปอ่านดูครับ ผมไม่ได้พูดสักคำว่า ต้องซื้อในงานเท่านั้น มันไม่มีอยู่เลยในสาระของกระทู้ที่ผมตั้ง
ตรรกะกล้วยปิ้งที่พวกคุณคิดไม่เป็น เอะอะคือต้องซื้อ ต้องซื้อ ซื้อ และซื้อเท่านั้น
ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ไม่ใช่สิ่งจำเป็น (ย้ำอีกครั้งว่าหากใครเถียงว่ามันจำเป็น ชั้นใช้ทำงาน ให้ย้อนไปอ่านข้างบนอีกรอบ)
และถึงไม่โดนดอกเบี้ย แต่มันก็ได้ความเสี่ยงเป็นหนี้เพิ่มมาอยู่ดี และวงเงินเครดิตหายไป เกิดฉุกเฉินอะไรขึ้นมา มีอะไรให้ใช้แทนเงินสดได้
เงินสดที่ว่าไม่ต้องจ่าย ก็ต้องกดออกจากบัญชีไปจ่ายอยู่ดี และก็โดนดอก วนเป็นวงจรอุบาทอยู่ดี
นั่นคือความไม่คุ้มแบบสุดๆ ที่พวกคุณตีไม่ออก มองไม่เห็น เพราะมันไม่ใช่ตัวเลขไง
รู้ทั้งรู้ว่ามันแพง หรืออาจจะไม่รู้ก็เถอะนะ แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่เข้าใจหรือทำเป็นไม่รู้อีกว่ามันแพงเกินจริง
ก็สุดแท้แต่บุญพาวาสนาส่งล่ะนะครับ ผมช่วยได้แค่นี้จริงๆ
ผมถึงได้ย้ำตรรกะอีกข้อหนึ่งว่า ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดได้หมด
เพราะคนที่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดจริงๆ เขาเลิกจนไปนานละครับ
คนที่ไม่เข้าใจมีมากกว่ามาก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้เรื่องและจับประเด็นไปต่อยอด สร้างหลักการทางการเงินที่เข้มแข็งได้
ก็เห็นจะมีแต่นักลงทุนบางกลุ่ม ที่เชื่อในระบบทุนนิยมแบบผิดๆ เอาเงินหมุนไปหมุนมาในตลาดหุ้น คิดว่าการลงทุนง่ายจะตาย
นั่งตามข่าว คลิกๆๆ เดี๋ยวก็รวยแล้ว
ผมเห็นพวกนี้ อาชีพที่มีคือทำงานประจำแหละ ดีหน่อยก็แบ่งเงินมาลงกองทุน
มีมากหน่อยก็ลงหุ้นพื้นฐานดีสักตัว ชักเข้าชักออก หวังจะถูกหวยว่างั้น
ถ้ายังไม่เข้าใจถึงแก่นการลงทุนว่ามันต้องมาจากเงินเย็น คือเงินที่ไม่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายใดๆ เงินลงทุนก็คือเงินลงทุน
ไม่ใช่เงินที่มาจากค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย บอกไม่อยากจ่ายเก็บมาลงทุนก่อน แล้วค่อยแบ่งจ่าย แบบนี้เขาไม่เรียกลงทุนครับ
ถ้าจะจ่ายก็คือจ่าย มูลค่าของสิ่งที่คุณจ่าย มันสูญไปทั้งหมดตั้งแต่แรกไม่ว่าคุณจะผ่อนหรือสด คุณก็ต้องจ่ายอยู่ดี
แต่การซื้อเงินสด เมื่อหาข้อมูลได้มากพอจนรู้ราคาที่เหมาะสมที่แท้จริง ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างราขาขายปกติ (หรือผ่อน 0%) กับราคาหนีภาษี (เครื่องหิ้ว)
คุณก็มีสิทธิเป็นฝ่ายต่อรองเพื่อซื้อในราคาที่ถูกที่สุดได้ ในขณะที่ถ้าคุณผ่อน ไม่มีสถาบันการเงินไหนเขาให้คุณต่อรองอะไรหรอก เขาจัดสำรับมาให้คุณแทน
ผมบอกแล้วว่า เครื่องหิ้วจะมา 18000บาทในสิ้นปี ไม่ใช่ให้แห่ไปซื้อของหนีภาษี จะซื้อหรือไม่ซื้อมันคือวิจารณญาณส่วนบุคคล
ซึ่งของหนีภาษีก็คือของชิ้นเดียวกัน QC เดียวกันกับของที่วางขายอย่างถูกกฏหมายนั่แหละ สามารถซ่อมศูนย์ได้แต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือต้องจ่ายแรกเข้า นอกนั้นเหมือนกันหมด
คุณบอกแล้วใครมันจะไปรู้ขนาดนั้น ผมก็จะบอกว่า ก็ไม่มีไง แต่ถ้าจะมีคนรู้ขนาดนี้พวกเขาจะรู้ได้จากการศึกษาข้อมูลที่มากพอ
แล้วถ้าไม่อยากซื้อของหนีภาษี อยากซื้อศูนย์ราคาถูกล่ะ เน้นเลยว่าศูนย์ เอาตอนนี้เวลานี้นะ เอาแบบคนทั่วไปหาซื้อได้ทุกคน
คำตอบที่คุณจะได้จากผม ก็เหมือนเดิมครับ คือก่ารซื้อสดในราคาเต็มนั่นแหละครับ ถูกกว่า คุ้มค่ากว่าการซื่้อผ่อน 0% แบบคิดรวมส่วนลดทุกอย่างละ
ถ้ามาถึงตรงนี้ยัง งงอีก ว่าเอาอะไรคิดว่าคุ้มกว่าได้เนี่ย สำหรับคนที่มีงบจำกัด คำตอบคือไม่ซื้อครับ ซื้อไปคุณก็เป็นหนี้แน่นอน
แต่ถ้าคุณเต็มใจจะเป็นหนี้แน่ๆ คือชีวิตนี้เกิดมาเพื่อเป็นหนี้ อันนี้ตามสบายครับ
แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ เข้าใจเหตผลว่า อะไรที่จำเป็นต้องใช้เงินสดเท่านั้น อะไรที่ใช้เงินผ่อนได้ เครดิตได้
ส่วนสำหรับคนที่มีเงินเหลือเฟือ คำตอบคือคุณไม่ต้องเสียเครดิตไปกับสิ่งฟุ่มเฟือยไงครับ และมีส่วนช่วยให้สถาบันการเงินเข้มแข็งขึ้นอย่างแท้จริง
ท้ายนี้อยากฝากสำหรับคนที่เสียเวลาอ่านไล่มาอีกครั้งจนจบ ด้วยหวังจะเห็นอะไรสักอย่าง
ผมไม่รู้และไม่ได้สนใจหรอกครับ ว่าในโลกนี้จะมีคนรวยกว่า คนเก่งกว่าผมกี่คนในโลก แล้วเขาจะมาอยู่ในกระทู้นี้หรือเปล่า
คุณอาจจะจนกว่าผม หรือรวยกว่าผมมากๆก็ได้ แต่คำว่าวินัยทางการเงิน มันไม่ได้วัดกันที่คุณมีเงินมาก มีเงินน้อย
มันวัดกันที่ว่าคุณบริหารจัดการการเงินคุณยังไงในชีวิตคุณเองมากกว่า
คนที่มีเงินเยอะมากๆ แล้วพยายามบอกผมว่า คุณน่ะมีเงิน คุณก็ยังใช้เครดิตฟุ่มเฟือยอยู่ แล้วคุณก็ยังรวยขึ้นๆ
เพราะคุณบริหารการเงินได้ดีอยู่
มันคล้ายๆกับคนที่เป็นนักกีฬาที่เก่งครับ มีพรสวรรค์และรู้จักหาช่องทางในการสร้างโอกาสที่ดีตลอดเวลา
แต่คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าคุณตกม้าตายตรงคุณประมาทนั่นแหละ เพราะวันนี้คุณรวยขึ้น ความรวยจึงบังตาให้คุณเชื่อว่า
เครดิตฟุ่มเฟือยไม่ใช่ประเด็นที่ส่งผลต่อชีวิตคุณ
คุณจึงใช้เครดิตฟุ่มเฟือยต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่คุณมีแรง เครดิตมันไม่ฆ่าคุณหรอกครับ
แต่ถ้าคุณหมดแรงเมื่อไหร่ อย่าให้ผมบอกเลยว่าหนี้จากเครดิตจะวิ่งไล่ตามคุณเร็วยิ่งกว่าตอนคุณใช้ชีวิตแบบไม่มีอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ
และสำหรับคนที่ไม่ได้รวย แต่เป็นนักบริหารการเงินที่มีวินัย เคร่งครัดในทุกเรื่อง แต่ยังหละหลวมกับการใช้เครดิตโดยไม่จำเป็น
ผมไม่ได้เถียงครับ คุณอาจเป็นคนดีที่มีวินัยทางการเงินเต็มเปี่ยม คุณก็คือคนมีเครดิตหากคุณรักษาเครดิตและชำระตรง
แต่คุณว่า การบ่มเพาะนิสัยแบบนี้เป็นสิ่งดีหรือเปล่าครับ เพราะอะไรประชากรของประเทศเรา ยากจนกว่าชาติอื่นๆ ลงไปทุกวันๆ
เพราะเราเสริมสร้าง ส่งเสริมให้คนเข้าสู่ระบบใช้ก่อน ผ่อนทีหลัง สบายจะตาย กันใช่หรือเปล่า
ลองย้อนไปสมัยพ่อสมัยแม่เราทีบัครเครดิตยังไม่แพร่หลาย ทำไมพวกเขาอยู่มาได้เขาใช้อะไรจับจ่ายซื้อหาของที่พวกเขาอยากได้
ไม่ใช่ขยันทำมาหากิน การเก็บออมและเพิ่มพูนหรือครับ ที่ทำให้เกิดรากฐานของพวกคุณในวันนี้
ผมไม่ได้เกิดในสมัยนั้นหรอกนะ ที่พูดก็เพราะอยากให้คิดว่า อะไรที่มาทำให้ความคิดความเชื่อของคนในสังคมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
ไม่มีเงิน ก็ยังจะบอกว่า มีเงิน โดยการใช้ บัตรเครดิต
ตรรกะมันผิดตั้งนานแล้วครับ แต่เราอยูในกระแสทุนนิยมที่ลามท่วมไปจนไม่มีทางแก้ไขอะไรแล้ว
มีเพียงแต่ใครรู้ทันและไม่ตกเป็นเคร่องมือของมัน แต่รู้จักควบคุมและระวังไม่ให้มันมาส่งผลต่อเราได้ต่างหาก
ย้ำนะครับ ทั้งหมด ไม่ใช่การสั่งสอน ผมไม่มีสิทธิอะไรกับใคร
ผมเพียงได้แต่เสนอความคิด ให้คุณได้เสพย์ ถ้าคุณไม่พอใจ คิดว่าผมอวดตน คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
จริงๆเรื่องเหล่านี้ ผมไม่จำเป็นต้องมาคิดขยายความเป็นตัวหนังสือเพื่ออธิบายใครต่อใครหรอก
เก็บไว้กับตัวผมจนตาย ผมก็เชื่อว่าผมไม่มีทางจนแน่นอน
ที่เหลือก็ขึ้นกับว่า ใครจะหยิบไปต่อยอดได้มากน้อยแค่ไหน
หรือจะมองข้ามไปเพราะไม่ต้องการยอมรับมันก็เท่านั้น
ไม่มีเจตนาเสียดสีบุคคลใดครับ เขียนเพื่อชี้แจงและเรียบเรียงไว้อ่านเองด้วย
เพื่อใช้เตือนใจตัวเอง ให้เดินตามแผนได้ชัดเจนขึ้น
ขอบคุณครับ